ตอนที่ 258 พบหน้าและปะทะ

เจ้าสาวร้อยเล่ห์

“ข้าว่าแล้วมันต้องมีอะไรสักอย่าง!” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อใช้สายตาที่ลุกโชนด้วยเปลวเพลิงมองซั่งกวนเจวี๋ยที่พูดคุยสนิทสนมกับหญิงสาวผู้หนึ่งที่สวมหน้ากากผีเสื้อ นั่งอยู่ด้วยกันในศาลาบริเวณสวนดอกไม้ สุราหนึ่งกา กับแกล้มอย่างง่ายๆ ไม่กี่อย่าง ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ดูสบายอกสบายใจ ทั้งไม่ว่าจะมองอย่างไรก็รู้สึกขัดหูขัดตาเช่นกัน ที่นี่คือเรือนพำนักของตระกูลซั่งกวนในไหลหยาง เป็นที่ใช้รับแขกและที่พำนักของตัวเอง ไม่ใช่ที่ให้เขามาใช้กกผู้หญิง

“เจวี๋ยเอ๋อร์?” ซั่งกวนฮ่าวตบไหล่ภรรยาเบาๆ บอกเป็นนัยให้นางใจเย็น จากนั้นก็พาภรรยาเดินไปอยู่เบื้องหน้าทั้งสองคน ก่อนจะเรียกด้วยความสงสัย หลังจากทั้งสองคนเบนสายตามา ก็กล่าวอย่างเยือกเย็นเป็นอย่างมาก “คุณหนูผู้นี้มาจากที่ใดกัน ไม่ทราบว่าควรจะเรียกอย่างไร?”

“ท่านพ่อ ผู้นี้คือโม่จิ้ง คุณหนูโม่ เป็นสหายของลูก!” ซั่งกวนเจวี๋ยคาดไม่ถึงว่าซั่งกวนฮ่าวจะถูกหวงฝู่เยวี่ยเอ้อชักจูงมาสำเร็จจริงๆ ดูท่าแล้วพวกเขาเพียงออกเดินทางช้ากว่าตัวเองเพียงวันเดียวเท่านั้น ไม่อย่างนั้นเมื่อวานอาจจะพบกันแล้วก็ได้

“น้อมทักทายทุกท่าน!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ทักทายอย่างห่างเหิน เจวี๋ยเคยพูดก่อนหน้านี้แล้วว่า เมื่อพบพวกเขาสามารถแสดงความเย็นชาได้มากเท่าใดก็แสดงให้มากเท่านั้น ไม่อาจจะสุภาพนอบน้อมได้แม้แต่น้อย

“คุณหนูโม่ดูคุ้นหน้ายิ่งนัก ไม่ทราบว่ามาจากสำนักใดหรือ? อาจารย์ของเจ้าเป็นใครกัน?” หลายปีมาแล้วที่ซั่งกวนฮ่าวไม่ได้พบคนที่เย็นชากับตนเองถึงขนาดนี้ ท่าทีเย็นชาทั้งแฝงด้วยความหยิ่งยะโส ทำให้เขารู้สึกไม่คุ้นชินอยู่บ้าง น้ำเสียงก็เรียบเย็น ขาดเพียงไม่ได้พูดว่าไร้การอบรมสั่งสอนเท่านั้น

“ไม่มีสำนักอะไรทั้งนั้น ส่วนนามของอาจารย์นั้น ไม่อาจจะบอกได้!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่ไว้หน้าเขาแม้แต่น้อย นี่จึงนับเป็นท่าทีที่ศิษย์ของอวี๋ฮวนควรใช้เผชิญหน้ากับซั่งกวนฮ่าว เย็นชา ห่างเหิน แฝงด้วยความเกลียดชังเล็กน้อย ท่าทีของนางนับว่าทำได้ยอดเยี่ยม พาให้ซั่งกวนเจวี๋ยที่นั่งมองอยู่นั้นถึงกับลอบชมในใจ

ซั่งกวนฮ่าวชะงักกับท่าทีของนางไปเล็กน้อย จู่ๆ ก็นึกถึงซินหรันขึ้นมา นางดูเหมือนเคยใช้ท่าทีเช่นนี้กับตนเองมาพักใหญ่

“คุณหนูสุรา นี่คือท่านพ่อและท่านแม่ของข้า!” ซั่งกวนเจวี๋ยแสร้งทำท่าทีจนใจออกมา แต่ในใจกลับลอบขำไม่หยุดหย่อน

“ข้ารู้!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวอย่างเรียบเย็น “หากไม่ใช่ว่าเขาคือพ่อของเจ้า หากไม่ใช่ว่าคำนึงถึงหน้าเจ้า เจ้าคิดว่าข้าจะพูดคุยกับเขาอย่างดีๆ ได้อย่างนั้นหรือ?”

“พี่ฮ่าว พี่สะใภ้ ไฉนพวกเจ้าก็มาด้วย?” อินหงหลันและซินหรันพาลูกชายและลูกสาวมาปรากฏกายอยู่ด้านข้าง(เซียงเสวี่ยไม่ได้มาด้วย) พวกเขาพอได้ยินว่าสองสามีภรรยาซั่งกวนฮ่าวมาถึงเรือนพำนักที่ไหลหยางก็เข้ามาทันที และก็มาเห็นฉากที่ไม่ได้คาดการณ์เอาไว้…ซั่งกวนเจวี๋ยไม่ได้พูดกับเขาเรื่องที่สองสามีภรรยาซั่งกวนฮ่าวอาจจะปรากฏตัว เขาคิดว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์จะพูด และเยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็คิดว่าเขาจะบอก ตัวเองไม่มีความจำเป็นต้องยุ่งไม่เข้าเรื่อง ดังนั้นในยามนี้จึงทำให้อินหงหลันสับสนไม่น้อย

“เหตุใดเจ้าก็อยู่ที่นี่?” ซั่งกวนฮ่าวขมวดคิ้ว ไฉนหงหลันก็อยู่ที่นี่ เขาและมี่เอ๋อร์สนิทสนมกัน ทั้งยังรับสาวใช้ข้างกายของมี่เอ๋อร์เป็นลูกบุญธรรม นิสัยของเขาจะยอมให้เจวี๋ยเอ๋อร์มีหญิงสาวอีกคนอยู่ข้างกายได้อย่างไร ทั้งยังเบิกตามองดูทั้งสองคนใกล้ชิดกันถึงเพียงนี้?

“ข้าเข้ามาพร้อมกับจิ้งเอ๋อร์!” แม้ว่าอินหงหลันจะไม่เข้าใจอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้มีผลต่อการแสดงของเขาแต่อย่างใด เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “พวกเราพบเจวี๋ยเอ๋อร์ระหว่างทาง คาดไม่ถึงว่าเจวี๋ยเอ๋อร์จะรู้จักกับจิ้งเอ๋อร์ จึงร่วมทางมาด้วยกัน มีอะไรแปลกอย่างนั้นหรือ?”

มีอะไรแปลกอย่างนั้นหรือ? ซั่งกวนฮ่าวถลึงตามองเขา กล่าวอย่างโมโห “ไฉนเจ้าจึงปล่อยให้หญิงสาวที่มีที่มาไม่ชัดเจนเช่นนี้ให้อยู่กับเจวี๋ยเอ๋อร์เพียงลำพัง?”

“มีที่มาไม่ชัดเจน? ในสายตาของเจ้า จิ้งเอ๋อร์เป็นเพียงหญิงสาวที่มีที่มาไม่ชัดเจนสินะ?” ซินหรันมองซั่งกวนฮ่าวอย่างเย็นเยียบ กล่าวลอดไรฟันออกมา “เจ้าช่างลืมง่ายเสียจริงๆ!”

“ป้าซินหรัน!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เผยยิ้มดึงซินหรันไว้ ชำเลืองมองซั่งกวนฮ่าวอย่างไม่สนใจนัก กล่าวเรียบนิ่ง “สำหรับข้า เขาก็เป็นคนที่ไม่สลักสำคัญอันใดเช่นกัน ไม่มีความจำเป็นต้องคิดเล็กคิดน้อยขนาดนั้น ที่ของตระกูลซั่งกวน เดิมทีข้าก็อยู่ได้อย่างไม่สุขสบาย ข้าว่าอย่างไรพวกเราไปหาที่อื่นพักกันเถิด!”

“ก็ดี!” ซินหรันมองเยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างเอ็นดู ก่อนจะกล่าวเสียงเย็นกับอินหงหลัน “ข้าและจิ้งเอ๋อร์จะไปเก็บของ เจ้าก็รีบตามไปรวมกับพวกเรา”

“เจวี๋ยเอ๋อร์ ตกลงผู้หญิงคนนี้เป็นใครกันแน่?” ซั่งกวนฮ่าวไม่อาจจะบันดาลโทสะใส่อินหงหลัน(แม้ว่าจะแผลงฤทธิ์ใส่ อินหงหลันก็จะแสร้งโง่ไม่รู้สึกอะไรอยู่ดี) จึงพุ่งโทสะไปที่ซั่งกวนเจวี๋ย กล่าวอย่างเดือดดาล “เจ้ามีตาหรือไม่? ไฉนจึงคบหากับคนเช่นนี้ได้? กระทั่งมารยาทก็ยังไม่มีแม้แต่น้อย ไม่รู้จริงๆ ว่าอาจารย์ของนางเป็นใครกัน ไฉนจึงสอนศิษย์ออกมาให้ไม่มีความเคารพยำเกรงผู้ใหญ่เช่นนี้ได้? ข้าขอเตือนเจ้า อย่าได้ติดต่อคบหากับผู้หญิงเช่นนี้อีก!”

“พี่ฮ่าว นางมีมารยาทมากแล้ว!” อินหงหลันรู้ว่าในยามนี้ซั่งกวนเจวี๋ยไม่อาจพูดอะไรได้ หากพูดขึ้นมาย่อมกลายเป็นเป้านิ่งให้ซั่งกวนฮ่าวระเบิดอารมณ์ เขานึกถึงอวี๋ฮวนขึ้นมา ก่อนใบหน้าจะเผยความเย็นชา สั่นศีรษะเล็กน้อย “เดิมทีข้ายังคิดว่า หากนางพบเจ้าคงจะไม่ปริปากพูดอันใด แต่จะชักดาบเผชิญหน้ามากกว่า!”

หวงฝู่เยวี่ยเอ้อใบหน้าทะมึนขึ้นมา เป็นศิษย์ของผู้หญิงคนนั้นจริงๆ อย่างนั้นหรือ?

สีหน้าของซั่งกวนฮ่าวมืดมนยิ่งกว่า นี่คือการวางตัวที่ดีแล้ว? เขาถลึงตามองอินหงหลันอย่างเยือกเย็น “หรืออาจารย์ของนางกับข้ามีความแค้นอันใดที่ทำให้อยู่ใต้ฟ้าเดียวกันไม่ได้?”

“ใช่!” อินหงหลันพยักหน้ากล่าวตรงๆ “นางสามารถใช้ท่าทีเรียบนิ่งกับเจ้าได้ นั่นก็เห็นแก่หน้าของเจวี๋ยเอ๋อร์มากแล้ว”

มีความแค้นกับตัวเองจริงๆ? ซั่งกวนฮ่าวนิ่งงัน แต่เห็นท่าทีที่ไม่เหมือนการเสแสร้งของอินหงหลัน เขาก็สงสัยอยู่บ้าง คนที่มีความแค้นกับตัวเอง แต่กลับสนิทสนมกับสองสามีภรรยาอินหงหลันนับว่ามีน้อยมากจริงๆ กล่าวว่ามีเพียงคนเดียวก็ไม่เกินไปแต่อย่างใด เพียงแต่นางไม่มีข่าวคราวมาหลายปีแล้ว จะเป็นศิษย์ของนางได้อย่างนั้นหรือ?

“นางคือศิษย์ของแม่นางอวี๋ฮวน…” ซั่งกวนฮ่าวไม่ได้ตื่นเต้นเช่นนี้มานานมากแล้ว ในใจของเขาแม้จะคาดหวังเล็กๆ ก็ยังไม่กล้า หากคาดหวังไว้มาก ความผิดหวังก็ย่อมมากตาม

“นางเป็นศิษย์ของพี่อวี๋ฮวน!” คำพูดของอินหงหลันทำให้สีหน้าของหวงฝู่เยวี่ยเอ้อมืดมนจนแทบดูไม่ได้ ทั้งทำให้ซั่งกวนเจวี๋ยที่ลอบสังเกตนางอยู่ด้านข้างกระวนกระวายอยู่ในใจ ไม่สงสัยแม้แต่น้อย ในใจของนางคงกำลังสับอวี๋ฮวนและ ‘โม่จิ้ง’ เป็นชิ้นๆ นับครั้งไม่ถ้วนอยู่แน่ๆ ทำให้ยิ่งลังเลขึ้นมาว่าควรจะเผยฐานะมี่เอ๋อร์ให้ทุกคนรู้หรือไม่

“นางเป็นศิษย์ของแม่นางอวี๋ฮวน…” ซั่งกวนฮ่าวไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกอย่างไรกันแน่ หลายปีมานี้ในยามที่เขานึกถึงอวี๋ฮวนก็จะจำได้ถึงความเป็นมิตรใจกล้าของนาง จำได้ว่านางมีรอยยิ้มที่พร่างพราวจนทำให้ท้องฟ้าดูขาดสีสัน ความฉลาดของนางทำให้สามารถตอบคำถามได้นับร้อยพัน ทั้งสิ่งที่จำได้อย่างแม่นยำคือความมืดมนและความเข้มแข็งในยามที่นางรู้ว่าสำนักสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ล่มสลายทั้งท่าทีแหลกเหลวในยามที่จากไปอย่างไร้จุดหมาย ทั้งหมดทั้งมวลล้วนหลงเหลืออยู่เพียงประโยคเดียว ประโยคที่ว่า ‘ในยามนี้นางยังสบายดีอยู่หรือไม่?’

คาดไม่ถึงว่าจะเป็นศิษย์ของผู้หญิงคนนั้นจริงๆ! หวงฝู่เยวี่ยเอ้ออดกัดฟันขึ้นมาไม่ได้ นางจำได้แม่นว่าปีนั้นพี่ใหญ่เคลิบเคลิ้มหลงใหลต่อผู้หญิงคนนั้นถึงขนาดไหน ถึงกระทั่งเพื่อผู้หญิงคนนั้นจึงคิดจะอยู่ตัวคนเดียวไม่แต่งกับใครไปตลอดชีวิต (เป็นอวี๋ฮวนที่พูดกล่อมครั้งแล้วครั้งแล้วจึงทำให้เขาละทิ้งความคิดเช่นนั้นไป) ทั้งยังนึกถึงปีนั้นที่นางแทงซั่งกวนฮ่าวอย่างโหดเหี้ยมด้วยดาบเล่มนั้น แม้ว่าจะไม่อันตรายถึงชีวิต แต่ผู้คนที่มีความสามารถล้วนแต่มองออก ดาบเล่มนั้น เป็นซั่งกวนฮ่าวที่ไม่คิดจะหลบหลีก นี่ทำให้นางยิ่งรู้สึกหงุดหงิดในใจ…แม้ว่าหลังจากเรื่องดาบเล่มนั้น นางก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย ทั้งซั่งกวนฮ่าวก็ค่อยๆ ทยอยจัดการเรื่องบาดหมางและความไม่พอใจในอดีตกับตัวเอง และแม้จะจบอย่างสุขสมหวังไปด้วยดีจนมาถึงวันนี้ก็ไม่อาจทำให้นางมีความรู้สึกดีใดใดต่ออวี๋ฮวนได้เช่นกัน

“คือว่า…อวี๋ฮวน นาง…” ซั่งกวนฮ่าวรู้สึกว่าการจะถามประโยคนั้นออกมาเป็นเรื่องที่ยากจริงๆ โดยเฉพาะยามที่ภรรยายังอยู่ข้างกาย เขารู้ดีว่าภรรยาไม่มีความรู้สึกดีๆ กับอวี๋ฮวนแม้แต่น้อย

“พี่อวี๋ฮวนได้จากไปแล้ว ก่อนที่นางจะไปได้ให้จิ้งเอ๋อร์มาหาข้า ทั้งนับว่าเป็นผู้สืบทอดเพียงคนเดียวด้วยกระมัง!” ในยามที่อินหงหลันกล่าวประโยคนี้ในใจก็บังเกิดความโศกเศร้าที่ยากจะพูด “เดิมทีจิ้งเอ๋อร์ไม่อยากมาหาข้า แต่เพื่อที่จะทำตามคำสั่งเสียครั้งสุดท้ายของท่านพี่ นำเถ้ากระดูกท่านพี่ไปโปรยที่เขาเฮ่อ ฝังไว้กับคนที่นางรักที่สุด ใกล้ชิดที่สุด แต่เนื่องด้วยอุปสรรคของตระกูลมู่หรง นางไม่อาจบุกขึ้นเขาไปตรงๆ ได้ ดังนั้นเมื่อสามเดือนก่อนจึงมาหาข้าที่ลี่โจว”

ซั่งกวนฮ่าวรู้สึกว่าเบื้องหน้าดำมืดไปหมด อวี๋ฮวน…เขายอมที่จะหานางไม่พบ ไม่ทราบข่าวคราวของนางไปชั่วชีวิต ดีกว่าที่จะมาได้ยินข่าวร้ายเช่นนี้ แต่เขาก็เชื่อมั่นว่า อินหงหลันย่อมไม่อาจใช้ข่าวเช่นนี้มาหลอกตัวเองเป็นแน่ นางอาจจะเป็น…ผู้หญิงคนนั้นเป็นศิษย์ของนาง เช่นนั้นนางเพียงปฏิบัติอย่างเย็นชาต่อตัวเอง ไม่ได้พูดจาหยาบคายตอบโต้ ไม่ได้ชักดาบเผชิญ หน้าเหมือนที่อินหงหลันพูด นั่นก็มีมารยาทมากแล้วจริงๆ เพียงแต่…

“เจวี๋ยเอ๋อร์ นางเป็นสหายของเจ้า เจ้ารีบไปรั้งนางไว้ อย่าเพิ่งให้นางออกไป!” จู่ๆ ซั่งกวนฮ่าวก็นึกถึงคำพูดที่นางเอ่ยก่อนจะไป หากนางออกไปแล้วจริงๆ เขาย่อมจะเสียใจภายหลังอย่างแน่นอน

“เข้าใจแล้ว ท่านพ่อ!” ซั่งกวนเจวี๋ยรับคำด้วยท่าทีปกติ ก่อนมองหวงฝู่เยวี่ยเอ้อที่มีท่าทีไม่ชัดเจน เขากลับไม่กังวลปัญหาที่มี่เอ๋อร์จะไปหรือไม่ไปสักนิด…มีเรือนดีๆ ให้พำนัก นางไม่อาจจะไปอยู่โรงเตี๊ยมได้หรอก แม้นางจะไม่ใช่ประเภทที่ไม่อาจทนรับกับความลำบากได้เลย แต่หากสามารถอยู่อย่างสุขสบายได้ก็ย่อมเลือกอยู่อย่างสุขสบายอยู่แล้ว

“ไม่อนุญาตให้ไป!” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อแผดเสียงดัง หากเป็นเพียงสาวคนสนิทหรือสหายทั่วไป นางอาจฝืนใจยอมรับได้ แต่ผู้หญิงคนนั้นมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับอวี๋ฮวน นางยอมรับไม่ได้จริงๆ นางไม่อยากจะเห็นศิษย์ของอวี๋ฮวนลอยหน้าลอยตาอยู่เบื้องหน้าตัวเอง อย่างไรก็ไม่ได้!

“เยวี่ยเอ้อ?” ซั่งกวนฮ่าวขมวดคิ้ว เขารู้ว่าภรรยาไม่ชอบอวี๋ฮวนเป็นอย่างมาก แต่คนก็ล้วนไม่อยู่แล้ว นางยังจำเป็นต้องเข้มงวดกับศิษย์ของอวี๋ฮวนถึงขนาดนี้เชียวหรือ?

“ไม่ได้ก็คือไม่ได้!” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อกล่าวทั้งเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ “ผู้หญิงคนนั้นแค่มองก็รู้แล้วว่าไม่ใช่คนดีอะไร เหตุใดเจ้าจึงปล่อยให้เจวี๋ยเอ๋อร์คบหากับนางต่อไปได้? เจ้าลืมไปแล้วหรืออย่างไรว่าเจวี๋ยเอ๋อร์มีภรรยาแล้ว? จะให้เขาทำผิดต่อมี่เอ๋อร์และหมิงเอ๋อร์ได้อย่างไร? อย่างไรก็ไม่ได้!”

“ท่านแม่…” ซั่งกวนเจวี๋ยคาดไม่ถึงว่าหวงฝู่เยวี่ยเอ้อจะต่อต้านถึงขนาดนี้ ตามที่เขารู้มา อวี๋ฮวนและนางล้วนไม่เคยเผชิญหน้ากันอย่างตรงๆ มาก่อน เพียงแค่นี้ก็ทำให้นางแค้นใจมาจนถึงตอนนี้ได้แล้วหรือ?

“ไม่ได้ก็คือไม่ได้!” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อไม่ยอมถอยแม้แต่น้อย ถลึงตากล่าวกับสองพ่อลูก “ขอแค่เพียงมีข้าอยู่ ข้าย่อมไม่อาจยอมรับการมีอยู่ของผู้หญิงคนนั้นได้ ข้ายอมให้เจวี๋ยมีแค่มี่เอ๋อร์อยู่ข้างกายไปตลอดชีวิต ไม่ให้มีภรรยาหรืออนุคนอื่น นอกจากหมิงเอ๋อร์ก็ไม่ต้องมีลูกหลานคนไหนอีก ดีกว่าต้องให้ผู้หญิงคนนั้นมีความสัมพันธ์ข้องเกี่ยวอะไรกับเจวี๋ยเอ๋อร์ ทั้งไม่อาจยอมให้ผู้หญิงคนนั้นเข้าตระกูลซั่งกวนมาได้!”

“เจวี๋ยเอ๋อร์ เจ้าไปรั้งตัวคุณหนูโม่จิ้งไว้เสียก่อน อย่าได้ให้นางที่เป็นผู้หญิงคนเดียวออกไปเพียงลำพัง ครอบครัวของหงหลันก็ยิ่งไม่อาจให้ออกไปได้!” ซั่งกวนฮ่าวมองข้ามท่าทีที่แข็งกร้าวของหวงฝู่เยวี่ยเอ้อ กล่าวกับซั่งกวนเจวี๋ยไปตรงๆ

“เข้าใจแล้ว ท่านพ่อ!” สุดท้ายซั่งกวนเจวี๋ยก็ยังคงจากไป เขาไม่อาจปล่อยให้มี่เอ๋อร์อยู่ในสถานการณ์ที่ลำบากได้ ไม่ใช่ว่าให้ออกจากเรือนไปอยู่โรงเตี๊ยมแทน ส่วนความรู้สึกของท่านแม่นั้นให้ท่านพ่อพูดปลอบประโลมจะดีที่สุด

“ข้าไปด้วยก็แล้วกัน!” อินหงหลันกลับอยากรั้งตัวอยู่ดูสองสามีภรรยาที่ไม่ได้มีเหตุการณ์ทะเลาะกันมาหลายปีเป็นอย่างมาก แต่เมื่อถูกสายตาของซั่งกวนฮ่าวชำเลืองมา ก็ยังคงรู้ตัวอยู่บ้าง ไม่คิดจะรั้งตัวอยู่ให้คนเกลียด

———————————-