บทที่ 145 การต่อสู้

มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake

บทที่ 145 การต่อสู้

 

ร่างยุทธ์ขั้นสูงสู้กับร่างยุทธ์ระดับกลางของมนุษย์ได้โดยไม่มีความเสียหาย สามารถต้านทานการโจมตีของปรมาจารย์ฝึกจิตได้บ้าง

ในเวลานี้ ดวงตาของหลัวซิวหรี่ลงในทันใด รู้สึกได้ถึงการสั่นไหวจากผังค่ายซ่อนงำระดับ 5 ที่ทางเข้าถ้ำ

“การรับรู้จิตวิญญาณแข็งแกร่งจริงๆ! ไม่ ไม่ถูกต้อง! นี่ไม่ใช่การรับรู้จิตวิญญาณ เป็นการสำนึก ขั้นปรมาจารย์ฝึกจิตขึ้นไปเท่านั้นถึงจะกลั่นออกมาเป็นพลังการสำนึก!”

ในถ้ำ หลัวซิวลุกยืนขึ้นทันที สีหน้าเคร่งขรึมอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน

“หาเจอแล้ว!”

เหยียนเย่วเอ๋อร์ได้จำกัดขอบเขตการค้นหาของเธอให้แคบลงเรื่อยๆ ทำอย่างนี้การสำนึกของนางจะตรวจสอบได้ละเอีอดยิ่งขึ้น และในที่สุดนางก็พบสถานที่ที่น่าสงสัย

ร่างขยับ นางก็บินออกไป ร่างกายบอบบางร่อนไปชั่วครู่กลางอากาศชั่วขณะ แล้วเพิ่มความเร็วที่รวดเร็ว

ไม่นานนางก็มาถึงบริเวณถ้ำ

“ไม่น่าแปลกใจเลยที่ข้าจะหาเจ้ายากอย่างนี้ เพราะเป็นผังค่ายซ่อนงำระดับ 5” ดวงตาสวยงามของเหยียนเย่วเอ๋อร์ หรี่ลงเล็กน้อย

ผังค่ายซ่อนงำระดับ 5 แม้แต่การสำนึกของราชายุทธ์ผู้แข็งแกร่งก็ไม่สามารถตรวจสอบได้ แต่เหยียนเย่วเอ๋อร์นั้นไม่ธรรมดา แสามารถหาตำแหน่งผังค่ายซ่อนงำได้

เห็นแค่นางค่อยๆ ยื่นมือเรียวออกมา ผังค่ายสีบรอนซ์ก็ถูกจับมาเป็นผังค่ายซ่อนงงำระดับ 5

บนผังค่ายมีหินพลังจิตชั้นกลางฝังอยู่

ไม่มีผังค่ายซ่อนงำ การสำนึกของเหยียนเย่วเอ๋อร์ก็กวาดไปที่ถ้ำ และล็อกตัวหลัวซิวที่อยู่ในถ้ำได้ทันที

ในเวลาเดียวกัน หลัวซิวเดินไปถึงที่ทางเข้าถ้ำ เผชิญหน้ากับนางจากระยะไกล

“หลัวซิว เจ้าคิดว่าผังค่ายซ่อนงำระดับ 5 สามารถต้านทานข้าได้เหรอ?” เหยียนเย่วเอ๋อร์หัวเราะเบา ๆ

“คุณเย่วเอ๋อร์ หมายความว่าอย่างไร? จะเป็นศัตรูกับข้าเหรอ?” หลัวซิวพูดเสียงต่ำ

เหยียนเยว่เอ๋อร์ไม่ปฏิเสธ พูดเรียบๆ ว่า “ข้าต้องการหยกอสูรวงนั้นในมือเจ้า”

“หากข้าไม่ให้ล่ะ?”

“งั้นข้าก็ทำได้แค่แย่งแล้ว…”

เหยียนเย่วเอ๋อร์ยิ้มอย่างไม่แยแส เปลวไฟใต้ฝ่าเท้าของนางสั่นไหว และนางก็ตบฝ่ามือออกไป เปลวไปกลายเป็นฟีนิกซ์เพลิง พุ่งไปหาหลัวซิว

“บูม!”

ฟีนิกซ์เพลิงกระแทกเข้ากับม่านแสงของค่ายกลคุ้มกัน ควันหลงแผ่ขยายออกไป ทำลายพืชพันธุ์ทั้งหมดภายในหนึ่งร้อยเมตร และทำให้พื้นที่แถวนั้นราบเรียบก้อนหินกลายเป็นกรวด

หินพลังจิตชั้นกลางที่ถูกฝังอยู่บนผังค่ายคุ้มกันแตกออกเป็นชิ้นๆ ม่านแสงของค่ายกลหายไปอย่างไร้ร่องรอย

ผังค่ายหมุนเวียนด้วยพลังงานจากหินพลังจิต ก่อนหน้านี้ที่เหยียนเย่วเอ๋อร์ตบลงมาไม่ใช่เพื่อทำลายผังค่ายคุ้มกันระดับ 5 แต่เป็นค่ายกลที่ต่อต้านการโจมตีของนางเลยได้สูบพลังงานทั้งหมดออกมาจากหินพลังจิตโดยทันที

นี่ก็คือข้อเสียของผังค่าย

ไม่ให้โอกาสหลัวซิวในฝังหินพลังจิตลงบนผังค่าย เหยียนเย่วเอ๋อร์วูบมาถึงข้างหลัวซิว และตบหน้าอกของเขาด้วยเปลวไฟ

“ฮึ!”

ตามด้วยเสียงต่ำที่ส่งเสียงออกมา ดวงตาของหลัวซิวมีความเย็นชาผุดออกมา หลัวซิวถอยหลังไปครึ่งก้าว สายตาขรึม เขาเพิ่งไปถึงร่างยุทธ์ชั้นสูง กลับถูกฝ่ามือของเหยียนเย่วเอ๋อร์ตบจนเลือดออก พลังเปลวไฟนางผู้นี้มีมากและบริสุทธ์ ร่างกายที่ดูเหมือนบอบบาง แต่ก็เป็นจอมยุทธ์ที่ฝึกวิชากลั่นร่าง!

เหยียนเย่วเอ๋อร์ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ดวงตาสวยเปล่งประกายแวววาว ดูเหมือนประหลาดใจเล็กน้อย “เจ้าถึงร่างยุทธ์ขั้นสูงแล้ว?” เหยียนเย่วเอ๋อร์ไม่แปลกใจไม่ได้ เพราะตอนที่หลัวซิวกลั่นแปรลูกแก้วโลหิตชี่ไห่ลูกแรก นางก็รู้แล้วว่าร่างเนื้อของเขาเป็นแค่ร่างยุทธ์ระดับกลางเท่านั้น แม้จะมีลูกแก้วโลหิตพรสวรรค์เพียงพอ ก็ไม่ควรจะถึงร่างยุทธ์ชั้นสูงได้เร็วอย่างนี้

เพราะพลังในลูกแก้วโลหิตจะทำให้พลังในร่างกายจอมยุทธ์แปรป่วนมีสิ่งเจือปนในเลือด จะต้องขจัดสิ่งเจือปนออก ผนึกรวมปราณให้เป็นหนึ่งเดียว ถึงจะสามารถไปอีกขึ้นหนึ่งได้

เห็นได้ชัดว่าหลัวซิวที่อยู่ข้างหน้านี้ มีเทคนิคที่ทรงพลังบางอย่างสามารถขจัดสิ่งเจือปนออกไปได้และผนึกรวมปราณ

ได้อย่างรวดเร็ว

ในขณะที่เหยียนเย่วเอ๋อร์ครุ่นคิด หลัวซิวก็สังเกตหญิงสาวนางนี้เหมือนกัน

เมื่อครู่ที่โจมตี เหยียนเยว่เอ๋อร์ก็ปล่อยพลังออกมาเล็กน้อย อาจจะอยู่ในพรสวรรค์ระดับ 7 แต่พลังเปลวไฟบริสุทธิ์และแข็งแกร่งของนาง แม้จอมยุทธ์ใหญ่ก็ไม่สามารถเทียบได้

นอกจากนี้ หญิงนางนี้ยังมีการสำนึกอีกด้วย พลังปราณกว้างใหญ่และคาดเดาไม่ได้ ความแข็งแกร่งโดยรวมของนางเทียบได้กับปรมาจารย์ฝึกจิต

ทันใดนั้น จิตสังหารอันรุนแรงก็ปะทุขึ้นระหว่างคนทั้งสอง หลัวซิวและเหยียนเย่วเอ๋อร์โจมตีพร้อมกัน

“โครม!”

กระบี่ยุทธ์ระดับชั้นล่างออกจากฝัก แม้พลังในตอนนี้ของหลัวซิวยังไม่สามารถปล่อยพลังของกระบี่ยุทธ์นี้ออกมาเต็มที่ แต่ด้วยความคมชัดของกระบี่ยุทธ์นี้ แม้แต่ร่างยุทธ์แดนคิงก็ไม่กล้าดูถูก

เหยียนเยว่เอ๋อร์ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามหยิกผนึกนิ้ว พลังเปลวไฟลุกโชนรวมตัวเป็นเกลียวดาบเพลิง มากมายราวกับฝน ดาบหลายร้อยเล่มฟันหลัวซิว

ดาบเพลิงทุกเล่มสามารถเจาะทะลุร่างยุทธ์ระดับกลาง แม้ว่าหลัวซิวจะถึงร่างยุทธ์ชั้นสูงแล้วก็ตาม หากถูกดาบเพลิงหลายร้อยเล่มฟันโดน ถึงไม่ตายก็ต้องเจ็บหนัก

พรึบ! พรึบ! พรึบ! …

ดาบเพลิงทุกเล่มถูกหั่นเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ความเร็วดาบของหลัวซิวนั้นเร็วราวกับสายฟ้า กระบี่ยุทธ์ก่อตัวเป็นตาข่ายดาบ ดาบเพลิงฟันลงมาก็จะถูกหั้นเป็นชิ้นๆ

“ช่างเป็นดาบที่เร็วจริงๆ! น่าเสียดาย เจ้าไม่เข้าใจความหมายของห้วงกระบี่ วิชาดาบเร็วแค่ไหน มันก็เป็นแค่กลอุบายเท่านั้น”

ในดวงตาของเหยียนเย่วเอ๋อร์ เปล่งประกายด้วยความประหลาดใจ จากนั้นนางก็แสดงความดูถูกออกมา

วิชาดาบแดนบริบูรณ์ อาจเป็นเรื่องยากสำหรับจอมยุทธ์พรสวรรค์และจอมยุทธ์ฝึกจิตทั่วไป แต่สำหรับนางแล้ว มันไม่มีความหมายอะไรเลย

เห็นมือหยกของนางหยิกผนึก ปล่อยหมัด ทุกที่ที่เปลวไฟร้อนรุ่มผ่านไป ก็มีระลอกคลื่นในอากาศ ราวกับว่าจะเผาทุกสิ่งในโลกนี้!

“นี่…นี่คือแดนห้วงยุทธ์งั้นหรือ?”

หลัวซิวปลิวออกไปพร้อมกระบี่ ใบหน้าของเขาน่าเกรงขาม

ทักษะยุทธ์ที่เหยียนเย่วเอ๋อร์ใช้นั้นทรงพลัง ต่ำที่สุดก็คือวิชายุทธ์ระดับ 7 !

ไม่เพียงแค่นั้น พลังปราณแท้ของนางยังมีแดนห้วงเผาทุกสิ่ง ทำให้เขารู้สึกว่าพลังปราณแท้ในร่างกายของเขากำลังจะถูกจุดไฟเผาไหม้

ถ้าไม่ใช่เพราะพลังพิเศษแห่งชีวิตและความตายที่เขาฝึกฝน เกรงว่าการโจมตีเมื่อครู่นี้จะไม่ใช่กระเด็นออกไป แต่เป็นบาดเจ็บสาหัส

และเหยียนเยว่เอ๋อร์ใช้ห้วงยุทธ์เปลวไฟเพื่อต้านทานพลังแห่งความตาย ทำให้หลัวซิวไม่สามารถทำลายเส้นชีวิตของนาง

กล่าวโดยไม่ลังเลได้ว่า ไม่ว่าจะเป็นยุทธ์การฝึกตน แดนยุทธ์ หรือยุทธ์ร่างเนื้อ ในทุกๆด้าน หลัวซิวสู้เหยียนเย่วเอ๋อร์ไม่ได้!

“มอบหยกอสูรจันทราสีเงินมา ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า!”

ดวงตาสวยของเหยียนเย่วเอ๋อร์จ้องหลัวซิว และพูดอย่างยโส

ถ้าไม่ใช่เพราะเทพจิตได้รับบาดเจ็บ นางก็จะเป็นจักพรรดิยุทธ์ ประเทศเทียนหวูจะมีคนไม่เกินสิบคนที่สามารถสู้นางได้!

สายตาหลัวซิวไม่สั่นคลอน แม้ว่าเหยียนเย่วเอ๋อร์จะแข็งแกร่งมาก แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้ตนเองก้มศีรษะขอความเมตตา

ดวงตาของเขาเย็นชา ใช้พลังแปรเสวียนเทียนสามเท่าอย่างลับ!ๆ