ตอนที่ 25 แผนการ

แม้ฟางผิงจะคิดว่าพึ่งอะไรก็ไม่สู้พึ่งตัวเอง

แต่เมื่อถึงช่วงเวลาสำคัญจริงๆ ฟางผิงกลับคิดว่าไตร่ตรองอีกสักหน่อยจะดีกว่า

ครุ่นคิดอยู่สักพัก ฟางผิงก็คิดว่าจะลองแจ้งตำรวจดูก่อน หากไม่เป็นผลจริงๆ ตัวเองก็จะหาวิธีดูอีกที

ตอนเย็น ฟางผิงหาข้ออ้างออกจากบ้าน ใช้โทรศัพท์สาธารณะแจ้งความ

ผลเป็นดังที่คาด เมื่อฟางผิงไม่ยอมบอกตัวตนของเขา พูดแค่ว่า เขาสงสัยผู้เช่าใหม่จะเป็นคนเลว

ชั่วขณะนั้น ตำรวจหญิงที่รับเรื่องก็หมดคำพูด เธอไม่ได้พ่นคำหยาบคายออกมา

ทำเพียงปลอบใจว่า “พวกเราย่อมต้องคุ้มครองชีวิตและทรัพย์สินทุกคนให้ปลอดภัย ทางเราจะส่งคนไปลาดตระเวน…”

ส่วนจะลาดตระเวนจริงหรือไม่ ฟางผิงแทบไม่ต้องคิดก็รู้คำตอบ

นี่นับเป็นเรื่องปกติ กำลังตำรวจนั้นมีจำกัด หากไม่มีหลักฐานชี้ชัด ส่งกองกำลังจำนวนมากไปจัดการเพียงเพราะมีคนสงสัย

หากเป็นแบบนั้นจริงๆ พวกตำรวจก็คงไม่ต้องทำอะไรกันแล้ว วันๆ รอจัดการแค่เรื่องพวกนี้พอ

ทุกวันมักจะมีคนโทรมาแจ้งความเท็จจำนวนมาก เว้นเสียแต่ฟางผิงจะพูดว่ายามนี้เขาใกล้ตาย ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางที่ตำรวจจะมา

รวมทั้งฟางผิงไม่ยอมบอกว่าตัวเองเป็นใคร อีกฝ่ายย่อมคิดว่าเขาแจ้งความเท็จอย่างไม่ต้องสงสัย

ที่จริงไม่ใช่ว่าฟางผิงอยากจะปกปิดตัวตน ประเด็นหลักอยู่ที่กังวลว่าผู้ชายด้านบนตึกจะมีเส้นสาย อาจล่วงรู้ข้อมูลอะไรเข้า

หากใช้ชื่อจริงแล้วอีกฝ่ายประสงค์ร้ายกับตัวเอง เกรงว่าคงจะลงมือทันที

ยามนี้จึงแจ้งความในนามบุคคลหวังดี แม้ว่าจะถูกรู้เข้า ก็ไม่รู้ว่าเป็นใครอยู่ดี คนในชุมชนมีเยอะขนาดนั้น

เขาทำตัวมีลับลมคมใน มีคนสงสัยก็ไม่แปลก แต่ก็ใช่ว่าจะเดาว่าเป็นฟางผิงไม่ได้

ตัดสินใจเป็นผู้ผดุงยุติธรรมครั้งแรก ผลลัพธ์กลับไม่เป็นดังที่หวัง ฟางผิงรู้สึกจนใจอยู่บ้าง

อย่างไรหยางเฉิงก็ไม่ใช่เมืองใหญ่ กำลังตำรวจมีอยู่จำกัด เครื่องมือตรวจตราความปลอดภัยก็มีจำนวนน้อย หลายครั้งหากลดภาระเรื่องไหนได้ก็ควรปล่อยไป

อาชญากรรมที่ไม่มีมูลเหตุเช่นนี้ หากมีคนใช้โทรศัพท์สาธารณะแจ้ง ก็เป็นเรื่องยากที่จะให้ความช่วยเหลือ

ยามนี้ฟางผิงทำได้เพียงทิ้งความคิดที่จะแจ้งตำรวจออกไป

สุดท้ายก็ทำได้เพียงพึ่งตัวเอง รอตัวเองล้มอีกฝ่ายได้แล้ว ก็ลองหาหลักฐานดูก่อน หากหาพบ ค่อยแจ้งความก็ไม่สาย

หากหาไม่เจอ…

ฟางผิงถูขมับ หากหาไม่เจอจริงๆ ก็ต้องก่อความวุ่นวายสักหน่อย

ในเมื่อหาหลักฐานจากชั้นบนไม่เจอ ก็พุ่งเป้ามาที่ตัวเองแทน

เขาเป็นหนุ่มเลือดร้อน เพื่อช่วยทางการจับคนร้าย จึงได้ทำเรื่องเช่นนี้ออกมา พอเกิดเรื่องก็ยอมรับความผิดกับตำรวจ คุณลุง…

เมื่อเป็นเช่นนี้ ตำรวจย่อมให้ความสนใจ

ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นคนดีหรือไม่ดี ตำรวจล้วนให้ความสนใจทั้งนั้น

หากเป็นคนดี นั่นย่อมดีที่สุด หลังจากเกิดเรื่องตัวเองก็ยอมรับผิดแต่โดยดี ชดใช้ค่าเสียหายเสียหน่อย

หากเป็นคนเลว นั่นยิ่งดีไปใหญ่ ทนลำบากครั้งเดียวเพื่อความปลอดภัยของตน ไม่แน่ว่าเขาอาจจะได้รางวัลกลับมา

ไตร่ตรองถึงข้อดีข้อเสียแล้ว ฟางผิงคิดว่า แม้ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร อย่างมากเขาก็แค่ถูกตักเตือนเท่านั้น ไม่ได้เสียหายอะไรร้ายแรง

เทียบกับความอันตรายถึงชีวิต ผลลัพธ์นี้จึงยังพอยอมรับได้

เมื่อคิดตกแล้ว ฟางผิงก็สบายใจขึ้นมาก คิดวางแผนอย่างใจเย็นว่าควรจะล้มผู้ชายคนนั้นอย่างไรดี

คืนนี้ ฟางผิงยังคงออกกำลังอยู่ตรงลานหลังบ้าน

แต่ตอนที่ออกกำลังกาย เมื่อมองไปยังหน้าต่างชั้นสอง ก็มักรู้สึกว่ามีคนลอบมองตนเองอยู่

“เขากำลังจับตาดูเรา!”

ฟางผิงคิดได้อย่างนี้ ก็ยิ่งมั่นใจว่าผู้ชายบนตึกนั้นคิดร้ายต่อตัวเอง

ความเป็นจริง นี่ก็นับว่าคาดเดาถูกส่วนหนึ่ง

หวงปินมองจากชั้นสองอยู่พักหนึ่ง แต่เขายังมีเรื่องต้องทำ จึงไม่มีเวลามองนานขนาดนั้น

วันต่อมา

ฟางผิงออกไปโรงเรียนตอนเช้า ปรากฏว่าบังเอิญพบกับหวงปินที่กลับมาจากไปซื้ออาหารเช้าอีกครั้ง

เมื่อวานหวงปินไม่รู้จักฟางผิง ย่อมไม่จำเป็นต้องทักทาย

แต่เมื่อคืนพบกับฟางผิงแล้ว คงต้องนับว่ารู้จัก

ดังนั้นพบกันอีกครั้ง เพื่อรักษาภาพลักษณ์คนดี หวงปินจึงเป็นฝ่ายส่งยิ้มทักทายฟางผิงก่อน

เขาไม่ทักทายยังพอว่า แต่เห็นเขาเผยยิ้มเจตนาไม่ดี ฟางผิงจึงนึกถึงเรื่อง ‘ทำดีเพื่อหวังผล’ ขึ้นมาอีกครั้ง

หากความคิดนี้ถูกหวงปินล่วงรู้ เขาคงต้องคับข้องใจอย่างยิ่ง

หากทักทาย นั่นก็หมายความว่าทำดีหวังผล

หากไม่ทัก เกรงว่าฟางผิงก็ต้องคิดว่า ชายผู้นี้จงใจไม่รู้จักเขาอยู่ดี!

สงสัยอะไรมั่วซั่วย่อมเป็นเช่นนี้ ยามที่คุณสงสัยใครคนหนึ่ง ไม่ว่าอีกฝ่ายจะทำอะไร คุณก็จะคิดว่าเขาเป็นเหมือนที่คุณคาดไปเสียหมด

ตอนนี้ฟางผิงสงสัยว่าหวงปินคิดร้ายกับตน ไม่ว่าจะมองยังไงจึงคิดว่าชายคนนี้ไม่ใช่คนดี

ฟางผิงมั่นใจแล้วว่าชายผู้นี้ไม่ได้มาดี ทั้งตัดสินใจแล้วว่าจะจัดการอีกฝ่ายก่อนค่อยว่ากัน

วางแผนก่อนย่อมได้เปรียบ จะล้มอีกฝ่ายใช่ว่าจะไร้วิธีเสียทีเดียว

ช่วงเช้าที่โรงเรียน ฟางผิงดูเหมือนตั้งใจอ่านหนังสือ ความจริงเขากลับกำลังวางแผนว่าควรจะลงมืออย่างไรดี

รอจนคาบเช้าสิ้นสุด ฟางผิงก็วิ่งไปจนแทบไม่เห็นเงา

เฉินฝานเห็นเขาวิ่งไวแทบไม่เห็นฝุ่น นอกจากถอนหายใจว่า ‘ร่างกายแข็งแรงจริงๆ’ แล้ว ก็ทำได้เพียงอิจฉาเท่านั้น

เมื่อคาบเรียนช่วงบ่ายเริ่มต้น ฟางผิงก็กลับมาเรียนทันเวลา

ไม่มีใครสังเกตว่า ในกระเป๋าเสื้อของฟางผิงมีถุงเล็กๆ หลายใบเพิ่มเข้ามา

คิดจะล้มใครสักคน ยานอนหลับ ยากล่อมประสาทล้วนเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด แน่นอนว่า ของพวกนี้ล้วนเป็นยาตามใบสั่งแพทย์ หาซื้อได้ยากยิ่ง

ฟางผิงก็ไม่จะคิดซื้อของพวกนี้ เพราะยาเหล่านี้มีประสิทธิภาพธรรมดา ทั้งออกฤทธิ์ช้า

ยิ่งไปกว่านั้นอีกฝ่ายอาจเป็นผู้ฝึกยุทธ์ ร่างกายนั้นแข็งแกร่งกว่าคนทั่วไป ยานอนหลับธรรมดาย่อมไม่เป็นผล

เว้นเสียแต่ว่าจะใช้ยาจำนวนมาก แต่คนบนตึกก็ไม่ใช่คนโง่ จู่ๆ ยื่นยาเม็ดสีขาวให้เขากิน ใครจะโง่กินกัน

หากเป็นนักเรียนธรรมดา ยามนี้เกรงว่าจะอับจนหนทางแล้ว

น่าเสียดายที่ฟางผิงไม่ใช่

ตอนกลางวัน ฟางผิงจึงไปร้านขายของผู้ใหญ่มาเที่ยวหนึ่ง

ชาติก่อน ฟางผิงมีเพื่อนคนหนึ่งเป็นนักข่าว เคยตรวจสอบเรื่องหนึ่งลับๆ นั่นก็คือพวกยาเสพติดออกฤทธิ์หลอนประสาทที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในเวลานั้น

ผลปรากฏว่า ยาที่สามารถทำให้คนหมดสติในเวลาไม่กี่วินาที ทั้งยังทำลายความทรงจำ เป็นเรื่องที่เหลวไหลสิ้นดี

หากมียาชนิดนี้จริงๆ วิสัญญีแพทย์ก็คงไม่มีงานทำแล้ว

แต่พวกยากล่อมประสาทที่ให้ประสิทธิภาพดีกว่ายาชายังคงมีอยู่

ยากล่อมประสาทพวกนี้ เพิ่มส่วนผสมของยาชาเข้ามาอีกจำนวนมาก ขอเพียงยาออกฤทธิ์ ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร ล้วนให้ผลข้างเคียงร้ายแรงทั้งนั้น

เวียนหัวอยากอาเจียนอยู่หลายวัน นับเป็นเรื่องปกติ

เพื่อนของฟางผิงเองเคยทดสอบด้วยตัวเอง ดื่ม ‘ยาลบความทรงจำ’ เข้าไปนิดหน่อย ปรากฏว่าแม้จะไม่ได้สลบไป แต่ก็รู้สึกมึนงง ไร้เรี่ยวแรง

ยามนั้นฟางผิงก็อยู่ในเหตุการณ์ เขาคว้ากระเป๋าเงินของเพื่อนซึ่งๆ หน้า

หลังจากเกิดเรื่องเพื่อนเล่าว่า ยามนั้นเขารู้ตัว แต่กลับไม่มีกำลังจะทำอะไร คิดจะขัดขวางก็ไม่ได้ มือไม้ไร้เรี่ยวแรง พูดไม่ออกสักคำด้วยซ้ำ

แต่ประสิทธิภาพของยาก็ไม่ได้น่าตกใจอย่างที่เล่าขานขนาดนั้น เขาเพียงตกอยู่ในสถานะครึ่งหลับครึ่งตื่นเกือบยี่สิบนาทีเท่านั้น

บางทีอาจเป็นเพราะดื่มเข้าไปน้อย แต่ดื่มมากก็กลัวจะทำลายร่างกาย เพื่อนจึงไม่กล้าทดสอบอีก

เป็นเพราะประสบการณ์ครั้งนั้น ฟางผิงจึงได้รู้ว่าควรจะซื้อของพวกนี้ที่ไหน

ที่จริงยามนี้ พวกร้านขายของผู้ใหญ่ก็ไม่ได้ค้าขายอย่างเปิดเผย ราคาจึงไม่สูงมาก

ตอนกลางวัน ฟางผิงวิ่งไปหลายร้าน เสียเงินไปสี่ร้อยหยวน จึงซื้อมาได้สามถุง

ตามคำแนะนำของเถ้าแก่คนนั้น ผลลัพธ์ดีจนน่าตกใจ แต่ว่าเขาไม่แนะนำให้ฟางผิงใช้

ซื้อยาแล้ว ต่อไปย่อมต้องคิดวิธีให้อีกฝ่ายกิน

ฟางผิงกังวลว่าผู้ฝึกยุทธ์จะมีความต้านทานสูง เถ้าแก่บอกว่าคนทั่วไปใช้ห้ามิลลิลิตรก็เพียงพอแล้ว ครั้งนี้ฟางผิงจึงซื้อมาสามขวดเล็กๆ รวมทั้งหมดห้าสิบมิลลิลิตร

ใช้ปริมาณสิบเท่า แม้ว่าจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ ก็ต้องมีตัวชา สะลึมสะลือจับต้นชนปลายไม่ถูกบ้างแหละ?

แต่ให้กินมากไป คนก็อาจจะตายได้ ท้ายที่สุดฟางผิงจึงตัดสินใจใช้แต่พองาม แม้ว่าผลข้างเคียงจะมากยังไง ก็ดีกว่าทำให้คนตาย

ชายด้านบน ไม่ทำกับข้าวกินเอง ชอบซื้อของกินจากข้างนอก

ตอนนี้ยังไม่มีเหม่ยถวน[1]หิวอะไรก็สั่งมาส่งถึงหน้าประตูได้ ต้องไปซื้อข้างนอกเองทั้งนั้น

แต่เมื่อวานฟางผิงก็สังเกตถึงบางอย่าง ยามที่ชายบนตึกลงมาทิ้งขยะ มีแต่กล่องข้าว

จะเห็นได้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้กินข้าวด้านนอก แต่ซื้อกลับมา คงจะกลัวคนอื่นเห็นเขากินเยอะแล้วสงสัยอะไรขึ้นมา

ไม่มีคนส่งอาหาร คิดจะลงมือก็ลำบากไม่น้อย

ฟางผิงยังคงวางแผนต่อ จะทำอย่างไรให้อีกฝ่ายยอมกินดี?

อาศัยฐานะนักเรียนของตัวเอง ฐานะเพื่อนบ้านที่อาศัยอยู่ชั้นล่าง? หลอกวางยาชายคนนั้น คาดว่าคงไม่ทันระวังอะไรเขาหรอก?

ตลอดทั้งวันฟางผิงเอาแต่คิดวางแผนล้มชายคนนั้น

จวบจนเลิกเรียน ฟางผิงค่อยสะบัดหัว หงุดหงิดเล็กน้อย ไม่ว่าจะมองยังไงก็เหมือนตัวเองรับบทวายร้ายอยู่บ้าง

เมื่อกดความคิดนี้ลงไป เขาก็เอ่ยปลอบใจกับตัวเอง อย่างมากก็ทำให้อีกฝ่ายสะลึมสะลือสองสามวันเท่านั้น ต่อจากนั้นเขาชดใช้ค่าเสียหายก็คงเพียงพอแล้ว

ทั้งอีกฝ่ายก็ไม่ใช่ผู้หญิง ตัวเองไม่ได้คิดลามกเอาเปรียบอะไร?

หากเป็นคนเลวจริงๆ นั่นก็นับว่าเขาเป็นผู้ผดุงความยุติธรรมแล้ว

เมื่อถึงบ้าน ฟางผิงก็ขังตัวเองอยู่ในห้อง นำยาแต่ละขวดเทรวมกัน

ครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะเปลี่ยนสวมเสื้อเชิ้ตแขนยาว ทั้งใส่เสื้อคลุมทับด้านนอก

เมื่อเป็นเช่นนี้ก็พอปกปิดได้แล้ว

รอจนฟางผิงออกมาจากห้อง ฟางหยวนก็เผยสีหน้าประหลาดใจ พี่ชายตัวเองเป็นอะไรไป?

“ฟางผิง นายไม่ร้อนเหรอ?”

แม้อากาศเดือนเมษายนจะไม่ได้ร้อนมาก แต่ยามนี้อุณหภูมิกลับเพิ่มขึ้นไม่น้อย

ฟางผิงกลับบ้านมาก็สวมเสื้อคลุม คงจะไม่ได้ป่วยหรอกนะ?

เมื่อเห็นน้องสาว ฟางผิงจึงเพิ่งตั้งสติได้ หากอีกฝ่ายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ ไม่ถูกตัวเองทำให้สลบ นั่นก็เป็นปัญหาแล้ว

ตอนเย็นคนในบ้านอยู่พร้อมหน้าพร้อมตา ไม่ปลอดภัยอย่างยิ่ง

ตอนกลางวันพ่อแม่ไปทำงาน ฟางหยวนก็ไปโรงเรียน

ดูท่าคงต้องลงมือตอนกลางวันเสียแล้ว ป้องกันเผื่อเกิดเหตุไม่คาดฝัน

นึกมาถึงตรงนี้ ฟางผิงก็รีบถอดเสื้อคลุม เอ่ยทั้งหัวเราะ “ไม่มีอะไร เมื่อกี้แค่รู้สึกหนาวขึ้นมาเฉยๆ”

“ไม่สบายเหรอ?” ฟางหยวนถามอย่างเป็นห่วงอยู่บ้าง

ฟางผิงเตรียมจะปฏิเสธ แต่เมื่อครุ่นคิดอีกทีก็พยักหน้าเอ่ย “เหมือนจะไม่สบายนิดหน่อย หากไม่ไหวพรุ่งนี้คงต้องลาโรงเรียนตอนเช้า นอนพักสักหน่อยคงไม่เป็นไรแล้ว”

ได้ยินเขาพูดแบบนี้ ฟางหยวนก็ยกมืออังหน้าผากเขา เมื่อพบว่าตัวไม่ร้อน ก็สบายใจขึ้นมาหน่อย

ตอนเย็นได้ยินว่าฟางผิงไม่สบาย พรุ่งนี้เช้าอาจต้องลา ฟางหมิงหรงและหลี่อวี้อิงก็ถามอย่างเป็นห่วงเสียยกใหญ่

ฟางผิงบอกว่าตัวเองไม่เป็นอะไรมาก แม้สองสามีภรรยาจะกังวลอยู่บ้าง ท้ายที่สุดก็ไม่ถามมากความอะไรอีก

เพียงคิดว่า หากพรุ่งนี้ยังไม่หาย คงต้องพาไปหาหมอสักหน่อย

เดิมทีหลี่อวี้อิงเตรียมจะลางานพรุ่งนี้เพื่อดูแลลูกชาย แต่ฟางผิงคัดค้านเสียงแข็ง

เห็นอาการของลูกชายไม่หนักมาก หลี่อวี้อิงจึงไม่ดื้อดึงต่อ ตอนเย็นให้เงินฟางผิงอีกหนึ่งร้อยหยวน หากเขามีอาการหนักก็ให้ขึ้นรถไปหาหมอ

เมื่อวางแผนทุกอย่างเสร็จสรรพแล้ว ฟางผิงจึงสบายใจขึ้นมาบ้าง รอโอกาสลงมือวันพรุ่งนี้เท่านั้น

———————-

[1]เหม่ยถวน แอปพลิเคชันส่งอาหารของจีน