ตอนที่ 26 จัดการ
วันศุกร์ที่ 11 เมษายน
เช้าตรู่ฟางผิงใช้มือถือรุ่นเก่าคร่ำครึของพ่อ โทรไปลาช่วงเช้ากับอาจารย์ประจำชั้น
หลิวอันกั๋วเป็นห่วงอย่างยิ่ง ตอบกลับมาว่าให้ฟางผิงรักษาสุขภาพ พักผ่อนให้เพียงพอ
ฟางผิงในยามนี้ ไม่ใช่ฟางผิงคนก่อนแล้ว
เขามีโอกาสสอบเข้ามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้!
การสอบใกล้เข้ามาแล้ว หากยามนี้ล้มหมอนนอนเสื่อ หลิวอันกั๋วคงต้องหลั่งน้ำตา
จนได้ฟังจากฟางผิงว่าเขาไม่สบายเล็กน้อยเท่านั้น หลิวกั๋วอันจึงค่อยวางใจ กำชับยกใหญ่ ยินดีอย่างยิ่งที่จะให้ฟางผิงลาเรียน
มาถึงตอนนี้ สองสามีภรรยาฟางหมิงหยวนก็ยิ่งเชื่อสนิทใจว่า ลูกชายมีโอกาสสอบเข้ามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้จริงๆ
อาจารย์ประจำชั้นใส่ใจดูแลขนาดนี้ หากไม่ใช่ว่ามีโอกาสสอบได้ เขาก็คงไม่ทำเช่นนี้หรอก
ฟางหยวนที่ก่อนหน้านี้สงสัยว่าพี่ชายตัวเองคุยโม้ ยามนี้จำต้องเชื่อว่า พี่ชายน่าจะไม่ได้โกหกจริงๆ
กระทั่งสาวน้อยยังตั้งคำถามกับการใช้ชีวิตว่า พี่ชายตัวเองจะสอบศิลปะการต่อสู้ได้หรือไม่?
เห็นแววตาไม่กล้าจะเชื่อของน้องสาว ฟางผิงก็กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอย่างยิ่ง
—
ไม่นาน พ่อแม่ก็ไปทำงาน ฟางหยวนไปโรงเรียนเช่นกัน
ในบ้านเหลือเพียงฟางผิงอยู่คนเดียว
แม้ว่าตึกด้านบนจะเงียบสงัด แต่ฟางผิงมั่นใจว่า ชายคนนั้นยังอยู่ด้านบน
ชายที่เอาแต่หมกตัวอยู่ติดบ้านคนนั้น!
นอกจากกินข้าว ฟางผิงก็ไม่เคยเห็นอีกฝ่ายออกไปไหนเลย
แน่นอนว่า ชายคนอื่นที่อยู่ติดบ้าน หากไม่เล่นอินเตอร์เน็ต ติดทีวี ก็คงคลั่งไคล้ในเรื่องอื่น
แต่ชายชั้นบนนั้น ฟางผิงมั่นใจว่าอีกฝ่ายไม่มีอินเตอร์เน็ต ทั้งไม่ดูโทรทัศน์เช่นกัน
อินเตอร์เน็ตชั้นบนถูกตัดไปนานแล้ว โทรทัศน์ก็เหมือนไม่เคยถูกเปิดมาก่อน
คนเช่นนี้ หมกอยู่แต่ในบ้าน ก็ไม่รู้ว่าปิดบังความชั่วร้ายอะไรอยู่
ฟางผิงสงสัยอย่างยิ่งว่า ยามนี้ชายคนนั้นจะกำลังหลบอยู่ข้างหน้าต่าง ไม่ก็แนบหูกับพื้นห้อง เพื่อจะฟังความเคลื่อนไหวของบ้านเขา
ฟางผิงไม่รู้ว่าผู้ฝึกยุทธ์มีความสามารถพิเศษในทุกเรื่อง รวมทั้งการฟังด้วยหรือเปล่า
ดังนั้นแม้จะอยู่บ้าน เขาก็ระวังตัวอย่างยิ่ง หลีกเลี่ยงที่จะพูดเรื่องสำคัญ
รวมทั้งก่อนที่จะขึ้นไปหยั่งเชิง วันนี้เขาลาเรียน ก็ทำทุกอย่างเป็นขั้นเป็นตอน เพื่อไม่ให้เรื่องดูกระโตกกระตาก
ฟางผิงไม่ได้รีบหาโอกาสขึ้นไปชั้นบน เขาเดินวนอยู่ในบ้านรอบหนึ่ง สวมเสื้อคลุม ก่อนจะเอาขวดยายัดไว้ในแขนเสื้อ วางปากขวดที่ฝ่ามือ
ทดลองกับแก้วในบ้านตัวเองหลายครั้ง เมื่อฟางผิงรู้สึกว่า ตัวเองหยอดยาได้เร็วไม่น้อย ยามนี้จึงสบายใจขึ้นมาบ้าง
ยานี้ไม่มีกลิ่นอะไร แต่ไม่รู้ว่าดื่มไปแล้ว จะมีรสชาติหรือไม่
ฟางผิงกังวลอยู่บ้าง จึงเทลงไปผสมในน้ำนิดหน่อย ก่อนจะใช้ลิ้นแตะดู
เมื่อปลายลิ้นสัมผัส ก็แทบไม่ต่างอะไรจากน้ำเปล่าเลย ฟางผิงรีบถ่มออกมา ก่อนใบหน้าจะปรากฏรอยยิ้มขึ้น
ไร้สีไร้รส ดีกว่าที่ตัวเองจินตนาการไว้มาก
ผู้ฝึกยุทธ์ก็เป็นคนเหมือนกัน แม้ว่าจะไวต่อกลิ่นและรส คาดว่าคงไม่เจอความผิดปกติง่ายๆ ถึงเพียงนั้น
ฟางผิงก็คิดว่าคงจะไม่มีใครที่เอาแต่ระวังตัวอยู่ตลอดหรอก ยิ่งไปกว่านั้นตัวเองยังเป็นแค่นักเรียนคนหนึ่ง
นอนอยู่บนเตียงสักพัก รอจนเวลาเก้าโมงกว่า เขาก็หยัดกายขึ้น เดินไปทางห้องครัว
เมื่อเข้าไปในครัว ฟางผิงก็ถือกาน้ำร้อนขึ้น บ่นกับตัวเองไปพลาง “ในบ้านไม่มีน้ำร้อนเลยเหรอเนี่ย?”
“กินยาไม่มีน้ำร้อน กินไม่ลงจริงๆ!”
เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะคว้ายาแก้ไข้และแก้วน้ำ เดินออกไปด้านนอก
—
ชั้นสอง
ก๊อกๆๆ
หวงปินที่กำลังค้นของในกระเป๋าสัมภาระ ได้ยินเสียงเคาะประตู สีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
รีบยัดกระเป๋าในมือไว้ใต้โซฟา ก่อนจะชะงักลมหายใจ ไม่ให้มีเสียงเคลื่อนไหว
“คุณลุงอยู่บ้านไหมครับ?”
เมื่อเสียงดังเข้ามาจากประตู หวงปินก็ขมวดคิ้วขึ้น เจ้าเด็กนี่อีกแล้ว!
เขาเผยสีหน้าหมดความอดทนอยู่บ้าง เขาปลีกตัวมาอยู่คนเดียว ก็เพราะไม่อยากคบค้าสมาคมกับใคร เด็กนี่สองวันกลับมาหาเขาสองครั้งแล้ว
หวงปินนั้นไม่อยากตอบ แต่เมื่อครุ่นคิดแล้ว ยังคงเอ่ยกลับไป “อยู่ๆ กำลังไป!”
—
ด้านนอกประตู
หวงปินเปิดประตูด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม “วันนี้ไม่ไปเรียนเหรอ?”
ฟางผิงถูขมับเล็กน้อย เอ่ยอย่างกลัดกลุ้มอยู่บ้าง “ไม่รู้ว่าหลายวันนี้เครียดเกินไปหรือเปล่า รู้สึกเวียนหัวนิดหน่อย เลยลาเรียนช่วงเช้าไป คุณลุงมีน้ำร้อนหรือเปล่า? ผมกำลังจะกินยา แต่ในบ้านไม่มีน้ำร้อน ถ้าต้มน้ำยังต้องรออีกพักใหญ่ ผมเลยขึ้นมา…”
หวงปินเข้าใจทันที หงุดหงิดใจยิ่งกว่าเดิม
เด็กนี้คิดกับเขาเป็นคนกันเองเสียอย่างนั้น ในบ้านไม่มีน้ำร้อนก็มาขอเขา!
แม้ว่าจะรำคาญ หวงปินยังคงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ฉันมีน้ำร้อน นายเข้ามาสิ”
“รบกวนคุณลุงแล้ว”
“ไม่ต้องเกรงใจหรอก”
ทั้งสองคนเอ่ยพอเป็นพิธี ก่อนฟางผิงจะถือแก้วน้ำเข้ามาในห้อง
หวงปินชี้ไปที่ห้องครัว “กาน้ำร้อนอยู่ทางนั้น ให้ฉันช่วยหรือเปล่า?”
“ไม่เป็นไรครับคุณลุง เดี๋ยวผมจัดการเอง” ฟางผิงโบกมือพัลวัน
จากนั้นก็มองระเบียงที่รูดผ้าม่านปิดครึ่งหนึ่ง เอ่ยราวไม่ใส่นัก “ในห้องมืดจัง ม่านนี้เสียเหรอครับคุณลุง?”
“ไม่ได้เสีย…”
“อ่อ ผมก็นึกว่าม่านรูดไม่ได้ซะอีก”
หวงปินไร้คำพูดอย่างยิ่ง ทำไมแกจะต้องจุ้นจ้านไปทุกเรื่อง?
แต่เจ้าเด็กนี้ก็ทำให้เขาฉุกคิดได้ว่า ทำแบบนี้ไม่เหมาะสมเท่าไร กลางวันแสกๆ กลับรูดม่านมาปิดไว้
เห็นฟางผิงเดินเข้าไปในครัว หวงปินก็ไม่ได้ตามเข้าไป เดินไปทางระเบียงแทน คิดจะเปิดผ้าม่านออก
ฟางผิงลอบถอนหายใจ คำพูดนี้ เขาตรึกตรองมาหลายครั้งแล้ว
หวงปินเดินไปตามแผนที่เขาวางไว้จริงๆ แน่นอนว่า แม้หวงปินจะไม่เดินไปทางระเบียง ฟางผิงก็ยังมีแผนรับมืออีก
ยามนี้กลับลดปัญหาไปได้
ฟางผิงไม่คอยช้า เดินเข้าไปในครัว ยกกาน้ำร้อนเทใส่แก้วตัวเอง
จากนั้นก็ควักขวดเล็กๆ ออกมาจากแขนเสื้อ เทยาใส่กาน้ำร้อนด้วยความรวดเร็ว
เมื่อเสร็จเรียบร้อย ฟางผิงก็ปิดฝาขวด เก็บยาไว้ที่เดิม ยามนี้ค่อยยกแก้วน้ำเดินออกไปข้างนอก
ออกมาจากครัว หวงปินก็เปิดผ้าม่านออกแล้ว กำลังจะเดินมาทางครัวพอดี
ฟางผิงไม่เผยความลนลานอะไร อีกฝ่ายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ หากเขาหัวใจเต้นเร็ว อีกฝ่ายย่อมจับสัมผัสได้ นั่นก็เป็นเรื่องแล้ว
เห็นหวงปินเดินมา ฟางผิงก็ยกแก้วขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ขอบคุณนะครับคุณลุง”
“ไม่เป็นไร”
หวงปินก็ไม่มากความ พูดจบก็รอสักพัก เจ้าเด็กนี้ได้น้ำร้อน เดี๋ยวก็คงไปแล้ว
ใครจะรู้ว่า เดิมทีฟางผิงก็ไม่ได้ตระหนักว่าเจ้าของบ้านจะรำคาญใจอย่างไร ไม่มีความคิดจะออกไปอยู่ในหัวแม้แต่น้อย
ฟางผิงไม่มีทางเลือก เขาไม่มีเครื่องมือคอยสอดแนม ใครจะรู้ว่าหวงปินดื่มน้ำเมื่อใด
ทำได้เพียงมองอยู่เช่นนี้ หากอีกฝ่ายดื่มน้ำแล้ว ถึงจะมีโอกาสลงมือ
ไม่อย่างนั้น หากพลาดช่วงนั้นไป แม้อีกฝ่ายจะดื่มน้ำจริงๆ แต่ตัวเองไม่รู้ นั่นก็ไม่มีประโยชน์
ครั้งแรกชายผู้นี้คงดื่มน้ำอย่างไม่ใส่ใจอะไร แต่หลังเกิดเรื่องนี้ย่อมจับสังเกตถึงความผิดปกติได้แน่
หากคิดจะหาโอกาสครั้งที่สอง คงเป็นไปไม่ได้แล้ว
ทั้งตัวเองก็ต้องถูกสงสัย ดังนั้นโอกาสจึงมีเพียงครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้น
ในสถานการณ์แบบนี้ ฟางผิงย่อมไม่ปลีกตัวออกไป รอเห็นอีกฝ่ายดื่มน้ำด้วยตาตัวเองแล้วค่อยว่ากัน
ฟางผิงไม่สนใจว่าหวงปินจะคิดยังไง ยกน้ำดื่มพร้อมกินยาแก้ไข้ ก่อนจะเอ่ยว่า “ปกติคุณลุงอยู่ที่บ้านแค่คนเดียวเหรอครับ?”
“อืม ครอบครัวอยู่ที่บ้านเกิดทั้งหมด ฉันมาทำงานที่หยางเฉิงแค่คนเดียว”
ฟางผิงก่นด่านในใจ จะโกหกก็หาข้ออ้างเนียนๆ หน่อย คิดว่าฉันเป็นคนโง่หรือไง?
จะทำงานกลับไม่หางาน ยังมาเช่าห้องอยู่คนเดียว วันหนึ่งออกไปซื้อข้าวข้างนอกก็หมดไปเป็นร้อยหยวนแล้ว
คิดว่าฉันไม่เคยทำงานมาก่อนหรือไง? ถึงจะด่าในใจ ฟางผิงก็ยังคงเผยสีหน้าเห็นใจ “ลูกต้องคิดถึงคุณลุงมากแน่ๆ ผมก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน พ่อออกไปทำงาน ปกติก็กลับมาดึกมาก บางครั้งผมแทบไม่เห็นเขาทั้งวัน คิดถึงเขามากๆ ว่าแต่คุณลุง ทีวีนี้ใช้ได้หรือเปล่า? ทีวีที่บ้านผมถูกพ่อถอดสายออกไปแล้ว บอกว่าผมอยู่มอปลายปีสาม ไม่อนุญาตให้ดูทีวี ผมเลยไม่ได้ดูมานานแล้ว”
หวงปินใบหน้าเขียวคล้ำขึ้นมา เจ้าเด็กบ้านข้างล่างนี้หน้าหนาจริงๆ!
มาขอน้ำร้อนไม่เท่าไร ยังต้องมาดูทีวีของเขาอีก!
เคยคำนึงถึงความรู้สึกคนอื่นบ้างหรือเปล่า?
แต่เมื่อนึกได้ว่าอีกฝ่ายยังเด็ก จะไม่เข้าอกเข้าใจผู้อื่นก็ไม่ใช่เรื่องแปลก หวงปินพยายามข่มกลั้นอารมณ์ เอ่ยว่า “ทีวี…”
เขาพูดไม่ทันจบ ฟางผิงกลับเดินไปทางห้องนั่งเล่น ยกรีโมทขึ้นมาเปิดทีวีแล้ว
เมื่อทีวีถูกเปิดขึ้น ฟางผิงก็ทำหน้าตื่นเต้นขึ้นมาทันที “คุณลุง ผมขอดูทีวีที่นี่สักพักได้หรือเปล่า?”
‘แม่งเอ้ย!’
หวงปินสบถในใจ เขายังไม่ทันตอบรับ เด็กนี่ก็เปิดทีวีขึ้นไปนั่งโซฟาเองแล้ว ฉันจะพูดอะไรได้?
เมื่อครู่ยังคิดจะบอกว่าทีวีเสีย แต่ยามนี้จะให้พูดอะไรกัน?
เขากำลังสวมบทเป็นคนดี ในบ้านก็ไม่มีคนอื่นอยู่ จะให้หาข้ออ้างอะไรมาไล่คนไป
ไม่อย่างนั้นบอกว่าตัวเองจะออกไปข้างนอก?
แต่ยามนี้เขาไม่อยากทำตัวเป็นเป้าสายตาใคร กลางวันแสกๆ หากออกไปถูกคนเห็นเข้าจะทำอย่างไร?
ขบคิดในใจพักใหญ่ ก่อนหวงปินจะพยายามสงบใจ เผยรอยยิ้มออกมา “ไม่เป็นไร นายชอบก็ดูสักพักเถอะ”
“คุณลุงชอบดูฟุตบอลหรือเปล่า? มาดูด้วยกันไหมครับ?”
“ไม่เป็นไร ฉันดูอะไรก็ได้ทั้งนั้น”
หวงปินถอนหายใจอีกครั้ง ช่างเถอะ อดทนอีกสักหน่อย เดี๋ยวเจ้าเด็กนี้ก็ต้องไปเรียนแล้ว
ก่อนหน้านี้ก็พูดว่าลาเรียนตอนเช้า?
น่าเบื่อชะมัด คงต้องรอจนถึงเวลากินข้าวแล้ว
คิดเรื่องพวกนี้แล้ว พอมีคนนอกอย่างฟางผิงอยู่ที่นี่ หวงปินก็ไม่อาจทำเรื่องอื่นได้ จึงไปนั่งโซฟาด้านข้าง จ้องจอทีวีอยู่เงียบๆ
ฟางผิงก็ดูทีวีอยู่เช่นกัน เผยสีหน้าเคลิบเคลิ้มอย่างยิ่ง ความเป็นจริงกลับร้อนใจอยู่บ้าง
หมอนี่จะดื่มน้ำเมื่อไรกัน?
ขอเพียงแค่เขาดื่มน้ำ ตัวเองก็จะไปทันที จากนั้นอีกยี่สิบนาทีจะมาเคาะประตูใหม่
ยี่สิบนาที ยาก็คงออกฤทธิ์แล้ว แม้เขาจะไม่ได้สลบ ก็คงไม่มีเรี่ยวแรงจะทำอะไรแล้ว?
หวงปินที่ดูทีวีมาตลอดครึ่งชั่วโมง กลับไม่มีทีท่าจะกระหายน้ำแม้แต่น้อย
ฟางผิงจนใจ ทำได้เพียงยกแก้วน้ำ หยัดกายขึ้น “คุณลุง ผมจะไปเอาน้ำร้อนเพิ่ม คอแห้งมากๆ จะเอามาให้คุณลุงด้วย”
ไม่รอให้หวงปินปฏิเสธ ฟางผิงก็เดินเข้าไปในห้องครัว
ฟางผิงไม่ได้เทน้ำใส่แก้ว เขายกกาน้ำร้อนเข้าไปในห้องนั่งเล่น เทให้ตัวเอง ก่อนจะเทใส่แก้วใหญ่ที่อยู่ตรงหน้าหวงปินอีกแก้ว
ยามนี้หวงปินไม่อยากจะพูดแม้แต่น้อย เจ้าเด็กนี้ทำเหมือนกับรู้จักกันมานาน
หากไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากทำตัวเป็นจุดสนใจ ยามนี้ก็คงโยนเจ้าเด็กนี้ออกไปนอกหน้าต่างแล้ว
หวงปินจะคิดยังไง ฟางผิงกลับไม่ใส่ใจ
เขาเหลือบสายตามองแก้วที่วางอยู่หน้าหวงปินแวบหนึ่ง ไม่ได้แตะต้องแก้วของตัวเองแต่อย่างใด ยังคงดูทีวีต่อราวกับกำลังเพลิน จึงลืมดื่มน้ำไปเสียสนิท
มนุษย์นั้นง่ายจะทำพฤติกรรมตามหลักจิตวิทยา
หากข้างหน้าคุณไม่มีน้ำ ใช่ว่าจะมีโอกาสที่คุณตั้งใจไปเทน้ำมาดื่มเสมอไป
แต่หากข้างหน้าคุณมีน้ำอยู่ แม้ว่าคุณจะไม่กระหาย แต่บางครั้งก็อาจเผลอดื่มน้ำโดยไม่รู้ตัวได้
โดนเฉพาะน้ำที่คนอื่นเทให้ ส่วนมากแล้ว แม้ไม่กระหายก็จะดื่มเป็นมารยาท
เมื่อครู่ฟางผิงตั้งใจเทน้ำให้หวงปิน ก็เพราะจะทำตามหลักจิตวิทยา
ฟางผิงยังพอว่า เขาสามารถใช้ทีวีในการเบี่ยงเบนความสนใจได้ แต่เห็นได้ชัดว่าหวงปินไม่มีใจจะดูทีวี
เมื่อไม่มีอะไรทำ ก็จะดื่มน้ำเล็กน้อยผ่อนคลายอารมณ์
ผ่านไปไม่กี่นาที หวงปินก็ขยับตัวเล็กน้อย เอนกายไปข้างหน้า หยิบแก้วน้ำขึ้นมา
ชั่วพริบตานั้นฟางผิงก็ใจเต้นระรัว
เพื่อไม่ให้ผิดสังเกต ฟางผิงจึงเอ่ยทั้งจ้องทีวี “ยังไม่เข้าอีก เตะให้เข้าสิ!”
ความจริง ฟางผิงคิดมากเกินไป
หวงปินนั้นระวังตัวจากคนจำนวนมาก คนของหน่วยสืบสวน ผู้ฝึกยุทธ์ที่มาจากภายนอก บุคคลที่น่าสงสัยคนอื่น แต่กลับไม่เคยคิดระแวงฟางผิงแม้แต่น้อย
เด็กหนุ่มวัยไม่กี่สิบปี ทั้งยังเป็นเพียงนักเรียน
ตัวเองไม่เคยมีความแค้นอะไรกับเขา แม้ก่อนหน้านี้จะเคยคิดทำลายเขามาก่อน แต่ก็ไม่ได้ลงมือเสียหน่อย?
ในสถานการณ์เช่นนี้ เด็กวัยรุ่นคนนี้จะวางแผนจัดการตัวเองได้อย่างไร?
อย่าว่าแต่หวงปิน หากเป็นคนอื่น เกรงว่าจะคิดแบบนี้เช่นกัน
ก่อนหน้านี้หวังจินหยางมาโรงเรียน พวกฟางผิงไปต้อนรับ เชิญหวังจินหยางไปร้านเครื่องดื่ม ต่อให้เป็นหวังจินหยางก็คงไม่สงสัยว่าจะมีคนวางยาพิษในเครื่องดื่มของเขา?
หากระแวงนั่นระแวงนี่ไปทั่ว สภาพจิตใจคงพังไปนานแล้ว
ดังนั้นการที่ฟางผิงพยายามกลบเกลื่อนด้วยข้ออ้างมากมาย ที่จริงกลับไม่มีประโยชน์ด้วยซ้ำ
หวงปินไม่เคยนึกถึงเรื่องพวกนี้ ดังนั้นจึงยกแก้วขึ้นดื่มน้ำอึกใหญ่
ผู้ฝึกยุทธ์กินน้ำย่อมไม่เหมือนกับผู้หญิงทั่วไป จิบทีละนิดละหน่อย
ดื่มอึกใหญ่เข้าไป น้ำจึงพร่องไปเกือบครึ่งแก้ว
ฟางผิงเห็นเช่นนั้นก็ไม่คิดรั้งตัวอยู่ต่อ เอ่ยทันที “แย่แล้ว ผมเหมือนจะลืมปิดแก๊ส คุณลุง ผมขอตัวก่อนนะครับ”
หวงปินปรารถนาจะไล่เขาไปอย่างยิ่ง ชั่วขณะนั้นก็ยิ้มขึ้นมา “ได้ ว่างๆ ค่อยมาเที่ยวเล่นใหม่”
“ขอบคุณครับคุณลุง เดี๋ยวผมจัดการเรียบร้อยแล้วจะมาใหม่”
“…”
หวงปินอยากตบปากตัวเองอยู่บ้าง ปากไม่มีหูรูดจริงๆ เจ้าเด็กนี่ก็ทำตัวเป็นคนกันเองเกินไปแล้ว
ยังตอบกลับตัวเองมาแบบนี้ น้ำซึมเข้าสมองจนเลอะเลือนไปหมดแล้วมั้ง? น่าเสียดายที่บนโลกนี้ไม่มียาแก้ความเสียใจในภายหลัง
หวงปินฝืนเอ่ยตามมารยาทไม่กี่ประโยค ก่อนจะมองฟางผิงออกจากห้องไปอย่างรีบเร่ง
รอจนฟางผิงไปแล้ว หวงปิงก็นวดขมับ รู้สึกลำคอแห้งผากอยู่บ้าง ยกแก้วขึ้นมาดื่มอีกครั้ง
ก่อนจะสั่นศีรษะเล็กน้อย ไม่สนใจฟางผิงอีก เขาดึงกระเป๋าสัมภาระออกมาจากใต้โซฟา
นึกได้ว่าอีกเดี๋ยวเด็กนั้นอาจจะมาอีก หวงปินก็คว้ากระเป๋านั้นเข้าไปในห้อง ป้องกันไม่ให้เจ้าเด็กนั่นมาเห็นเข้า
———————-