ตอนที่ 27 ฟางผิงรับบทตัวร้าย
ชั้นล่าง
เดิมทีฟางผิงก็ไม่ได้กลับบ้าน แต่เดินออกมาจากตึกแทน หาที่ซ่อนตัวมุมหนึ่ง
เขากังวลว่าอีกฝ่ายจะไม่โดนฤทธิ์ยาในช่วงเวลาสั้นๆ หากตระหนักได้ว่าตัวเองวางแผนจัดการเขา อาจจะลงมาหาตัวเอง
ฟางผิงยังคงระแวงระวังตัวกับผู้ฝึกยุทธ์อย่างยิ่ง
แม้ว่าเมื่อครู่เขาจะมือลื่น เทลงไปสามขวด ตามหลักแล้ว ไม่ฆ่าคนก็นับว่าโชคดีแล้ว
แต่ผู้ฝึกยุทธ์นั้นแข็งแกร่ง อย่างไรฟางผิงก็คิดว่าคงไม่ตาย แถมอีกฝ่ายอาจจะมีแรงอยู่บ้างเสียด้วยซ้ำ
รอดูอยู่ข้างนอกก่อน อีกเดี๋ยวค่อยขึ้นไปหยั่งเชิงอีกครั้ง
—
ห้อง 201
หวงปินเข้าในห้อง ซ่อนสัมภาระเสร็จแล้ว จู่ๆ ก็รู้สึกว่าภาพเบื้องหน้าดูพร่ามัวอยู่บ้าง
เขาสะบัดศีรษะเล็กน้อย ชั่วขณะนั้นเขาก็รู้สึกมือไม้อ่อนแรง ถึงกระทั่งทรุดตัวนั่งลงไป
“ซวยแล้ว!”
เมื่อพบเจอกับสถานการณ์เช่นนี้ อย่างแรกที่หวงปินนึกถึงกลับไม่ใช่ฟางผิง แต่เป็นหน่วยสืบสวนของเมืองหยางเฉิง!
ตัวเองถูกจับได้ ทั้งยังถูกอีกฝ่ายลอบลงมือ!
อีกฝ่ายลงมือกับเขาได้อย่างไรกัน?
หวงปินเวียนหัวอย่างยิ่ง ชั่วพริบตาก็หวาดกลัวถึงที่สุด ยากที่จะเชื่อ
เขามั่นใจแล้วว่า ตัวเองย้ายมาที่นี่ คงไม่มีใครเฝ้าสังเกตตัวเอง
ก่อนออกจากประตูทุกวัน เขาก็สังเกตระแวดระวัง หากทางเมืองหยางเฉิงส่งคนมาตามเขา คงปิดเขาไม่ได้หรอก
ครั้งก่อนก็เป็นเช่นนี้ หยางเฉิงส่งคนมาตามตัวเอง ไม่นานตัวเองก็จับพิรุธได้ทันที
ยิ่งไปกว่านั้น วันนี้ตั้งแต่เช้าเขาก็ออกไปซื้ออาหารเช้าเพียง…
อาหารเช้า?
หรือจะถูกวางยาในอาหารเช้า?
กระนั้นตั้งแต่เช้าจนถึงตอนนี้ ก็ปาเข้าไปสองสามชั่วโมงแล้ว ยาอะไรจะออกฤทธิ์ช้าขนาดนั้น?
แม้ว่าจะมาถึงยามนี้ หวงปินก็ยังไม่นึกถึงฟางผิง
รวมทั้งสมองที่กำลังมึนเบลอ เขาจึงไม่ทันตรึกตรองเรื่องอะไรมาก
เมื่อรับรู้ได้ว่าแขนขาอ่อนแรง หวงปินก็ร้อนใจขึ้นมา ไม่อาจปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป!
เขากัดลิ้นตัวเองอย่างแรง ในปากรับรู้ได้ถึงกลิ่นคาวเลือด
หวงปินไม่สนใจเรื่องพวกนี้ ฝืนกายหมุนตัวไปคว้าสัมภาระ ครู่ต่อมาก็พยุงตัวเองออกมาเกาะที่ขอบหน้าต่างอย่างยากลำบาก
ปรากฏว่า หน้าต่างของห้องติดเหล็กนิรภัยกันขโมยเอาไว้
“แม่งเอ้ย!”
หวงปินปวดหัวแทบระเบิด ยามนี้เขารู้สึกว่าแขนขาชาเริ่มชาขึ้นเรื่อยๆ นึกถึงคนของพวกหน่วยสืบสวน ไม่แน่ว่าอาจจะรออยู่ข้างนอก
เขาจึงไม่กล้าออกทางประตูหลัก ทำได้เพียงหาทางหนีจากการกระโดดหน้าต่างเท่านั้น
เขาย้ายตัวเองมายังห้องนั่งเล่นอย่างยากลำบาก หวงปินทุบขาของตัวเองอย่างแรง ยามนี้เขาค่อยตระหนักได้ว่า เขาเริ่มควบคุมแขนขาตัวเองไม่ได้แล้ว
ฟางผิงนั้นใส่ยามากเกินไปจริงๆ
แม้ผู้ฝึกยุทธ์จะแข็งแกร่งกว่าคนทั่วไป แต่ยังไงหวงปินก็เป็นเพียงผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสอง
ฟางผิงใช้ยามากกว่าคนทั่วไปถึงสิบเท่า หากเป็นคนธรรมดา เกรงว่าจะสลบไสลไม่ได้สติไปแล้ว
แต่ยามนี้หวงปินยังสามารถขยับตัว เห็นได้ชัดว่าเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมาย
หวงปินคงไม่ทันได้คิดภาคภูมิใจในความอึดของตัวเอง อาศัยการดิ้นรนเฮือกสุดท้าย ทั้งพยายามควบคุมตัวเอง สุดท้ายก็สามารถพาตัวเองมาที่ริมระเบียงได้
และยามนี้ จู่ๆ ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
“ปังๆๆ…”
“คุณลุง ผมมาดูทีวีแล้วครับ”
“คุณลุง ยังอยู่บ้านไหมครับ?”
หวงปินกำลังสะลึมสะลือ ยามนี้จึงฝืนประคองสติอีกครั้ง เดิมทีเขาคร้านจะสนใจเจ้าเด็กที่อยู่นอกประตู
มาถึงขั้นนี้แล้ว เขาก็ย่อมไม่คิดจะปกปิดตัวตนอีก
แต่ชั่วพริบตา หวงปิงค่อยดึงสติกลับมาได้อยู่บ้าง ใช่แล้ว จับคนเป็นตัวประกัน!
ยามนี้หากตัวเองกระโดดลงจากหน้าต่าง ดูจากสถานการณ์ตอนนี้ โอกาสที่จะหนีรอดแทบจะเป็นศูนย์
แต่หากมีตัวประกัน โดยเฉพาะนักเรียนมอปลายสายศิลปะการต่อสู้ คาดว่าทางหยางเฉิงคงไม่กล้าเพิกเฉยชีวิตของเจ้าเด็กนี้
ราวกับคว้าฟางช่วยชีวิตครั้งสุดท้ายได้ หวงปินเค้นแรงอย่างสุดความสามารถ หมุนกายเปลี่ยนทิศทางไปยังประตูทางเข้า
ฉวยโอกาสยามที่คนของหน่วยสืบสวนยังไม่รู้ว่าตัวเองโดนกับดักแล้ว ชิงตัวเจ้าเด็กนี่มาก่อนค่อยว่ากัน
—
หน้าประตู
ฟางผิงยังคงเคาะประตูต่อ เคาะอยู่พักใหญ่ ด้านในกลับไม่มีเสียงอะไร
ฟางผิงเดาว่า ชายผู้นั้นคงจะเสียท่าให้เขาแล้ว
แต่ฟางผิงก็ไม่กล้าไว้ใจเสียทีเดียว ในมือที่ซ่อนอยู่ด้านหลังเขา ยังถือไม้กระบองขนาดเหมาะมือไว้
ไม่มีคนเปิดประตู นั่นย่อมดีที่สุด อีกเดี๋ยวเขาจะลองปีนขึ้นมาจากลานบ้านของตัวเอง
มีคนเปิดประตู ก็ต้องรับมือตามสถานการณ์
หากอีกฝ่ายเสียรู้ให้เขา เขาก็คงต้องใช้กระบองซ้ำอีกสักหน่อย
แต่หากไม่หลงกลเขา เช่นนั้นก็คงต้องอ้างเรื่องท่อน้ำข้างล่างตัน บอกว่าตัวเองมาระบายน้ำชั้นบน
“ใช่ ระบายน้ำ!” ฟางผิงลอบให้กำลังใจตัวเอง
เมื่อวางแผนรับมือดีแล้ว ฟางผิงก็เคาะอีกครั้ง ตะโกนอย่างใสซื่อ “คุณลุง อยู่บ้านหรือเปล่าครับ?”
“หรือจะออกไปข้างนอก ถ้างั้นเดี๋ยวค่อยมาใหม่…”
ฟางผิงรำพึงรำพันกับตัวเอง จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังแผ่วมาจากด้านในประตู
ผ่านไปสักพัก ประตูห้องที่อยู่หลังประตูนิรภัยก็ถูกเปิดออก
หวงปินตาลายไปหมดแล้ว ถึงกระทั่งแทบไม่เห็นว่าคนที่อยู่ด้านนอกเป็นใคร ฝืนเปล่งเสียงว่า “ขะ…เข้ามา…”
“คุณลุงเป็นอะไรรึเปล่าครับ?” ฟางผิงไม่กล้าผลุนผลันเข้าไป เมื่อตระหนักจุดนี้ได้ก็ถอยออกมาจากประตูก้าวหนึ่ง เขาเอ่ยอย่างระมัดระวัง “สีหน้าคุณดูไม่ค่อยดี? ไม่สบายหรือครับ?”
หวงปินรู้สึกว่าตัวเองแทบจะหน้ามืดอยู่รอมร่อ ไหนเลยจะมีเวลาพูดไร้สาระกับเขา เปิดประตูนิรภัยแล้ว ก็เอ่ยด้วยหอบหายใจ “เข้า…เข้ามาสิ…”
“คุณลุง ไม่อย่างนั้นให้ผมโทรหารถพยาบาล? โทรหาตำรวจก็ได้! สถานการณ์คุณตอนนี้ไม่ดีเท่าไร…”
หวงปินปวดหัวแทบระเบิด โทรหาตำรวจบ้านแกสิ!
เจ้าเด็กนี่มานานขนาดนี้ ไม่แน่ว่าอีกเดี๋ยวคนของหน่วยสืบสวนที่เฝ้าอยู่ด้านล่างก็จะขึ้นมาแล้ว
หวงปินไม่สนใจเรื่องคำพูดอีกแล้ว ฉวยโอกาสตอนที่ยังพอมีแรง ยื่นมือไปหาฟางผิงทันที
ฟางผิงระวังตัวอยู่ก่อนแล้ว รีบถอยหลังไปอีกหลายก้าว
หวงปินอึ้งไปเล็กน้อย ยามนี้ฟางผิงก็คงสังเกตได้ว่าตัวเองอยู่ในสภาพไม่ดีเท่าใด
ไม่ต้องพูดก็รู้ว่าเมื่อครู่ชายคนนี้คิดจะจับเขา แค่นี้ก็เดาได้แล้วว่าไม่ใช่คนดีอะไร
ตามเหตุผลแล้ว คนทั่วไปหากรู้สึกไม่สบาย สิ่งแรกที่จะทำย่อมให้ฟางผิงช่วยเรียกรถพยาบาลให้
แต่ชายผู้นี้กลับคิดจะจับตัวเอง!
หากพูดว่าเขาเป็นคนดี ฟางผิงก็กล้าที่จะกลืนไม้กระบองในมือเช่นกัน!
ยามนี้ฟางผิงมั่นใจอย่างถึงที่สุด การคาดเดาก่อนหน้านี้ของเขาไม่ผิดแม้แต่น้อย
เขาไม่ลังเลอีก มีผู้ฝึกยุทธ์คิดจะสร้างปัญหาให้ตัวเอง ไม่แน่ว่ายังวางแผนจะเอาชีวิตเขาด้วย ย่อมไม่จำเป็นต้องเกรงใจกับคนแบบนี้
ชั่วพริบตานั้น เขาก็วาดมือขวาที่ซ่อนกระบองยู่ด้านหลัง ฟาดลงที่หัวหวงปินทันที!
“ไอ้สัตว์เอ้ย!”
นี่เป็นปฏิกิริยาแรกของหวงปิน!
คาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะป้องกันตัวเองจากเขา ทั้งยังเตรียมกระบองมาด้วย ต่อให้หวงปินสมองพร่าเลือนเช่นนี้ ก็รู้แล้วว่าใครเป็นคนที่ลงมือกับตัวเอง
คาดไม่ถึงว่าจะไม่ใช่คู่อริ ไม่ใช่คนของหน่วยสืบสวน ทั้งไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์ข้างนอกนั้น…
คนอย่างหวงปินกลับถูกเด็กบ้าคนหนึ่งวางอุบาย!
“ไอ้สัตว์!”
คำพูดนี้เขาไม่ได้ด่าออกมา แต่ด่าไม่ทันมากกว่า
ชั่วพริบตาที่กระบองของฟางผิงฟาดลงมา หวงปินก็ฝืนยกมือขวาขึ้น ไม่ใช่เพื่อโจมตี แต่ป้องกันหัวของตัวเอง
หากเป็นตอนปกติ เขาไม่เสียท่าให้เด็กนี่ ไม้กระบองไม่ทันฟาดมา เขาก็คงเตะฟางผิงกระเด็นได้แล้ว
แต่ยามนี้แขนขาล้วนไม่มีแรง เขาสามารถยืนได้ ก็เพราะพยายามควบคุมสติตัวเองอย่างสุดความสามารถ
“ตุ้บ!”
กระบองไม่ได้ถูกหัวของหวงปิน แต่ตีโดนแขนของเขาแทน
แววตาของฟางผิงเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย หากคนธรรมดาถูกกระบองตี กระดูกไม่หักก็นับว่าเป็นเรื่องดีแล้ว
แต่ยามที่เขาตีกระบองโดนแขนอีกฝ่าย กลับคล้ายว่าตีโดนปูนเสียอย่างนั้น คาดไม่ถึงว่ากระบองจะเด้งกลับมา
ยามนี้แม้จะยังไม่รู้ว่าผู้ฝึกยุทธ์น่ากลัวขนาดไหน แต่ฟางผิงกลับตระหนักได้ว่า ร่างกายของอีกฝ่ายแข็งแกร่งเพียงใด!
ความคิดพวกนี้วาบขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
ฟางผิงไม่อาจคิดเยอะได้ เดิมทีไม่กล้าใช้ออกแรงมาก เพราะกลัวจะทำคนตาย
ยามนี้ไหนเลยจะสนใจเรื่องอะไรอีก ดึงกระบองกลับมา ก่อนจะทุบไปสุดแรงอีกครั้ง!
“ตุ้บ!”
กระบองถูกแขนของหวงปินขวางไว้อีกครั้ง ความเจ็บจากการโจมตีทั้งสองครั้ง กลับทำให้หวงปินดึงสติกลับมาได้เล็กน้อย
พอคิดได้ว่าตัวเองถูกเด็กบ้าคนหนึ่งวางอุบาย เขาก็หัวร้อนขึ้นมา กัดลิ้นตัวเองอย่างแรง
ชั่วพริบตานั้น หวงปินก็ราวกับมีแรงขึ้นมา สาวเท้าไปทางหน้าประตู
ต่อมาก็ไม่คิดป้องกันอะไรแล้ว หวงปินเหวี่ยงหมัดไปข้างหน้าสุดแรง!
เขาเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสองที่ใกล้จะทะลวงด่าน แม้จะมาถึงขั้นนี้ ก็ต้องทำให้ไอ้ขยะนี้รู้ว่า ผู้ฝึกยุทธ์ไม่ใช่คนที่ใครจะหลอกได้ง่ายๆ!
ฟางผิงย่อมเห็นการเคลื่อนไหวของอีกฝ่าย ไม่ทันได้คิดอะไรมาก หวงปินก็เหวี่ยงหมัดมาพอดี เขาจึงควงกระบองฟาดเข้าไปอีกครั้ง
“ฮึบ!”
ฟางผิงหน้าเปลี่ยนสี หมัดของหวงปินดูเหมือนจะช้า ถึงกระทั่งไม่ค่อยมีแรง
แต่เมื่อหมัดนี้พุ่งเข้ามา กลับทำให้กระบองในมือของเขาหัก
เพราะถูกโต้กลับด้วยแรงที่มากกว่า ยามที่กระบองสะท้อนกลับ นิ้วที่กำไม้จึงปวดขึ้นมาทันที ถึงกระทั่งชาไปทั่วทั้งมือ
ฟางผิงพยายามข่มกลั้นความเจ็บ ทั้งไม่กล้าปล่อยกระบองที่หักเช่นกัน หวดกระบองอีกครึ่งหนึ่งใส่หัวของหวงปินต่อ
แม้เพิ่งจะเป็นการโจมตีครั้งแรก แต่ก็มาถึงขีดจำกัดของหวงปินแล้ว
หวงปินในยามนี้แทบไม่รู้สึกแล้วว่าตัวเองยังมีมือกับเท้าอยู่หรือเปล่า
“ตุ้บ!”
ฟาดกระบองที่หัวของหวงปินครั้งแรก กลับไม่ได้ทำให้หัวแตกอย่างที่คิด หัวของหวงปินนั้นแข็งกว่าคนธรรมดา
ฟางผิงแทบจะก่นด่าบุพพาการีในใจ นี่คือผู้ฝึกยุทธ์สินะ?
ใช้ยาไปมากขนาดนี้ เรื่องมีสติไม่เท่าไร แต่ยังมีแรงโต้กลับเนี่ยสิ
โจมตีตอนไม่มีแรง หัวของอีกฝ่ายก็ยังแข็งกว่าคนทั่วไป เขาทุบจนมือตัวเองชาไปหมดแล้ว
ฟางผิงไม่เสียเวลาคิดเรื่องพวกนี้มาก เขาเค้นแรงออกมาสุดกำลังจนหน้าแดง ทุบหัวหวงปินซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ยามนี้ ฟางผิงแทบจะลืมคิดไปว่าจะทำให้คนตายหรือเปล่า
น่ากลัวเกินไปแล้ว!
คาดไม่ถึงว่าคนเช่นนี้คิดจะจัดการตัวเอง หากตัวเองไม่เป็นฝ่ายลงมือก่อน เกรงว่าแค่อีกฝ่ายใช้มือเดียวก็คงสามารถฆ่าเขาตายได้
หวงปินนั้นยืนไม่ไหวแล้ว ฟางผิงฟาดไม้มาติดต่อหลายครั้ง แข้งขาเขาก็อ่อนยวบ ลงไปนอนกองกับพื้น
ยามนี้หวงปินยังไม่ได้หมดสติโดยสมบูรณ์ พยายามเบิกตามองฟางผิงอย่างดุร้าย ราวกับคิดจะใช้สายตาข่มให้ฟางผิงถอยไป
เดิมทีฟางผิงก็ไม่คิดมองแววตาเขา แม้ว่าอีกฝ่ายจะล้มลงไปแล้ว ฟางผิงก็ยังคงฟาดกระบองไม่หยุด
ทุบหัวเขาก่อน รอจนเห็นหน้าผากของหวงปินมีเลือดออก ฟางผิงก็เปลี่ยนไปทุบตำแหน่งอื่น
มือและขาทั้งสองข้าง หน้าอก…
ไม่ว่าจะสามารถข่มขู่อีกฝ่ายได้หรือไม่ แต่ฟางผิงก็ยังคงโจมตีไม่หยุดยั้ง
ทางเดินตึก จึงได้ยินเสียงไม้กระทบเนื้อคนไปทั่ว รวมถึงเสียงหอบหายใจของฟางผิงด้วยเช่นกัน
—
ฟางผิงไม่รู้ว่าตัวเองฟาดอีกฝ่ายไปกี่ครั้งกันแน่ จวบจนมือไม้เขาเริ่มไม่มีแรง ฟางผิงจึงค่อยหยุดหอบหายใจอย่างแรง
ยามนี้ฟางผิงจึงมองไปยังหวงปิน
หวงปินกองอยู่กับพื้น ศีรษะนั้นเต็มไปด้วยเลือด
เพราะแขนขาถูกตีซ้ำๆ ยามนี้จึงชักกระตุกเล็กน้อย
หน้าอกยังคงกระเพื่อมขึ้นลง แสดงให้เห็นว่าอีกฝ่ายยังมีชีวิตอยู่
ฟางผิงพักหายใจอยู่ครู่หนึ่ง คิดย้อนแล้วก็รู้สึกกลัวอยู่บ้าง
เขาไม่กล้าจินตนาเลย หากตัวเองไม่วางยาอีกฝ่าย ยามนี้จะเกิดอะไรขึ้น
ฟางผิงไม่ได้ทะเลาะวิวาทเป็นครั้งแรก
แต่ครั้งนี้ไม่ใช่การทะเลาะวิวาท แต่เป็นตีคนมากกว่า ทั้งตีคนที่ไม่มีทางสู้ด้วย
ตีจนตัวเองมือไม้อ่อนไปหมด หายใจแทบไม่ทัน นี่น่าจะนับว่าเป็นครั้งแรก
ฟางผิงเลียริมฝีปากที่แห้งผาก ก่อนจะใช้เท้าเขี่ยหวงปินอย่างระมัดระวัง พบว่าอีกฝ่ายไม่มีการตอบสนอง
ฟางผิงมองไปรอบๆ กลางวันแสกๆ แบบนี้ คนอื่นคงไปทำงานหมดแล้ว ยามนี้ทางเดินในตึกจึงเงียบเชียบอย่างยิ่ง
มองหวงปินที่นอนขวางประตูอีกครั้ง ฟางผิงก็ปวดหัวอยู่บ้าง ชายผู้นี้อันตรายเกินไปแล้ว ไม่ใช่ว่าเดี๋ยวก็ฟื้นขึ้นมาอีกครั้งหรอกนะ?
ฟางผิงไม่ลังเลนานนัก ก็คว้าตะบองขึ้นมาทุบหวงปินอีกครั้ง
ร่างของหวงปิงเพียงกระตุกเท่านั้น ยามนี้ฟางผิงจึงมั่นใจแล้วว่าอีกฝ่ายไม่มีแรงแล้วจริงๆ
เขาวางไม้ลง สาวเท้าเข้าไปในห้อง ก่อนจะลากหวงปินเข้าไป ปิดประตูลงอย่างรวดเร็ว
—
ภายในห้อง
ฟางผิงสำรวจไปทั่ว หาผ้าปูเตียงมาผืนหนึ่ง จะก่อนพลิกหวงปิน ห่อเขาไว้ในนั้น
การมัดทั้งตัวเช่นนี้ ยังปลอดภัยกว่าใช้เชือกอยู่มากโข
ฟางผิงกังวลว่าแค่ผ้าปูเตียงจะไม่เพียงพอ ยามนี้จึงเดินค้นหารอบห้อง ก่อนจะได้ผ้าปูเตียงมาอีกผืน มัดตัวหวงปินไว้อีกชั้น
ต่อจากนั้นก็ใช้ผ้าห่มห่ออีกรอบ เหลือเพียงส่วนหัวโผล่ออกมาข้างนอก
ยังกลัวว่าจะไม่พอ ฟางผิงหาเชือกจากชั้นสองไม่ได้ พบลวดขดหนึ่งมาแทน
เขาเริ่มนำลวดมาวนรอบผ้าห่มอย่างแน่น ขดครั้งแล้วครั้งเล่า ท้ายที่สุดก็ใช้คีมบิดลวดผูกเงื่อนตายเอาไว้
เวลานี้ฟางผิงจึงค่อยเช็ดเหงื่อที่หน้าผาก หอบหายใจ “หากทำขนาดนี้ แกยังหลุดออกมาได้ ก็นับว่าเก่งแล้ว!”
มือเท้าของอีกฝ่ายถูกตัวเองตีจนแตกร้าวอยู่บ้าง ไม่รู้ว่าจะหักหรือเปล่า
ยามนี้มือเท้าถูกพันธนาการ ไม่มีเรี่ยวแรงเหลืออยู่ ด้านในและนอกถูกห่อหลายชั้น ทั้งด้านนอกสุดยังถูกมัดด้วยขดลวด
หากทำแบบนี้อีกฝ่ายยังหลุดออกมาได้ นั่นก็เก่งล้ำคนแล้ว
เมื่อมัดอีกฝ่ายไว้แล้ว ฟางผิงก็ใช้เทปปิดปากเขาไว้เกือบห้าหกชั้น
ยามนี้ จู่ๆ ฟางผิงก็รู้สึกแปลกๆ อยู่บ้าง พึมพำว่า “ทำไมถึงรู้สึกว่า ตัวเองเป็นตัวร้ายเสียอย่างนั้น!”
ไม่อาจห้ามความคิดนี้ได้จริงๆ เขาบุกเข้าบ้านคนอื่น ทั้งยังวางยาอีกฝ่าย
ต่อมายังตีคนจนแทบปางตาย ท้ายที่สุดยังพันธนาการเอาไว้ กระทั่งปากก็ยังไม่เว้น
นี่ไม่ใช่สิ่งที่ตัวร้ายในละครทำกันหรอกรึ?
แก้มของฟางผิงกระตุกสั่นอยู่บ้าง ยามนี้หากมีใครบุกเข้ามา เกรงว่าคงจะคิดว่าหวงปินเป็นคนดี ส่วนตัวเองเป็นผู้ร้าย
ฟางผิงสะบัดศีรษะเล็กน้อย จ้องมองหวงปิน ก่อนจะปวดหัวขึ้นมาอีกครั้ง ตัวเองทำคนอื่นจนสภาพเป็นแบบนี้ เหมือนจะไม่เข้าท่าสักเท่าไร
ยามนี้เขามั่นใจแล้วว่า ชายผู้นี้เป็นคนเลว
หากหาหลักฐานไม่ได้ ทิ้งให้ตำรวจแบบนี้ เกรงว่าจะไม่ใช่แค่โดนตักเตือนแล้ว
เดิมทีฟางผิงไม่ได้วางแผนจะลงมือโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้ แค่สลบไปก็เพียงพอแล้ว
แต่ใช้ยาสิบเท่า อีกฝ่ายก็ยังไม่สลบ ทั้งยังสู้กลับได้ เขาจึงจำเป็นต้องลงมือเช่นนี้
“มีปัญหาเสียแล้ว!”
ฟางผิงพึมพำ กลับไม่ได้กลัวขนาดนั้น อย่างไรก็น่าจะมีทางออก
————————