“ยอดฝีมือพลิกฟ้าในโลกนี้มีใครบ้าง?” เยี่ยเฟิงและฝูกวงต่างมองนางด้วยความสงสัย

กู้ชูหน่วนปิดปากและไอเบา ๆ “ข้าหมายความว่าพวกเราที่นี่มีใครเป็นยอดฝีมือพลิกฟ้าบ้าง?”

เยี่ยเฟิงพูดเบา ๆ “เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมีคน ส่วนมากน้อยแค่ไหนนั้น ไม่รู้เลยจริง ๆ แต่จอมมารเผ่าปีศาจ เยี่ยจิ่งหานเทพแห่งสงคราม หัวหน้าเผ่าเพลิงฟ้า ผู้นำนิกายเทพอสูร ล้วนแต่เป็นยอดฝีมือพลิกฟ้าที่มีชื่อเสียงในใต้หล้า รวมทั้งเหล่าผู้อาวุโสของตระกูลเก่าแก่มากมาย”

“จอมมารเผ่าปีศาจมีทั้งความชอบธรรมและความชั่วร้าย อารมณ์ไม่คงที่ เขาต้องการแย่งชิงระฆังวิญญาณสะบั้น และไม่จำเป็นต้องสวมหน้ากาก”

“เยี่ยจิ่งหานเทพแห่งสงคราม ขาทั้งสองข้างของเขาพิการ แต่คนผู้นั้นเป็นปกติดี จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นเขา”

“เผ่าเพลิงฟ้าตัดขาดจากโลกภายนอกมานานหลายปีแล้ว และไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับโลกมนุษย์ เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะไปแย่งชิง”

“ส่วนผู้นำนิกายเทพอสูร ยิ่งเป็นไปไม่ได้เลย นางหายสาบสูญไปนานแล้ว จนกระทั่งตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย”

กู้ชูหน่วนลูบคางและพึมพำกับตัวเอง “เผ่าเพลิงฟ้า?”

ทำไมชื่อนี้ถึงได้คุ้นนัก?

เมื่อพูดถึงเผ่าเพลิงฟ้าสามคำนี้ ความเกลียดชังและจิตสังหารก็ปรากฏวาบขึ้นมาในถ้ำที่คับแคบ

แม้ว่าความเกลียดชังจะหายวับไป แต่กู้ชูหน่วนและเยี่ยเฟิงก็รู้สึกได้

และ……

ความเกลียดชังและจิตสังหารนี้มาจากฝูกวง

กู้ชูหน่วนถามว่า “ทำไม เจ้ากับเผ่าเพลิงฟ้ามีเรื่องบาดหมางกันหรือ?”

ฝูกวงกำมือแน่น เขาพยายามสงบสติอารมณ์และพูดเบา ๆ ว่า “ไม่มี”

ไม่มี?

คิดว่าพวกเขาโง่หรืออย่างไร?

“เช่นนั้นเจ้าเล่าให้ข้าฟังสิว่าเผ่าเพลิงฟ้ามีอำนาจอะไร และผู้คนเป็นอย่างไร?”

“เป็นแค่พวกที่หน้าซื่อใจคด ต่ำช้าและไร้ยางอาย บางทีอาจจะเป็นพวกเขาที่แย่งชิงระฆังวิญญาณไป”

“อ้อ……หรือว่าเผ่าโบราณที่ตัดขาดจากโลกภายนอกก็ต้องการจะครอบครองใต้หล้า?”

“นายท่าน ข้าน้อยจะแบกท่านออกไป ในถ้ำนี้ไม่มีน้ำไม่มีอาหาร ข้าน้อยเกรงว่าท่านจะทนต่อไปไม่ไหว” ฝูกวงเปลี่ยนเรื่อง และไม่อยากพูดถึงเรื่องของเผ่าเพลิงฟ้า

กู้ชูหน่วนรู้สึกว่ามีความลับมากมายซ่อนอยู่ในหัวเล็ก ๆ ของฝูกวง นางต้องหาโอกาสแงะมันออกมาให้ได้

“ไปกันเถอะ”

กู้ชูหน่วนไม่ได้ให้เขาแบกนาง แต่อดทนต่อความเจ็บปวดและยืนขึ้นด้วยตนเอง จากนั้นก็เดินไปข้างหน้าทีละก้าวอย่างยากลำบาก

“ทางแยกมากมายเช่นนี้ และแต่ละทางแยกก็ไม่ต่างกัน พวกเราจะวนกลับไปที่เดิมหรือไม่” เยี่ยเฟิงถาม

“ข้าก็กลัวว่าจะวนกลับไปที่เดิมเช่นกัน ดังนั้นข้าจึงทำเครื่องหมายไว้แต่ละทางแยก ทางที่เราเดินผ่านมา ไม่เห็นมีเครื่องหมายเลยสักอัน จึงไม่น่าจะวนกลับไปที่เดิม”

หลังจากเดินมาเป็นเวลาหลายชั่วยาม ก็ยังไม่สามารถออกไปได้

เดินมานานขนาดนี้แล้ว ก็วนกลับไปที่เดิม และยังเสียเวลาไปไม่น้อย ยิ่งไปกว่านั้นทหารของเผ่าปีศาจก็น่าจะตามมาเจอถ้ำแล้ว และกำลังปิดล้อมพวกเขาอยู่ด้านนอก จึงไม่สามารถกลับไปทางเดิมได้อีก

ใขณะที่พวกเขากำลังจะหมดหวัง ในถ้ำก็ลมแรงขึ้น

มีลมพัดเข้ามา แสดงว่าใกล้ถึงทางออกแล้ว

ฝูกวงดีใจมาก “นายท่าน ทางออกน่าจะอยู่ข้างหน้า บาดแผลที่ขาของท่านฉีกขาดแล้ว ข้าน้อยแบกท่านไปจะดีกว่า”

กู้ชูหน่วนมองดูขาที่สั่นเทาของตัวเอง

นางปวดขาจนชาไปหมดแล้ว หากเดินออกไป เกรงว่าขาขอนางจะต้องพิการจริง ๆ แต่ฝูกวงอายุสิบเจ็ด และเยี่ยเฟิงอายุสิบแปด ในสายตาของนาง ทั้งสองคนเป็นเหมือนน้องชาย นางจึงไม่อยากจะเอาเปรียบพวกเขา

เยี่ยเฟิงดูออกว่านางลำบากใจ จึงพูดเบา ๆ ว่า “ข้าจะแบกท่านเอง”

“ช่างเถอะ ให้ฝูกวงแบกข้าจะดีกว่า กลิ่นเหล้าบนตัวเจ้ายังไม่จาง และเจ้าก็ซูบผอมมาก ข้ากลัวว่าจะทับเจ้าตาย”

“……”

เยี่ยเฟิงมองดูรูปร่างของตัวเอง

เขา……

ผอมมากเลยหรือ?