ตอนที่ 232 ผลมหัศจรรย์ของเนตรปัญญา

บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์

ฟางเจิ้งมาถึงกุฏิที่หงเสียงจัดไว้ให้เขา ตอนนี้เอง ในที่สุดเจ้าลิงก็อดใจไม่ไหวแล้ว “เจ้าอาวาส พวกนายพูดอะไรกัน? เณรนั่นพูดพึมพำเป็นกอง ฉันฟังไม่เข้าใจเลย”

“ฟังไม่เข้าใจก็ดู ดูไม่เข้าใจก็คิด” ฟางเจิ้งตอบ

ลิงทำหน้ามึน “ดูไม่เข้าใจก็คิดไม่ออกสิ?”

“ถ้าอย่างนั้นนายจะทำยังไง?” ฟางเจิ้งถามกลับ

ลิงอึ้งไป

ฟางเจิ้งเห็นลิงทำหน้ามึนงง จึงหัวเราะเสียงดัง “เจ้าลิง การใฝ่รู้เป็นสิ่งสำคัญมาก แต่ที่อาตมาพูดไปเมื่อกี้ไม่ได้ล้อเล่นนะ นายฟังไม่เข้าใจก็ดูให้มาก คิดให้มากเข้า ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็จดจำไว้ให้มาก วันหลังถ้าเจอเรื่องแบบเดียวกันนายจะได้รู้ว่าควรทำยังไง อีกอย่างอาตมาให้นายสวมจีวรนักบวช นายก็ต้องแสดงคุณลักษณะของนักบวชออกมาให้เห็น ว่างๆ ก็เกาตูดให้น้อยลงหน่อย มันไม่เหมาะสม”

“อ้อ ฉันเข้าใจแล้ว” เจ้าลิงอยากจะเกาก้นตามจิตใต้สำนึก แต่อดทนไว้ก่อนกลางคัน

ฟางเจิ้งพยักหน้าอย่างพอใจ “เอาเถอะ พักกันก่อน กินข้าวเย็นแล้วพรุ่งนี้ยังมีงานต้องทำ”

เจ้าลิงพยักหน้าอีก เลียนแบบท่าทางฟางเจิ้ง นั่งขัดสมาธิบนเตียง ทำท่าทางเหมือนกับนักบวชเฒ่าเข้าฌาน

หนึ่งวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว วันต่อมาฟ้าขมุกขมัว ข้างนอกเริ่มคึกคัก เหล่านักบวชตื่นนอนมาเริ่มจัดการอุโบสถ เมื่อประตูใหญ่เปิดออก ญาติโยมต่างเฮโลกันเข้ามา เพียงไม่นานควันธูปก็ลอยขึ้นฟ้า ดูครึกครื้นไม่ธรรมดา

ฟางเจิ้งเห็นแบบนั้นก็ชื่นชม เมื่อไรวัดเอกดรรชนีจะมีภาพแบบนี้ได้บ้าง เช่นนั้นคงได้ผงาดขึ้นมาอย่างแท้จริง

เวลานี้เอง ฟางเจิ้งเห็นสองพี่น้องหงเชียนสี่กับหงเชียนเจี๋ยอีกครั้ง เขาอดนึกถึงคำพูดของระบบอีกไม่ได้ สังเกตดีๆ? อย่างไหนถึงจะเรียกว่าสังเกตดีๆ?

คิดได้ดังนั้น ฟางเจิ้งพลันนึกอะไรออก ยิ้มเจื่อนๆ พูดว่า “เรานี่โง่จริงๆ! เปิดเนตรสวรรค์!”

ฟางเจิ้งเปิดเนตรสวรรค์ มองสองคนอีกครั้งก่อนจะอึ้งไป เขาเห็นภาพขมุกขมัวกลุ่มหนึ่ง มองเห็นอะไรไม่ชัดเลย เหมือนกับมีภาพหลายๆ ช่วงคละเคล้าปะปนกัน แยกอะไรไม่ออก

“ระบบ เนตรสวรรค์ฉันมีปัญหารึเปล่า? ทำไมรู้สึกว่ามีเงาซ้อนกันล่ะ? แถมยังกระตุกอีก?” ฟางเจิ้งงุนงง

“อนาคตเต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลง บางอย่างเปลี่ยนน้อย บางอย่างเปลี่ยนมาก ยิ่งเป็นเรื่องที่ไกลเท่าไร การเปลี่ยนแปลงก็จะมากขึ้นเท่านั้น ยิ่งเป็นคนที่มีแรงกรรมกับบุญกุศลไม่เสถียรมากเท่าไร การเปลี่ยนแปลงก็ยิ่งมีมาก ถ้าเปลี่ยนมากเนตรสวรรค์จะไม่ได้มองเห็นแค่ผลเดียว แต่จะเห็นหลายผล จากนั้นฉายผลเหล่านี้ออกมาพร้อมกัน นายเลยเห็นเป็นภาพเงาซ้อนทับกันไง” ระบบตอบ

ฟางเจิ้งกล่าว “แล้วจะแก้ยังไงล่ะ? หรือว่าจากนี้ฉันจะเห็นอนาคตที่ได้แบบนี้?”

“ยกระดับเนตรสวรรค์เป็นช่องทางที่ง่ายที่สุด แต่สำหรับหลวงจีนยากจนอย่างนายแล้วก็เป็นเรื่องยากที่สุดเหมือนกัน” ระบบขยับรอยแผลของฟางเจิ้งด้วยมาดขรึม จากนั้นสาดเกลือลงไปซ้ำ

ฟางเจิ้งละเหี่ยใจจนกลอกตามองบน ถามต่อว่า “ยังมีที่ง่ายกว่านี้ไหม?”

“นายคิดเองสิ” ระบบพูดจบก็ไม่มีการเคลื่อนไหวใดอีก

ฟางเจิ้งหมดคำจะพูด การบริการแย่มาก ถ้าไม่ใช่เพราะไม่มีที่ให้ฟ้องร้อง เขาจะต้องไปฟ้องร้องแน่ๆ!

ในเมื่อใช้เนตรสวรรค์ไม่ได้ ก็ลองใช้เนตรปัญญาดู! ฟางเจิ้งคิดได้ดังนั้นจึงเปิดใช้งานทันใด!

เมื่อเปิดเนตรปัญญา ฟางเจิ้งพลันยิ้มร่า! เขาเห็นว่าบนหัวสองคนนี้มีดอกบัวบุญกุศลสีทอง แม้ดอกบัวจะไม่ใหญ่ ภาพก็ดูเป็นมายามาก แต่นั่นคือดอกบัวจริงๆ พูดให้ชัดคือเป็นดอกบัวตูม! วินาทีที่ฟางเจิ้งมองไปนั้น ดอกบัวผลิบานออก แต่บานแค่กลีบเดียวเท่านั้น กลีบบัวชี้ไปยังชายวัยกลางคนที่อยู่ห่างจากสองคนนี้ในวัดผาแดงไกลมาก ชายคนนี้หน้าตาอัปลักษณ์ สวมเสื้อผ้าตามอำเภอใจมาก สะพายกระเป๋าพาดนั่งอยู่ตรงนั้น ท่าทีสงบนิ่ง เหมือนกำลังรอให้ทุกคนไหว้พระเสร็จก่อนถึงเข้าไปไหว้พระ ไม่มีท่าทีรีบร้อนแม้แต่น้อย

เมื่อสองคนนี้ขยับ ดอกบัวจะหมุนตาม กลีบที่บานยังคงชี้ไปยังคนคนนั้น ขณะเดียวกัน ฟางเจิ้งเห็นว่าใต้ดอกบัวมีแรงกรรมรวมตัวกันคล้ายๆ เปลวเพลิงกลุ่มหนึ่ง เพียงแต่ว่าเปลวเพลิงกลับชี้ไปอีกทาง แถมยังล่องลอยไม่มั่นคง ไปทางนี้ทีทางโน้นที เห็นได้ว่ามันไม่รู้จะชี้อะไร รู้สึกว่ามันจะโผล่มาเพื่อรบกวนการแอบมองของฟางเจิ้ง เขาตรึกตรองอย่างถี่ถ้วนดูแล้วก็เข้าใจหลักการในนั้น

เป็นอย่างที่ระบบว่าไว้ก่อนหน้านี้ โลกมนุษย์คือนรก คืออ่างย้อมผ้าใบใหญ่ คนที่นี่ไม่มากก็น้อยล้วนแปดเปื้อนแรงกรรม คนดีก็มีแรงกรรมเช่นกัน เพียงแต่แรงกรรมน้อยมาก แทบจะมองไม่เห็น พวกมันน่าจะไม่อาจโคจรรอบตัวคนดีหรือทำให้เกิดโชคร้ายได้ ทว่าพวกมันส่งผลถึงฟางเจิ้งคนที่อยากจะช่วยคนดีได้ ดังนั้นจึงเกิดความเป็นไปได้มากมาย แต่ก็เป็นอนาคตที่มีความเป็นไปได้ต่ำมาก เขาจึงเห็นไม่ชัดเจน

แต่ภายใต้เนตรปัญญา ลูกไม้จิ๊บจ๊อยแค่นี้น่าหัวเราะจริงๆ

ส่วนดอกบัวนั้นน่าจะเป็นทิศทางที่ชี้ไปยังโชคดี ยิ่งบุญกุศลสูง ดอกบัวยิ่งสมจริงเท่านั้น ยิ่งแสงทองสว่างไสว กลีบบัวบานมากขึ้น ดวงดีที่ชี้นำไปก็น่าจะมากขึ้น! เช่นนั้นเมื่อฟางเจิ้งชี้นำให้ อีกฝ่ายจะยิ่งได้ประโยชน์มากกว่าเดิม!

คิดได้ดังนั้น ฟางเจิ้งยิ้มแป้น เดินหน้าไปหาสองคนนั้น เจ้าลิงจะตามไป แต่ฟางเจิ้งส่ายหน้าบอก “เจ้าลิง ภารกิจนายในวันนี้คือเดินในฝูงชน สัมผัสมนุษย์ให้มากๆ อย่ามองตัวเองเป็นลิง ให้มองว่าเป็นคน สัมผัสความรู้สึกของคนสักพัก นายเป็นนักบวชวัดเอกดรรชนี ทุกการกระทำของนายไม่ได้หมายถึงตัวนาย แต่เป็นวัดเอกดรรชนี เข้าใจไหม?”

ลิงเกาหัวเหมือนจะเข้าใจ จากนั้นประนมสองมือ “อาตมารู้แล้ว”

ฟางเจิ้งยิ้มพอใจ จากนั้นเดินตรงไปทางสองพี่น้องหงเชียนสี่กับหงเชียนเจี๋ยราวกับดาวตก

ส่วนสองพี่น้องกำลังต่อแถวรอจุดธูป หงเชียนเจี๋ยมองซ้ายแลขวา พลันเห็นฟางเจิ้งเดินเข้ามาจึงตกใจจนตัวสั่น ดึงหงเชียนสี่พลางว่า “พี่ พี่ผีพรายมา”

หงเชียนสี่มองฟางเจิ้ง เห็นว่ามีเงาจึงถอนหายใจโล่งอกทันที “ไม่ใช่ผี คน เขามีเงา”

หงเชียนเจี๋ยโล่งอกตามไป ยิ้มเจื่อนๆ เอ่ยว่า “ผมว่าพวกเราหลอนกันไปหมดแล้วมั้งเนี่ย?”

หงเชียนสี่กำลังจะพูดอีก แต่หลวงจีนนั่นเดินมาอยู่ตรงหน้าสองคน ประนมสองมือสวดบทหนึ่ง “อมิตาพุทธ สวัสดีโยมทั้งสอง”

“หลวงพี่มีอะไรเหรอครับ?” หงเชียนสี่มองฟางเจิ้งด้วยความระแวง คนออกจะเยอะแยะ หลวงจีนนี่ไม่ไปหาคนอื่น แต่มาหาพวกเขาสองคนโดยเฉพาะ ทำให้รู้สึกแปลกๆ ที่สำคัญคือนักบวชวัดผาแดงสวมจีวรเทา แต่หลวงจีนตรงหน้ากลับสวมสีขาว มองยังไงก็ดูแตกต่าง ดูพึ่งพาไม่ได้ ทว่าพอมองหน้าฟางเจิ้ง เห็นความอบอุ่น เจิดจรัส และดวงตาใสดั่งบึงน้ำแล้ว จิตใจที่ระแวงกลับพลันผ่อนคลายลง

ฟางเจิ้งยิ้มบางๆ “ประสกสองท่าน เร็วๆ นี้ได้ช่วยคนไว้ไหม?”

ทั้งสองคนพยักหน้าตามจิตใต้สำนึก ข่าวนี้กระจายออกไปนานแล้ว ตอนที่พวกเขาค้างแรมใต้ภูเขายังมีคนจำได้ไม่น้อย เถ้าแก่โรงแรมให้กินให้พักฟรีไม่ว่า คนในหมู่บ้านกลุ่มใหญ่ยังเวียนกันเข้ามาเชิญพวกเขาไปกินข้าว สองคนนี้ได้รับความเอาใจใส่มากเกินไปจนรู้สึกแปลกใจ เป็นครั้งแรกที่พบว่าการเป็นคนดีเป็นฮีโร่มันสุขใจขนาดนี้! เหมือนกับดารา แต่กลับภาคภูมิใจยิ่งกว่าดารา เพราะคนเหล่านั้นชื่นชอบและนับถือพวกเขาจริง ทำให้สองคนนี้คิดว่าตนเป็นวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่จริงๆ ไปแล้ว