ตอนที่ 233 โคจรมาเจอคนใหญ่คนโต

บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์

ความรู้สึกของการเป็นคนดีทำให้สองคนนี้หลงใหล ทั้งยังสาบานกับตัวเองว่าจากนี้จะทำความดีให้มากกว่านี้! ทว่าสองคนก็ได้รับบทเรียนมาแล้วเหมือนกัน จากนี้ไปจะไม่กระโดดแม่น้ำแบบนั้นอีก แม้การช่วยคนเป็นเรื่องเร่งด่วน แต่ก็ต้องรับประกันความปลอดภัยของตัวเองด้วย ไม่อย่างนั้นนั่นไม่ใช่การช่วยเหลือคน แต่เป็นการตายตามไปด้วย

เพราะผ่านเรื่องแบบนี้มา ฟางเจิ้งจำได้ สองคนนี้จึงไม่รู้สึกแปลกใจแม้แต่น้อย

หงเชียนสี่ถาม “หลวงพี่ อย่าพูดถึงเรื่องนั้นเลย พวกเราพี่น้องทำไปโดยไม่คิด ไม่ถือว่ายิ่งใหญ่อะไรหรอกครับ อีกอย่างความจริงพิสูจน์แล้ว ถึงพวกเราไม่ลงไป พวกคนตอนนั้นก็จะลงไปอยู่ดี แต่ถูกขวางเอาไว้ก่อน”

ฟางเจิ้งแอบพยักหน้า สองคนนี้มีความประพฤติดีจริงๆ เห็นๆ อยู่ว่าทำความดีแต่ก็ยังถ่อมตัว ฟางเจิ้งพูดต่อว่า “เมื่อวานอาตมาฝัน มีหลวงจีนจีวรขาวบอกอาตมาว่าประสกทั้งสองท่านจะโชคดีในวันนี้”

“หลวงจีนจีวรขาว? พี่ผีพราย?!” หงเชียนเจี๋ยร้องขึ้นทันควัน

มีเส้นสีดำคาดบนหน้าผากฟางเจิ้งโดยพลัน ผีพราย? ผีพรายเตี่ยแกสิ! แกนั่นแหละผีพราย!

แต่ฟางเจิ้งกลับพูดไปว่า “ถ้าประสกสองท่านมีเวลา ลองเดินไปทางตะวันตกดู บางทีอาจได้โชคจริงๆ”

หงเชียนสี่กับหงเชียนเจี๋ยมองตากัน ต่างทำหน้าไม่เข้าใจ เดินไปทางตะวันตก? เดินไปแล้วจะโชคดี? ทางตะวันตกก็อยู่ในวัดนี่ จะต่างกันแค่ไหนเชียว

ฟางเจิ้งพูดจบก็ประนมสองมือ สวดหนึ่งบนแล้วเอ่ยลาไป

“พี่จะไปไหม?” หงเชียนเจี๋ยถาม

หงเชียนสี่ “มีแค่คนไม่กี่คนจากกู้ภัย 120 ที่รู้เรื่องที่พี่ผีพรายช่วยเราไว้ จากนั้นพวกเราก็ไม่เคยพูดอีกเลย ในวัดไม่น่าจะมีใครรู้สิ แต่หลวงจีนรูปนั้นบอกลักษณะของพี่ผีพรายได้ ดูแล้วเรื่องนี้ออกจะลี้ลับไปหน่อย ที่นี่เป็นวัด ขอแค่พวกเราไม่ออกไป คนเยอะขนาดนี้ ไม่น่าจะมีอะไรหรอก”

หงเชียนเจี๋ยว่า “ถ้าอย่างนั้นไปดูไหม?”

หงเชียนสี่พยักหน้า “ไปดูกัน”

สองพี่น้องเดินไป มองตากันแวบหนึ่งแล้วตรงไปทางตะวันตก ฟางเจิ้งเห็นแบบนั้นก็พลันถอนหายใจโล่งอก ถ้าสองคนนี้อืดอาดแล้วผู้ชายคนนั้นไปแล้ว การจะชี้นำสองคนนี้อีกคงยาก เขาคิดในใจว่า ‘สองคนนี้น่าจะมีดวงดีในชีวิต ไม่อย่างนั้นคงไม่เชื่ออาตมาง่ายๆ แบบนี้’

หงเชียนสี่กับหงเชียนเจี๋ยเดินมาถึงทางทิศตะวันตก แต่กลับไม่ได้สนใจชายวัยกลางคนที่อยู่ไม่ไกลกันนัก ชายวัยกลางคนนั่งอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ ข้างหน้ามีต้นไม้เล็กต้นหนึ่ง บังระหว่างเขากับวิหารใหญ่พอดี คนที่ต่อแถวจุดธูปไหว้พระจะเห็นว่าที่ตรงนี้มีคนเหมือนกัน แต่จะเห็นหน้าตาท่าทางไม่ชัด

หงเชียนสี่กับหงเชียนเจี๋ยเดินมาถึงข้างกำแพง ก็ไม่เห็นว่ามีที่ไหนพิเศษ ส่วนคนคนนั้น สองคนนี้ก็ไม่ได้สนใจ

หงเชียนเจี๋ยยิ้มเจื่อน “พี่ ผมว่าเราโดนหลอกแล้วแหละ”

หงเชียนสี่พูดด้วยความจำใจ “น่าจะเป็นอย่างนั้น แต่จะหลอกก็หลอกเถอะ ถือว่าเรามาเดินเล่น”

“แต่ผมอึดอัดนี่ เรื่องนี้เหมือนโดรนของเราเลย เห็นๆ อยู่ว่าสมบูรณ์แบบขนาดนั้นแต่ไม่เห็นมีใครมาลงทุน ความรู้สึกที่ตอนแรกคิดว่าเป็นสมบัติแต่กลับไม่มีความหมายอะไรเลยนี่แม่งเจ็บชะมัด…” หงเชียนเจี๋ยบ่น

หงเชียนสี่ตบบ่าหงเชียนเจี๋ย “ช่วยไม่ได้นี่ เทคโนโลยีโดรนของเราต่างกับเทคโนโลยีโดรนที่มีอยู่ตอนนี้ โดรนแบบใบพัดเดี่ยวยังเป็นแค่ทฤษฎีในสายตาหลายคน ใครจะเชื่อว่านักศึกษาสองคนจะทำได้ น่าเสียดาย แกทำผลงานของเราพัง จะทำอีกอันก็ไม่มีเงินแล้ว…แต่ว่าแกวางใจเถอะ จะต้องมีลู่ทางแน่ พี่เชื่อว่าเราจะต้องมีวิธีแก้ปัญหานี้ ครั้งนี้พี่พาแกออกมาขี่จักรยานไม่ใช่แค่ให้แก้เซ็งนะ แต่จะคิดหาทางด้วย พักสมองหน่อย ไม่แน่อาจจะคิดหาวิธีได้จริงๆ”

คำพูดของทั้งสองเข้าถึงหูชายวัยกลางคน ชายวัยกลางคนพลันตื่นเต้น แต่ก็ยังมองสองคนนั้นด้วยความระแวง เขาไม่รู้จักสองคนนี้ แถมมาถึงตรงนี้แล้วยังไม่มองเขาแม้แต่หางตา ฟังจากคำพูดพวกเขาเหมือนจะไม่รู้ว่ามีเขาอยู่ด้วยซ้ำ

ตามปกติชายวัยกลางคนต้องไม่สนใจแน่ แต่ครั้งนี้ไม่รู้ทำไมถึงเกิดความอยากรู้ นักศึกษาที่ยังเรียนไม่จบมหาวิทยาลัยสองคนไม่อยู่ที่มหาวิทยาลัย แต่ออกมาขี่จักรยานไกลขนาดนี้? นี่ออกจะไม่ถูกต้องนัก แถมยังมีโดรนที่พวกเขาพูดถึงอีก เล่นได้จริงๆ เหรอ?

ดังนั้นชายวัยกลางคนจึงยืนขึ้นมา หัวเราะเบาๆ บอกว่า “ทั้งสองคน รบกวนเดี๋ยวหนึ่ง พวกเธอสร้างโดรนได้จริงๆ เหรอ? ฉันหมายถึงพวกเครื่องร่อนที่รักษาสมดุลได้ ใช้มือขว้างไปก็บินได้เลยพวกนั้น”

ตอนแรกหงเชียนสี่กับหงเชียนเจี๋ยว่าจะกลับไปจุดธูปไหว้พระ แต่พอได้ยินชายคนนี้ถามจึงหมุนตัวกลับมา คนคนนี้ดูคุ้นตานิดๆ แต่ก็แปลกตาเล็กน้อย เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน ทว่านึกไม่ออก

เห็นสองคนมองมาด้วยแววตามึนงง ชายวัยกลางคนยิ่งมั่นใจว่าเด็กสองคนนี้น่าจะไม่รู้จักตน จึงวางใจลงได้

หงเชียนสี่ยังไม่ทันพูดอะไร น้องชายหงเชียนเจี๋ยก็ชิงพูดก่อน “แน่นอนครับ พวกเราพี่น้องพยายามมาหลายปีแล้ว แต่ก็ไม่มีผลงานเอาออกมาโชว์ได้ น่าเสียดาย…เฮ้อ…”

หงเชียนสี่พูดเช่นกัน “ผมกับน้องนายชอบพวกเครื่องจักรกลตั้งแต่เด็กแล้ว พ่อเราเป็นวิศวกรเครื่องกล แต่เขากลับบ้านน้อยมาก ปีนั้นตอนที่พวกเราจบมัธยมปลาย พ่อก็…จากไปแล้ว พวกเราพี่น้องตัดสินใจว่าจะสานต่อปณิธานของพ่อ เลยเลือกเรียกสาขาที่เกี่ยวข้อง สามปีก่อนได้สัมผัสโดรนมาเยอะมาก จากนั้นมาก็ยิ่งชอบกว่าเดิม จนถึงตอนนี้พวกเราสร้างผลงานที่พอใจได้แล้ว แต่ว่า เฮ้อ…พังไปแล้วครับ”

พูดถึงตรงนี้ แววตาหงเชียนสี่หม่นหมองลง

หงเชียนเจี๋ยเงียบเช่นกัน

ชายวัยกลางคนพยักหน้าเล็กน้อย “พุทธศาสนาบอกว่าได้เจอกันนั่นคือมีวาสนาต่อกัน เอาแบบนี้ พวกเธอสร้างแบบจำลองเครื่องหนึ่งใช้เงินเท่าไร นานแค่ไหน? พวกเธอวางแผนงานมาให้ฉัน ฉันจะให้ทุน ถ้าพวกเธอสร้างผลงานที่ทำให้ฉันว้าวได้จริงๆ ฉันจะลงทุนต่อให้อีก ว่ายังไง?”

พูดมาแบบนี้ หงเชียนสี่กับหงเชียนเจี๋ยอึ้งไปทันที ก่อนจะดีใจยกใหญ่ หงเชียนเจี๋ยพูดด้วยความตื่นเต้น “คุณอาพูดจริงเหรอครับ?”

“จริงสิ นี่นามบัตรส่วนตัวฉัน วันอาทิตย์นี้ตอนสิบโมงเช้าฉันว่าง หวังว่าพวกเธอจะไม่ทำให้ผิดหวังนะ” ชายวัยกลางคนหยิบนามบัตรส่งให้สองคน “พวกเธอสองคนชื่ออะไร?”

“หงเชียนสี่ครับ!”

“หงเชียนเจี๋ยครับ!”

“พวกเธอสองคนคือฮีโร่ที่ช่วยผู้หญิงตกน้ำนี่?” ชายวัยกลางคนชะงักงัน จากนั้นดีใจยิ่งกว่าเดิม ฝีมือค่อยๆ ขัดเกลากันได้ แต่คุณลักษณะได้มายาก

“ฮีโร่อะไรกันครับ แค่ผลีผลามกระโดดลงไปเท่านั้นเอง” สองพี่น้องเอ่ยด้วยความกระดากอายเล็กน้อย

ทั้งสามคนคุยกันอีกนิดหน่อยก็มีผู้หญิงคนหนึ่งวิ่งเข้ามา พูดเสียงเบากับชายวัยกลางคน ชายวัยกลางคนพยักหน้าแล้วก็บอกลากับสองคนนี้

จนคล้อยหลังชายวัยกลางคนไป หงเชียนสี่กับหงเชียนเจี๋ยมองตากันแวบหนึ่ง ก่อนกระโดดขึ้นพร้อมกัน “เย้! พี่ผีพรายพูดความจริง! ฮ่าๆ…ดวงดีจริงๆ ด้วย ฮ่าๆ…”