ปู้ฟางลืมตาตื่น ก่อนกระเด้งตัวจากเตียงนอน เขาขยี้ตาด้วยความง่วงงุนพร้อมหาวหวอดใหญ่

หลังจากที่ล้างหน้าล้างตาเรียบร้อย ชายหนุ่มก็เดินออกจากห้องไป ห้องพักแขกยังคงปิดประตูสนิทเหมือนเดิม

พอลงมาด้านล่าง เขาก็เดินเข้าครัว ในครัวยังดูเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน บนพื้นผิวไม่มีฝุ่นแม้สักเม็ด ความสะอาดนี้อยู่ในระดับที่เมื่อได้มองแล้วต้องรู้สึกปลอดภัยสบายกายขึ้นมาทันที ปู้ฟางลูบท้องเจ้าขาวพลางยิ้มออกมา เขาดูอารมณ์ดีปราศจากความกังวลโดยสิ้นเชิง

ชาวหนุ่มหยิบมีดทำครัวเล่มหนาหนักขึ้นมาแล้วเริ่มฝึกทักษะการใช้มีดและการแกะสลักประจำวัน มีดเล่มใหญ่หนักอึ้งดูเบามากเมื่ออยู่ในมือของเขา เป็นภาพที่ยากจะทำความเข้าใจได้เล็กน้อย

เมื่อได้กลิ่นหอมของซี่โครงเปรี้ยวหวาน อวี่ฝูก็สะบัดหางเลื้อยลงมาจากชั้นสองอย่างไม่รีบร้อน นางเห็นเถ้าแก่ปู้กำลังฝึกทำอาหารอยู่ในครัว ใบหน้าของหญิงสาวจึงเปลี่ยนมาเป็นชื่นชมทันที

“อรุณสวัสดิ์ เถ้าแก่ปู้” อวี่ฝูยิ้มพลางเอ่ยทักทายอีกฝ่าย

ปู้ฟางหันไปมองหญิงสาวแล้วพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็หันมาจดจ่ออยู่กับการทำซี่โครงเปรี้ยวหวาน ส่วนอวี่ฝูก็ตั้งใจดูเคล็ดลับที่ปู้ฟางใช้ทำซี่โครงเปรี้ยวหวานอย่างไม่วางตา นางสนใจซี่โครงเปรี้ยวหวานที่ส่งกลิ่นหอมชวนเมามายไปทั่วร้านเป็นอันมาก

ปู้ฟางทำซี่โครงเปรี้ยวหวานอย่างชำนาญ ส่วนอวี่ฝูก็ตั้งใจศึกษาอย่างเอาจริงเอาจัง ภาพนี้ดูกลมกลืนเข้ากันเป็นอย่างดี

ในที่สุดซี่โครงเปรี้ยวหวานก็ออกจากกระทะ ชายหนุ่มราดซอสขี้เมาลงไปพอสมควร จากนั้นก็หยิบชามเดินออกจากครัวไป

“ฝึกทักษะการใช้มีดและการแกะสลักของเจ้าต่อไป เดี๋ยวข้าจะทดสอบความคืบหน้าในการทำข้าวผัดไข่ของเจ้า” ปู้ฟางเดินผ่านอวี่ฝูพลางพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย จากนั้นก็เดินเข้าไปในบริเวณร้านแล้วยกไม้กระดานปิดหน้าร้านออก

“เจ้าดำ ได้เวลากินข้าวแล้ว” ปู้ฟางเอ่ย

ชายหนุ่มวางจานซี่โครงเปรี้ยวหวานลงตรงหน้าเจ้าดำ จากนั้นก็ลูบขนที่หลังของมันอย่างอ่อนโยน ก่อนลุกขึ้นยืนแล้วลากเก้าอี้มานอนขดอยู่ข้างประตูร้านตามกิจวัตร

ลมฤดูใบไม้ผลิตอนเช้านั้นหนาวเย็นพอตัว แต่ก็พัดอย่างอ่อนโยนและเชื่องช้า ทำให้ใครก็ตามที่ได้สัมผัสล้วนรู้สึกอยากลาไปนอนขึ้นมาทันที

ในห้องครัว อวี่ฝูหยิบมีดที่นางเลือกเมื่อวานมาเริ่มหั่นวัตถุดิบที่ปู้ฟางเตรียมไว้ให้ วัตถุดิบกองนั้นเยอะเต็มกะละมังใบใหญ่เลยทีเดียว

อวี่ฝูฝึกทักษะการใช้มีดอย่างขมักเขม่น แม้แต่คนที่เก่งกาจหาตัวจับยากอย่างเถ้าแก่ปู้ยังต้องฝึกทุกวัน แล้วนางเป็นใครจะมาบ่ายเบี่ยงการทำงานหนักเช่นนี้

ไม่นานหลังจากนั้น ร้านเล็กๆ แห่งนี้ก็เต็มไปด้วยเสียงคุยเจื้อยแจ้ว หลายคนร้องเรียกเถ้าแก่ปู้ จากนั้นก็ตามมาด้วยรายการอาหารที่พวกเขาสั่ง

อวี่ฝูมองกะละมังที่เพิ่งเต็มไปได้ครึ่งเดียว ส่วนข้อมือก็เริ่มปวดจนชา นางรู้สึกกระวนกระวายขึ้นมา

ปู้ฟางเดินเข้าครัวมาเจออวี่ฝูที่กำลังลุกลี้ลุกลน เขาจึงทำหน้างง“เป็นอะไรไป ข้าไม่ได้บอกหรือว่าพ่อครัวแม่ครัวต้องมั่นใจในทักษะที่ตนเองมี”

“ข้า…ข้าหั่นวัตถุดิบไม่หมด” ใบหน้าของอวี่ฝูเป็นสีแดงก่ำขณะที่นางละล่ำละลักออกมาด้วยความอับอาย

ปู้ฟางชะงัก เขาหันไปมองกองวัตถุดิบที่หั่นไปครึ่งหนึ่งแล้วยิ้มออกมา จากนั้นก็ยกมือลูบศีรษะอวี่ฝู “ข้าไม่ได้ตั้งใจจะให้เจ้าหั่นวัตถุดิบนี่ทั้งหมด แค่เอาไว้ฝึกทักษะเท่านั้น เอาละ วันนี้ฝึกพอแล้ว ไปทำข้าวผัดไข่มาให้ข้าชิมชามหนึ่งก็แล้วกัน”

อวี่ฝูถอนใจด้วยความโล่งอกอยู่ข้างใน นางคิดว่าปู้ฟางจะตำหนินางเพราะเหตุนี้เสียอีก

โต๊ะขนาดเล็กสำหรับเตรียมอาหารปรากฏขึ้นข้างโต๊ะใหญ่ของปู้ฟาง ชายหนุ่มมองไปที่โต๊ะนั้นพร้อมถูจมูกตนเอง โต๊ะนี่โผล่มาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน แต่ดูก็รู้ว่าระบบต้องเป็นผู้เตรียมให้แน่ๆ

“เจ้าไปทำข้าวผัดไข่ที่โต๊ะตัวนั้น จากนี้ไปโต๊ะทำอาหารตัวนั้นเป็นของเจ้า” ปู้ฟางชี้ไปที่โต๊ะตัวเล็กซึ่งจู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นจากอากาศธาตุ แล้วหันไปแจ้งให้อวี่ฝูรู้

อวี่ฝูตกใจเป็นอันมากเมื่อได้ยิน นางหันไปมองโต๊ะตัวดังกล่าวด้วยความตื่นเต้น เมื่อวานยังไม่มีโต๊ะตัวนี้เลย…จู่ๆ มันปรากฏขึ้นมาได้อย่างไรกัน ช่างน่าอัศจรรย์ใจอะไรเช่นนี้…

แต่นางก็รู้ดีว่าหลายอย่างนั้นจะเป็นการดีกว่าถ้าไม่คาดคั้นหาคำตอบ ด้วยเหตุนี้นางจึงหยิบวัตถุดิบที่ใช้ทำข้าวผัดไข่ออกมา แล้วเริ่มลงมือทำอาหารทันที

ส่วนปู้ฟางก็เริ่มทำรายการอาหารที่ลูกค้าสั่งเช่นกัน แค่เขาสะบัดมีดวัตถุติบทั้งหมดก็กลายเป็นชิ้นๆ อย่างง่ายดาย ความเร็วนั้นรวดเร็วมาเสียจนเห็นเป็นภาพเบลอ! อวี่ฝูที่ยืนอยู่อีกด้านทำหน้าเหมือนต้องมนต์ ทักษะการใช้มีดของเถ้าแก่ปู้นั้น…ช่างเก่งกาจน่ากลัวอะไรเช่นนี้!

อาหารมากมายหลายจานส่งกลิ่นหอมฉุยถูกนำไปวางที่หน้าต่างครัว โอวหยางเสี่ยวอี้เดินมาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มก่อนยกจานเหล่านั้นออกไป

“เถ้าแก่ปู้ ข้าวผัดไข่เสร็จแล้วเจ้าค่ะ” เมื่ออวี่ฝูเห็นว่าปู้ฟางมีเวลาว่างเล็กน้อย นางก็พูดด้วยน้ำเสียงน่ารัก

ปู้ฟางพยักหน้าพลางเดินออกจากห้องครัวมา ลูกค้าในร้านพากันเอ่ยทักเขาอย่างเป็นอันเอง ส่วนชายหนุ่มก็พยักหน้าตอบ เขาลากเก้าอี้ออกมานั่งลงแล้วให้อวี่ฝูเอาข้าวผัดไข่มาวางบนโต๊ะ

ข้าวผัดไข่ของอวี่ฝูส่งกลิ่นหอมเข้มข้นกว่าข้าวผัดไข่ที่นางทำมาเพื่อรับการทดสอบเสียอีก อาจเป็นเพราะวัตถุดิบที่เลือกใช้มีคุณภาพดีกว่าก็เป็นได้

ปู้ฟางตักข้าวผัดไข่ขึ้นมาหนึ่งคำแล้วลองชิม กลิ่นอาหารระเบิดออกมาในปากเขาทันที กลิ่นของไข่และกลิ่นหอมหวานของข้าวผสานกัน ทำให้ต่อมรับรสของชายหนุ่มเริ่มทำงาน ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้น รู้สึกตกใจเล็กน้อย

“ยังควบคุมความร้อนได้ไม่ดี ส่วนการควบคุมกระแสพลังปราณเที่ยงแท้ก็จัดว่ายังห่างไกล รสชาติพอกินได้ แต่เป็นเพราะวัตถุดิบที่เลือกใช้มากกว่า เจ้าต้องใส่ใจเรื่องการทำและจับความเปลี่ยนแปลงของวัตถุดิบตั้งแต่เริ่มต้นจนจบให้ได้” ชายหนุ่มยังคงวิพากษ์วิจารณ์อย่างเผ็ดร้อนเหมือนเดิม

อวี่ฝูพยักหน้าหงึกหงัก นางตั้งใจฟังคำแนะนำของปู้ฟางอย่างเต็มที่

เวลาผ่านไปหลายสัปดาห์ อวี่ฝูได้ร่ำเรียนการทำอาหารกับปู้ฟางมาเป็นเวลานานพอตัว นางตั้งใจฝึกฝนอย่างหนัก จนอาหารหลายจานที่ทำออกมารสชาติเกือบใกล้เคียงอาหารของปู้ฟางแล้ว

ในบรรดาอาหารทุกจานที่นางทำ นางเชี่ยวชาญข้าวผัดไข่ที่สุด อาจเพราะมันเป็นอาหารจานแรกที่นางเรียนรู้ก็เป็นได้

ระหว่างนั้นปู้ฟางก็สอนนางทำอาหารเพิ่มอีกสองจาน ซึ่งก็คือซี่โครงเปรี้ยวหวานและเนื้อตุ๋นตำรับจีน ซี่โครงเปรี้ยวหวานทำยากมาก อวี่ฝูฝึกฝนอยู่นานแต่ก็ยังไม่สมความคาดหวังของปู้ฟางเสียที นางถูกเขาติเตียนอย่างรุนแรงทุกครั้งไป

การประเมินทักษะและรสชาติของปู้ฟางนั้นร้ายกาจเข้มงวดที่สุดที่นางเคยเจอมาในชีวิต เขาจะสรรหาข้อผิดพลาดที่เล็กที่สุดในอาหารออกมาตำหนิจนได้ จากนั้นก็จะวิเคราะห์เชิงลึกทุกรายละเอียด ทำให้นางรู้สึกราวกับว่าอาหารที่นางทำมาควรไปอยู่ในกองขยะเปียก

ที่ทางเข้า ชายหนุ่มเจ้าของร้านกำลังนอนเอกเขนกอยู่บนเก้าอี้อย่างง่วงงุน ดวงตามองไปยังเมฆที่กำลังลอยอยู่บนท้องฟ้า

อวี่ฝูเดินถืออาหารจานหนึ่งออกมาจากครัว นางวางมันลงตรงหน้าลูกค้าพลางยิ้มออกมา

“นี่ข้าวผัดไข่ที่สั่งเจ้าค่ะ กินให้อร่อยนะเจ้าคะ” อวี่ฝูเอ่ย

ลูกค้าคนนี้เป็นลูกค้าประจำของร้าน ก่อนหน้านี้ปู้ฟางเคยให้อวี่ฝูนำอาหารหลายจานออกมาให้ลูกค้าหลายคนชิม ลูกค้าคนนี้ก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วยเช่นกัน ชายหนุ่มบอกเขาว่าหลังจากชิมแล้ว ให้เขาเอาเงินที่คิดว่าเหมาะสมกับคุณภาพของข้าวผัดไข่จานนี้ออกมาวาง

หลังจากที่ลูกค้าคนนี้ได้ชิมข้าวผัดไข่ของอวี่ฝู แม้เขาจะคิดว่ามันยังขาดอะไรไปบ้างเมื่อเทียบกับข้าวผัดไข่ของปู้ฟาง แต่ก็วางหนึ่งผลึกลงบนโต๊ะด้วยความรู้สึกพออกพอใจในคุณภาพ

อวี่ฝูตื้นตันใจเป็นอันมาก นี่เป็นผลึกแรกที่นางได้รับหลังจากเพียรพยายามฝึกอย่างหนักจนตัวแทบขาด!

“ผ่านไปครึ่งเดือนแล้ว…ข้ายังหาอีกคนไม่ได้เลย” ปู้ฟางยังคงนอนอืดอยู่บนเก้าอี้ เมื่อได้ตากลมสดชื่นของฤดูใบไม้ผลิ จิตใจของชายหนุ่มก็กลับมาปลอดโปร่งอีกครั้ง เขาขมวดคิ้ว

ใครกันที่เขาจะดึงตัวมาเป็นพ่อครัวแม่ครัวฝึกหัดที่ร้านได้

เจวี้ยนเอ๋อร์ผู้หลงรักในทาร์ตไข่หรือ ปู้ฟางไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี ระหว่างสองเดือนที่ผ่านมา ปู้ฟางได้ทาบทามผ่านไปทางหลัวซานเหนียนแล้ว แต่หลัวซานเหนียนกลับตอบกลับมาอย่างสบายอกสบายใจว่าหัวใจของเจวี้ยนเอ๋อร์มีเพียงทาร์ตไข่เท่านั้น นางรักทาร์ตไข่มาก และจะไม่เสียเวลาไปกับการเรียนทำอาหารจานอื่นจากปู้ฟางแน่นอน

คำพูดนี้ทำให้ชายหนุ่มเป๋ไปพักหนึ่งเลยทีเดียว

หนี่หยันเองก็มาบอกลาเขาเมื่อสองสามวันก่อนเช่นกัน เขาพยายามทาบทามหนี่หยันให้มารับตำแหน่งแม่ครัวฝึกหัดในร้าน เพราะไม่ว่าจะมองอย่างไร นางก็เป็นคนที่เหมาะสมที่สุดแล้ว

แต่น่าเสียดายนัก…ตอนที่หนี่หยันมาหาเขานั้น นางดูกำลังเร่งรีบ ปู้ฟางมองออกว่านางตื่นเต้นกับข้อเสนอนี้ แต่ดูเหมือนว่าจะมีกิจสำคัญกว่าต้องไปทำ ด้วยเหตุนี้หนี่หยันจึงจำใจต้องตามตาแก่ขี้เมากลับไป

มาถึงจุดนี้ ผู้ที่พอมีหน่วยก้านดีที่เขาจะทาบทามได้ยิ่งน้อยลงไปอีก แถมพอเส้นตายที่ระบบขีดไว้ใกล้เข้ามา เขาก็เริ่มกระสับกระส่าย

ชายหนุ่มหาวหวอด จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนพลางยืดเส้นยืดสาย

เสียงฝีเท้าดังสะท้อนชัดในตรอกเล็ก จากนั้นร่างสองร่างที่คุ้นเคยก็ก้าวเข้ามาในร้าน

“เถ้าแก่ปู้…ในที่สุดข้าก็จะได้กินอาหารฝีมือท่านอีกครั้ง!”

เมื่อเข้าร้านมาคนผู้นั้นก็เปิดปากตะโกนบ่นทันที เขาไม่ใช่ใครหน้าไหนแต่เป็นพ่อหนุ่มหน้าสวยเซียวเสี่ยวหลงนั่นเอง

ดูเหมือนว่าชายหนุ่มจะสูงขึ้นอีก ส่วนใบหน้าก็งามขึ้นอีกเช่นกัน ทำให้ดู…เป็นชายหนุ่มหน้าสวยมากขึ้นไปอีกขั้น

เซียวเยียนอวี่สวมผ้าคลุมหน้า อากัปกิริยาสง่างามเหมือนเดิม นางเดินไปหาที่นั่งอย่างคล่องแคล่ว

เมื่อโอวหยางเสี่ยวอี้เห็นเซียวเยียนอวี่ก็รีบวิ่งเข้าไปหานางอย่างตื่นเต้นดีใจ

ดวงตาของปู้ฟางเป็นประกายขึ้นทันทีเมื่อเห็นแขกใหม่ทั้งสอง เซียวเยียนอวี่กับเซียวเสี่ยวหลงรึ ใช่แล้ว ข้าลืมสองคนนี้ไปได้อย่างไรกัน

“เถ้าแก่ปู้ หลายเดือนมานี้พวกข้าถูกท่านพ่อโยนให้ไปอยู่ที่นครใต้ ทำให้ไม่ได้กินอาหารฝีมือเถ้าแก่ปู้…ข้ารู้สึกอยากลงไปดิ้นตายบนพื้นให้มันรู้แล้วรู้รอดไป! แต่วันนี้พวกเรากลับมาแล้ว เราจะกินให้พุงกาง กินให้มันหนำใจหายอยาก!” เซียวเสี่ยงหลงเลียริมฝีปากพลางพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

นครใต้เป็นเมืองใหญ่ทางทิศใต้ของจักรวรรดิวายุแผ่ว แม้จะไม่ได้ใหญ่โตโอ่อ่าเหมือนนครหลวง แต่ก็จัดว่าเป็นเมืองใหญ่อลังการพอตัวเลยทีเดียว

ปู้ฟางไม่ได้สนใจเซียวเสี่ยวหลงที่กำลังอยากอาหาร แต่หันไปมองเซียวเยียนอวี่แล้วถามนางทันทีว่าสนใจจะมาเป็นแม่ครัวฝึกหัดที่ร้าน และเรียนรู้วิธีการทำอาหารจากเขาหรือไม่

เซียวเยียนอวี่และเซียวเสี่ยวหลงจ้องชายหนุ่มด้วยสายตาว่างเปล่าคิดไม่ทัน ระหว่างที่พวกเขาไม่อยู่ที่นครหลวงนี้ เกิดอะไรขึ้นกันแน่

เถ้าแก่ปู้เริ่มรับพ่อครัวแม่ครัวฝึกหัดเช่นนั้นรึ

“แม้นี่จะเป็นข้อเสนอที่น่าสนใจมาก แต่น่าเสียดายนัก…ที่อีกไม่กี่วันพวกข้าก็ต้องกลับไปนครใต้แล้ว ข้าคิดว่าตัวข้าคงไม่มีโอกาสได้เรียนรู้วิธีการทำอาหารจากเถ้าแก่ปู้” เซียวเยียนอวี่รู้สึกเสียดายเป็นอันมากจนเริ่มไม่อยากไปนครใต้ขึ้นมา นางอยากอยู่ที่นี่เพื่อเรียนทำอาหารจากเถ้าแก่ปู้แทน แต่ปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นที่นครใต้นั้นใหญ่หลวงเกินไป นางจึงจำต้องไปเพื่อสะสางให้เสร็จสิ้น

ปู้ฟางนิ่วหน้า เซียวเยียนอวี่ไม่ว่างสินะ…

เซียวเสี่ยวหลงเบิกตากว้างจ้องไปที่ปู้ฟาง ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นขุ่นเคืองขึ้นมาทันที!

“เถ้าแก่ปู้ เหตุใดจึงถามแต่พี่หญิงข้าแต่ไม่ถามข้า หรือท่านไม่อยากรู้ว่าข้าอยากเรียนหรือไม่ เพราะท่านไม่สนใจจะรับกัน” เซียวเสี่ยวหลงประท้วง

ชายหนุ่มรู้สึกว่าปู้ฟางกำลังทำเมินตน

ปู้ฟางชะงักไปพลางหันไปมองอีกฝ่าย

“ระบบ! พรสวรรค์การทำอาหารของเซียวเสี่ยงหลงเป็นอย่างไร”

“หลังจากที่ได้ประเมินเบื้องต้นแล้ว ทักษะการทำอาหารของเซียวเสี่ยวหลงผ่านเกณฑ์ หากนายท่านสอนให้เขาทำข้าวผัดไข่ จะต้องใช้เวลาเรียนรู้หนึ่งวันครึ่ง”

ปู้ฟางอ้าปากค้าง…บ้าบออะไรกัน เจ้าหนุ่มจอมตะกละคนนี้ดันมีพรสวรรค์ด้านการทำอาหารเนี่ยนะ!

“ระบบ เจ้าดูผิดคนหรือเปล่า ข้าถามถึงเซียวเสี่ยวหลงนะ…ไม่ใช่เซียวเยียนอวี่”