ภาคที่ 2 บทที่ 252 ปล่อยวาง

มู่หนานจือ

เจียงเซี่ยนถือถ้วยแก้วและกินปี่แป่ไปสองสามชิ้น พอเห็นว่าหลี่เชียนยังปอกให้นางอยู่ ก็หน้าแดง และผลักถ้วยแก้วไปให้หลี่เชียน แล้วเอ่ยว่า “เจ้าก็กินด้วย! ข้าจะปอกให้เจ้า!”

หลี่เชียนได้ยินเช่นนั้นก็ชอบใจมาก

จึงผลักจานผลไม้ที่ใส่ปี่แป่ไปตรงหน้าเจียงเซี่ยน

เจียงเซี่ยนเคยปอกผลไม้ให้คนอื่นที่ไหน? นางทำจนทั้งมือเต็มไปด้วยน้ำปี่แป่

หลี่เชียนก็ไม่รังเกียจเช่นกัน ถือว่าให้นางจับเล่น

เจียงเซี่ยนมองปี่แป่ที่ถูกตนเองปอกแต่กลับช้ำทั้งลูก แล้วก็ขมวดคิ้วยุ่ง

หลี่เชียนยิ้มและเอ่ยว่า “ไม่เป็นไร ไม่ใช่ว่ากินไม่ได้เสียหน่อย!” และจิ้มชิ้นหนึ่งใส่ปากทันที แต่ปรากฏว่าน้ำกลับหยดลงบนเสื้อคลุมที่ไม่มีลายสีน้ำเงินสดใสของเขา และทิ้งคราบเอาไว้ ค่อนข้างเลอะเทอะทีเดียว

เจียงเซี่ยนเม้มปากยิ้ม และรู้สึกดีขึ้นอย่างบอกไม่ถูก

หลี่เชียนถูจมูกของเจียงเซี่ยน และไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้องด้านใน

การกระทำที่สนิทสนมมากของเขาทำให้เจียงเซี่ยนหน้าแดง นางเรียกเซียงเอ๋อร์ไปตักน้ำล้างมือให้นาง

พอหลี่เชียนออกมา ปี่แป่จานหนึ่งก็ปอกเสร็จหมดจานแล้ว และวางอยู่ในถ้วยแก้วอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย รูปลักษณ์ภายนอกสมบูรณ์มาก

แค่เห็นก็รู้ว่าไม่ใช่ฝีมือของเจียงเซี่ยน

ทว่าหลี่เชียนก็แกล้งทำเป็นไม่รู้และหยอกเจียงเซี่ยนว่า “ไม่เลว ไม่เลว ยิ่งปอกยิ่งสวย ต่อไปข้าคงลาภปากแล้ว”

เจียงเซี่ยนหัวเราะ นางรู้สึกดีขึ้นแล้ว

หลี่เชียนมานั่งข้างกายนาง และลูบศีรษะของนางอย่างเอ็นดู

เจียงเซี่ยนหน้าแดงและขยับเข้าไปข้างใน หลี่เชียนก็ไม่เข้าใกล้อีก และพิงหมอนอิงใบใหญ่อย่างเกียจคร้าน

ท่าทางที่สบายๆ และสนิทสนมแบบนี้ เจียงเซี่ยนเป็นคนมาสองชาติ ก็ไม่เคยเจอเหมือนกัน

นางทำได้เพียงก้มหน้าไปกินปี่แป่

หลี่เชียนก็ถือถ้วยแก้วให้นาง และคุยกับนางเสียงอ่อนโยนว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าอยากให้พวกนางใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย แต่เจ้าไม่ใช่ปลาเสียหน่อย จะรู้ว่าปลามีความสุขได้อย่างไร[1]? ไม่ดีของเจ้า อาจจะดีสำหรับคนอื่นก็ได้”

อย่างนั้นหรือ?

เจียงเซี่ยนสับสนเล็กน้อย

หลี่เชียนลุกขึ้น และยิ้มพลางลูบศีรษะของนางอีก แล้วกระซิบข้างหูนางว่า “ไม่รู้ว่ามีคนอยากเป็นฮองเฮาตั้งเท่าไร แม้ว่าฝ่าบาทจะเป็นชู้กับแม่นม หรือแม้ว่าฝ่าบาทจะเย็นชา ไร้ความปราณี ใจดำ และเห็นแก่ตัวก็ตาม…มีแต่เจ้าที่โง่เช่นนี้ และตามข้ามา…” เสียงนั้นทั้งอ่อนโยนและนุ่มนวล ระบายไอร้อนลงบนติ่งหูของนาง และสั่นคลอนหัวใจของนาง

เจียงเซี่ยนอายจนหน้าแดงมาก จึงผลักหลี่เชียน “เจ้าต่างหากที่เป็นคนโง่!”

นางไม่สนใจที่จะเป็นฮองเฮาและไทเฮา

หลี่เชียนนิ่งดุจขุนเขา เขาจุมพิตที่ขมับของนางเบาๆ และกลับไปนั่งอย่างรวดเร็ว

ทว่าริมฝีปากอันอ่อนนุ่มนั้นกลับเหมือนประกายไฟตกลงบนผิวของนาง และลวกจนนางตัวสั่น

“หลี่จงเฉวียน!” เจียงเซี่ยนเลิกคิ้วอย่างโมโห

แต่หลี่เชียนกลับยิ้มตาหยีและขานรับเสียงดังว่า “ขอรับ” ทำให้เจียงเซี่ยนโกรธจนพูดไม่ออก และไม่เห็นว่าหูของหลี่เชียนแดงมาก…

ทั้งสองคนทะเลาะกันอยู่ครู่หนึ่ง เจียงเซี่ยนไม่มีกะจิตกะใจไปคิดเรื่องของคุณหนูสกุลเติ้งด้วยซ้ำ พอเห็นว่าท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว เจียงเซี่ยนก็ตัดสินใจกลับจวน

หลี่เชียนไม่กล้ารั้งไว้อีก เขากลัวว่าตนเองจะควบคุมตนเองไม่ได้และจะทำสิ่งที่ทำให้เจียงเซี่ยนอายและโกรธมากขึ้น

เขาส่งเจียงเซี่ยนถึงหน้าประตูใหญ่ มองชีกูพยุงนางขึ้นรถม้า และเดินไปกำชับนางว่า “ตอนนี้พวกเรารู้ช้าไปหน่อยแล้ว หากเจ้าคิดว่าการแต่งงานของคุณหนูใหญ่อันลู่โหวไม่ค่อยดีจริงๆ ถึงเวลานั้นพวกเราก็จับตาดูให้มากหน่อย หากเกิดรอยร้าวระหว่างพวกเขาสามีภรรยา พวกเราค่อยออกหน้าช่วยเหลือก็ไม่สายเช่นกัน เวลานี้เจ้าไปบอกอะไรกับพวกเขา พวกเขาไม่เพียงแต่จะไม่เชื่อ ทว่ายังอาจจะคิดว่าเจ้ามีเจตนาอื่นแอบแฝงด้วย”

เจียงเซี่ยนพยักหน้า นางไม่รู้สึกเสียใจกับเรื่องนี้อีกแล้วจริงๆ

โชคชะตาของคนเป็นสิ่งที่แปลกประหลาด ตอนที่นางฟื้นคืนชีพกลับมา ก็คิดแค่ว่าจะตัดความสัมพันธ์กับจ้าวอี้อย่างไร แต่คิดไม่ถึงว่าเทวดากลับส่งหลี่เชียนมาอยู่ข้างกายนาง จนวันหนึ่งนางได้ยืนอยู่กับหลี่เชียนในนามของสามีภรรยาไม่ใช่นามของเจ้านายกับขุนนาง

บางทีคุณหนูเติ้งอาจจะไม่มีจุดยืนที่ชัดเจนเหมือนกับไป๋ซู่ ทว่านางไม่มีความขัดแย้งทางผลประโยชน์กับตระกูลไช่ ตระกูลไช่จึงชอบลูกสะใภ้แบบนี้มากกว่า เวลาที่นางมีความขัดแย้งกับไช่หยวน ก็ย่อมมีพวกผู้อาวุโสออกหน้าหยุดยั้งไช่หยวน จนกลายเป็นว่าพวกเขาก็ใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย

หลี่เชียนให้คนนำปี่แป่มาหลายตะกร้า แล้วถึงจะมองตามหลังรถม้าของเจียงเซี่ยนจากไป

เพียงแต่เขายังไม่ทันหันตัว จินเซียวก็ไม่รู้ว่าพุ่งออกมาจากไหน แล้วมองหลี่เชียนด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยความล้อเลียน และเอ่ยว่า “รีบบอกมา บ่ายวันนี้เจ้าอยู่ในห้องกับท่านหญิงเจียหนานทำอะไรบ้าง? ข้าเห็นว่า คนรับใช้ในห้องของพวกเจ้าต่างยืนอยู่ในลานบ้านไกลมาก!”

หลี่เชียนขมวดคิ้ว สีหน้าแลดูจริงจังและระมัดระวังเล็กน้อย พลางถามว่า “เวลาข้าคุยกับเจ้า สาวใช้กับเด็กรับใช้ต่างก็รับใช้อยู่ข้างๆ หรือ?”

จินเซียวอึ้งไป

หลี่เชียนมองซ้ายมองขวา และเอ่ยว่า “พวกเราไปคุยกันในห้องหนังสือ”

จินเซียวรู้ว่าเมื่อคืนเจียงเจิ้นหยวนมาถึงต้าถงแล้ว เขากำลังคิดว่าจะไปเยี่ยมหรือไม่ ใครจะรู้ว่าเจียงเซี่ยนก็มาแล้ว ท่าทางของหลี่เชียนทำให้เขาคิดว่าที่เจียงเซี่ยนรีบมาหาหลี่เชียนเกี่ยวข้องกับการมาถึงของเจียงเจิ้นหยวน เขาอดที่จะจริงจังขึ้นมาไม่ได้ และตามหลี่เชียนไปที่ห้องหนังสือ

หลี่เชียนเล่าเรื่องเหลวไหลในราชสำนักให้จินเซียวฟัง

จินเซียวเกือบจะกระโดดขึ้นมา เขาเบิกตาโตมองหลี่เชียน “เป็นไปไม่ได้กระมัง? ไม่ว่าอย่างไรฝ่าบาทก็เป็นเจ้าผู้ครองแคว้นเช่นกัน ฝ่าบาทไม่น่าจะทำอะไรบุ่มบ่ามแบบนี้กระมัง? หรือว่าสำนักราชเลขาธิการกับซือหลี่เจียน อืม ซือหลี่เจียนไม่นับ พวกเขาเชื่อฟังฝ่าบาทมาโดยตลอด หรือว่าพวกขุนนางใหญ่ที่ช่วยฝ่าบาทบริหารราชการแผ่นดินที่มีความรู้มากของสำนักราชเลขาธิการก็ไม่เตือนฝ่าบาทอย่างนั้นหรือ แล้วยังไทเฮา…นางไปพักผ่อนอย่างสงบที่ภูเขาวั่นโซ่วแล้วไม่ใช่หรือ? ทำไมฝ่าบาทถึงต้องปล่อยให้นางทำอะไรมั่วซั่วตามอำเภอใจแบบนี้…”

เวลานี้หลี่เชียนถึงจะเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่าทำไมตระกูลเจียงต้องรักษาชีวิตของเฉาไทเฮาเอาไว้ และทำไมต้องส่งคนสกุลฟางกับจ้าวสี่ไปอยู่ในมือของเฉาไทเฮา

มีนางขวางอยู่ข้างหน้า ฮ่องเต้ก็ไม่ว่างมาจัดการตระกูลเจียง

เขายกถ้วยชาที่อยู่ใกล้มือขึ้นและยกมือส่งสัญญาณให้จินเซียวดื่มชาเช่นกัน แล้วเอ่ยว่า “เพราะคำว่า ‘กตัญญู’! ตราบใดที่ไทเฮายังมีชีวิตอยู่ ฝ่าบาทก็ต้องเคารพ แน่นอนว่า หากไทเฮาสวรรคต ก็ต้องมาคิดกันอีกที!”

“เป็น…เป็นไม่ได้กระมัง!” จินเซียวคิดถึงความเป็นไปได้บางอย่าง แล้วก็ตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว

หลี่เชียนยิ้มและเอ่ยว่า “ฝ่าบาทก็เป็นคนเช่นกัน! ทำผิดเป็นเหมือนกัน!”

จินเซียวคิดว่าหลี่เชียนจะต้องเดาสิ่งที่เขาคิดในใจถูกอย่างแน่นอนถึงได้เอ่ยเช่นนี้

เขาตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวอีกครั้ง

หลี่เชียนเอ่ยอย่างจริงจังว่า “เรื่องนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่พวกเราสามารถคาดการณ์ได้เช่นกัน ต่อให้พวกเราคาดการณ์ผลอะไรได้ก็ไม่เกี่ยวกับพวกเราอยู่ดี สิ่งที่ข้าอยากคุยคืออีกเรื่องหนึ่ง…เจ้าคิดว่าเติ้งเฉิงลู่เป็นอย่างไร?”

จินเซียวคิดถึงความเป็นไปได้หนึ่ง

เสียงของเขาตึงเครียดขึ้นมาทันที เอ่ยว่า “นี่เจ้าหมายความว่าอย่างไร!”

“ข้าไม่รู้ว่าจะสำเร็จหรือไม่” หลี่เชียนคิดว่าตระกูลจินจะต้องพอใจกับการแต่งงานนี้มากอย่างแน่นอน แต่เขาไม่ค่อยแน่ใจว่าตระกูลเติ้งจะตกลงหรือไม่ ทว่าฮูหยินฝางไม่ได้ปฏิเสธอย่างเด็ดขาด ก็น่าจะมีความมั่นใจอยู่บ้าง เขาถึงเอ่ยเรื่องนี้กับจินเซียว “แต่ข้าคิดว่าน่าจะไม่เลว ในตระกูลขุนนางที่สร้างความดีความชอบต่อแคว้นอย่างใหญ่หลวง เขาเป็นบัณฑิตที่หาได้ยาก”

จินเซียวคิดว่าเป็นไปได้ยาก “ข้าเคยติดต่อกับเขา เรื่องนิสัยนั้นไร้ที่ติ แต่ไทฮองไทเฮาเคยถูกใจเขา คนที่อยากแต่งงานกับเขาต้องเยอะมากอย่างแน่นอน”

อาจจะมาไม่ถึงจินย่วน

“ไว้ฮูหยินฝางกลับเมืองหลวงแล้วค่อยว่ากันเถอะ!” หลี่เชียนเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “อีกอย่างมันก็เป็นเพียงแค่ความคิดเท่านั้นเช่นกัน” แล้วเอ่ยว่า “เจ้าจะไปเยี่ยมเจิ้นกั๋วกงกับข้าหรือไม่?”

“แน่นอนว่าต้องไปด้วยอยู่แล้ว” จินเซียวรีบเอ่ย เขาเรียกจินเฉิงกับจินย่วนมา แล้วทุกคนก็นั่งรถม้าไปที่กองบัญชาการ

————————————

[1] เจ้าไม่ใช่ปลาเสียหน่อย จะรู้ว่าปลามีความสุขได้อย่างไร? หมายถึง อย่าเอาแต่ปฏิบัติกับคนอื่นตามทัศนคติของตนเอง