ภาคที่ 2 บทที่ 253 แขกที่มา

มู่หนานจือ

เจียงเจิ้นหยวนรู้ว่าเจียงเซี่ยนไปหาหลี่เชียน ดังนั้นเจียงเซี่ยนเพิ่งจะกลับมา หลี่เชียนก็มาเยี่ยมเขาแทบจะทันที เขาก็ไม่ได้ตำหนิความเฉยเมยของหลี่เชียน และพบหลี่เชียนกับจินเซียวและจินเฉิงที่มาพร้อมกับหลี่เชียนในห้องหนังสือของเรือนด้านนอกอย่างให้เกียรติมาก แถมตอนที่เห็นจินเฉิงยังหยอกจินเฉิงเล่นด้วยว่า “ข้าอิจฉาใต้เท้าจินจริงๆ ลูกชายหล่อเหลาขึ้นทุกคน แต่ข้าไม่มีลูกสาว ไม่อย่างนั้นจะต้องรับลูกชายของตระกูลจินมาเป็นลูกเขยอย่างแน่นอน”

คำพูดเพียงไม่กี่คำทำให้จินเฉิงตื่นเต้นจนหน้าแดงก่ำทั้งหน้าและพูดไม่ออก แม้แต่จินเซียวก็รู้สึกว่าเจียงเจิ้นหยวนที่เป็นมิตรมีมาดและท่าทางของผู้อาวุโสมาก เป็นคนที่น่าเคารพคนหนึ่ง

เจียงลวี่นำชามาให้พวกเขาด้วยตนเอง แต่ละคนรีบลุกขึ้นเอ่ยว่า “มิกล้า” ถ่อมตนและบอกปัดอยู่พักหนึ่ง ถึงจะนั่งลงอีกครั้ง

ส่วนจินย่วนไปหาฮูหยินฝาง

พอได้เห็นจินย่วนที่ผมสีดำสนิท สดใสและงดงามมาก ฮูหยินฝางก็ค่อนข้างประหลาดใจทีเดียว นางคิดไม่ถึงว่าซานซีจะมีหญิงงามแบบนี้ด้วย จึงเริ่มเข้าใจสิ่งที่เจียงเซี่ยนทำในทันใด

ไม่ว่าใครเห็นเด็กสาวที่สวยขนาดนี้ถูกบังคับให้แต่งงานกับคนหนุ่มตระกูลร่ำรวยที่ทำอะไรตามอำเภอใจและไม่ทำงานอย่างเซ่าหยางก็คงจะรู้สึกทนไม่ได้กันทั้งนั้น

ฮูหยินฝางถามจินย่วนสองสามคำ ล้วนเป็นคำพูดที่คุยกันทั่วไป ทั้งไม่กระตือรือร้นเกินไป และไม่แลดูเย็นชาเช่นกัน

จินย่วนไม่อาจรู้ความคิดของฮูหยินฝางได้อย่างสิ้นเชิง จึงตอบอย่างระมัดระวังมาก

ฮูหยินฝางก็ไม่ได้คิดที่จะทำให้เด็กสาวลำบากใจ จึงให้แม่นมอวี๋พานางไปคารวะฮูหยินฉีก่อน แล้วค่อยไปหาเจียงเซี่ยน “…เป็นเด็กสาวกันทั้งคู่ ทั้งคุยกันรู้เรื่อง และเล่นด้วยกันได้ ไว้ถึงเวลารับประทานอาหาร ข้าค่อยให้คนไปเรียกพวกเจ้า”

จินย่วนขานรับอย่างนอบน้อม และไปคารวะฮูหยินฉี

พี่น้องฉีตานกับฉีซวงก็อยู่ด้วย ทั้งสองฝ่ายคารวะกันและกัน พอรู้ว่าเดี๋ยวจินย่วนจะไปพบเจียงเซี่ยน ทั้งสองคนก็ร้องจะไปด้วย “ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าท่านหญิงกำลังยุ่งอยู่กับอะไร? พวกเราไม่ได้เจอท่านหญิงมาสองวันแล้ว”

ฮูหยินฉีหัวเราะ และเอ่ยว่า “เช่นนั้นพวกเจ้าก็ไปเล่นด้วยกันเถอะ ข้าจะไปดูที่ห้องครัวหน่อย”

เจียงเจิ้นหยวนพักที่กองบัญชาการต้าถง มีคนรู้ไม่มากนัก ทว่าแค่พวกคนที่รู้นี้ ก็ไม่มีใครไม่มาคารวะเจียงเจิ้นหยวน ฮูหยินฉีเตรียมใจไว้แล้ว หลายวันนี้นางจึงรักษาการณ์ห้องครัวด้วยตนเอง

ฉีตานกับฉีซวงรู้ว่าต่อให้ตนเองไปห้องครัวก็ช่วยอะไรมารดาไม่ได้อยู่ดี สู้ไปอยู่เป็นเพื่อนเจียงเซี่ยนดีกว่า จะได้ไม่ทำให้มารดาของนางห่วงหน้าพะวงหลัง

ทั้งสองคนตามจินย่วนไปที่เรือนของเจียงเซี่ยนด้วยรอยยิ้ม

เจียงเซี่ยนกำลังเก็บดอกเทียนอยู่ในลานกว้างกับเหล่าสาวใช้ พอเห็นพวกนางมา ก็ยิ้มและรับผ้าเช็ดหน้าที่เซียงเอ๋อร์ยื่นให้มาเช็ดมือ พลางเอ่ยว่า “พวกเจ้ามาได้พอดีเลย ข้ากำลังจะเด็ดพวกดอกเทียนมาตำให้เป็นน้ำใช้สำหรับทาเล็บ เดี๋ยวพวกเจ้าแต่ละคนเอากลับไปด้วย”

พี่น้องสกุลฉีสงสัยความสามารถในการประดิษฐ์ของของเจียงเซี่ยนมาก

ทว่าเจียงเซี่ยนกลับมั่นใจในตนเองกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก

ในวังเงียบเหงา นี่เป็นหนึ่งในสิ่งที่นางในมักจะทำ กระทั่งยังจะแข่งกันด้วยว่าน้ำดอกเทียนของใครเก็บไว้ได้นานที่สุด และน้ำดอกเทียนของใครสีสวยที่สุด

นางไม่เคยลงมือทำด้วยตนเอง แต่นางเห็นมามากนี่นา!

แถมยังมีเมิ่งฟางหลิงช่วยเหลือ นี่จึงไม่ใช่เรื่องยากเลย

เจียงเซี่ยนเม้มปากยิ้ม และพาพวกนางเข้าไปในห้องโถง โดยไม่เถียงกับพี่น้องสกุลฉีเช่นกัน

เจียงเจิ้นหยวนกำลังถามหลี่เชียนเรื่องการส่งสินสอด “…พยายามให้อภัยผู้อื่น ถึงอย่างไรการแต่งงานก็เป็นเรื่องมงคล หากสังหารมากเกินไปจะสูญเสียความสิริมงคลไป”

หลี่เชียนขานรับอย่างนอบน้อมและระมัดระวังว่า “ขอรับ” แต่ในใจกลับรู้ว่า ถึงอย่างไรเจียงเจิ้นหยวนก็ไม่เหมือนกับเขา

เจียงเจิ้นหยวนเกิดมาเป็นลูกหลานตระกูลขุนนาง ตอนที่เจียงเจิ้นหยวนเกิดนั้นตระกูลเจียงร่ำรวยมาหลายชั่วอายุคนแล้ว ในด้านเส้นทางการเป็นขุนนางก็มีผู้อาวุโสปกป้องให้ก้าวหน้าตามปกติ ไม่เหมือนตระกูลหลี่ของพวกเขาที่ดิ้นรนออกมาจากโคลนตม หากไม่เป็นโจร ตอนนั้นก็ไม่มีทางรอด เขาจำเป็นต้องฆ่าคนหนึ่งคนเพื่อตักเตือนคนมากมาย ทว่าเรื่องพวกนี้ก็ไม่จำเป็นต้องบอกเจียงเจิ้นหยวนเช่นกัน เจียงเจิ้นหยวนอาจจะเข้าใจ แต่ไม่มีทางที่จะรู้สึกเหมือนสัมผัสมาด้วยตนเอง แถมในใจก็ยังอาจจะรู้สึกว่าเขาใช้อำนาจบาตรใหญ่เกินไปด้วย

เขารับปากก็พอแล้ว

เรื่องแบบนี้ก็ไม่ได้มีบ่อยเช่นกัน

เจียงเจิ้นหยวนเห็นหลี่เชียนวางตัวอ่อนน้อมถ่อมตน ก็ปลื้มใจมาก และเอ่ยว่า “พวกคนที่คุ้มกันการส่งสินสอดนั้นเป็นใครหรือ?”

หลี่เชียนยิ้มและเอ่ยว่า “เป็นองครักษ์ในตระกูลขอรับ”

เจียงเจิ้นหยวนเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ใครเป็นหัวหน้าหรือ? แล้วปกติใครเป็นคนฝึก?”

ตามข่าวที่เขาได้รับ พวกคนที่คุ้มกันการส่งสินสอดนั้นไม่เพียงแต่วิทยายุทธเลิศล้ำ ทว่ายังปฏิบัติตามคำสั่งอย่างเคร่งครัดและรู้กาลเทศะด้วย ทั้งใช้ดาบพิชิตอาชาที่มักจะใช้ในกองทัพได้ และยังขี่ม้ากับยิงธนูได้ด้วย คนแบบนี้มีแค่คนเดียวก็สามารถเด่นกว่าคนอื่นในกองทัพได้ แต่ตระกูลหลี่หามาทีเดียวสามสิบคน หากบอกว่าคนเหล่านี้เป็นคนของกองบัญชาการซานซี ตีเขาให้ตายเขาก็ไม่เชื่อ ทว่าหากรวบรวมมาจากในลู่หลินเป็นการเฉพาะกิจ และสามารถทำให้คนเหล่านี้เชื่อฟังคำสั่งได้ภายในเวลาอันสั้น ฝีมือในการนำทัพแบบนี้ เขายังไม่เคยเห็นมาก่อน

เขาสงสัยว่านี่เป็นทหารส่วนตัวที่ตระกูลหลี่เลี้ยงเอาไว้

การเลี้ยงทหารส่วนตัวถึงระดับนี้ ก็ทำให้คนได้ยินรู้สึกกังวลเช่นกัน

ทว่าหากเป็นลูกเขยของตระกูลเจียงกลับถูกมองด้วยความนับถือมาก

ดังนั้นเขาจึงแอบเล่นลูกไม้เล็กน้อย

ตอนที่ข่าวแพร่งพรายออกมา ทุกคนต่างก็รู้เพียงแค่ว่าองครักษ์ของตระกูลหลี่โหดเหี้ยมทารุณ แต่กลับไม่รู้ว่าพวกเขาสามารถจัดกระบวนทัพได้ภายในเวลาสั้นๆ และร่วมมือกันสังหารศัตรูเหมือนบุกโจมตีข้าศึก ถึงจะสามารถแขวนคอพวกคนที่กล้าหมายตาสินสอดของตระกูลหลี่ตายหมดได้ แม้จะมีศัตรูหนีรอดไปได้คนสองคน ก็สามารถตามไปฆ่าและกำจัดเหตุร้ายได้ทันเวลา ไม่เหลือพยานที่รอดชีวิตไว้แม้แต่คนเดียว ลูกไม้ของเขาถึงจะไม่ทำให้คนสงสัยได้

หลี่เชียนคิดแล้วก็เอ่ยว่า “เว่ยสู่องครักษ์ของข้าเป็นหัวหน้า ปกติข้าเป็นคนฝึกขอรับ”

นั่นก็หมายความว่า เป็นทหารส่วนตัวของตระกูลหลี่จริงๆ

เห็นหลี่เชียนไม่ปิดบัง เจียงเจิ้นหยวนก็พยักหน้าเล็กน้อย

ทว่าจินเซียวกับจินเฉิงกลับยากที่จะปิดบังความหวาดกลัวในใจได้ จึงเปลี่ยนสีหน้าไปทันที

พวกเขาไม่รู้สถานการณ์โดยละเอียด แต่พวกเขากลับรู้ว่าตระกูลหลี่สังหารคนที่หมายตาสินสอดของตระกูลหลี่หมดแล้ว ก่อนหน้านี้พวกเขาคิดว่าตระกูลหลี่จ่ายเงินเชิญมือสังหารมา ดังนั้นวิธีการถึงได้โหดร้ายและรุนแรงแบบนี้

แต่คิดไม่ถึงว่าจะเป็นองครักษ์ของตระกูลหลี่

หากเป็นเช่นนั้นตระกูลหลี่…ก็โหดเหี้ยมเกินไปหน่อยแล้ว

ทว่าพวกเขากลับกำลังจะทำงานร่วมกับหลี่เชียน แถมสิ่งที่ทำยังเป็นการยึดครองผลงานของคนอื่นโดยไม่ลงแรงเองและปล้นจากโจรมาอีกทีด้วย

ทั้งสองคนอดไม่ได้ที่จะแอบแลกเปลี่ยนสายตากัน และต่างก็มองเห็นความลังเลกับความตื่นเต้นในสายตาของกันและกัน

ที่ลังเลเพราะหลี่เชียนไม่ได้เป็นมิตรอย่างรูปลักษณ์ภายนอกของเขา ที่ตื่นเต้นเพราะมีหุ้นส่วนแบบนี้ ทำอะไรก็ค่อนข้างประสบความสำเร็จง่าย

เจียงเจิ้นหยวนยังคงเอ่ยอยู่ว่า “ครั้งนี้รับตัวเจ้าสาว พวกเจ้าวางแผนไว้อย่างไร?”

หลี่เชียนเอ่ยว่า “ข้าส่งคนไปทางที่รับตัวเจ้าสาวแล้วขอรับ ท่านหญิงร่างกายอ่อนแอ จากที่นี่ถึงไท่หยวนทั้งหมดสี่วัน ระหว่างทางนอกจากองครักษ์ที่เดิมทีคุ้มกันสินสอดแล้ว ยังจะโยกย้ายกำลังทหารของฐานที่มั่นกองบัญชาการไท่หยวนมาส่วนหนึ่งด้วย การคุ้มกันระหว่างทางไม่มีปัญหา หลังจากท่านหญิงถึงไท่หยวนแล้ว จะพักที่เถาหยวนคืนหนึ่ง วันรุ่งขึ้นต้นยามโหย่วรับตัวเจ้าสาว ต้นยามซวี[1]เข้าบ้านฝ่ายชาย พวกเราทุกคนจะมารับตัวเจ้าสาววันที่สิบเก้า…”

เรื่องพวกนี้เดิมทีล้วนเคยขอให้สำนักหอดูดาวหลวงดู และเจียงเจิ้นหยวนก็เห็นด้วยแล้วเช่นกัน เขาพยักหน้าเล็กน้อย และเอ่ยว่า “เจ้าคิดที่จะขอให้ใต้เท้าจินช่วยเหลือ เก่งมาก” สุภาษิตกล่าวไว้ว่า แม้จะเป็นผู้ที่มีอำนาจแข็งแกร่ง แต่ก็ควบคุมอิทธิพลในพื้นที่ไม่ได้เช่นกัน พวกจินไห่เทากับเซ่ารุ่ยเป็นผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ หลี่เชียนเข้ากับตระกูลเซ่าและตระกูลจินได้เร็วขนาดนี้ เป็นการเลือกที่ฉลาดมาก ทว่าเพราะจินเซียวกับจินเฉิงอยู่ด้วย เขาจึงเอ่ยเรื่องพวกนี้อย่างอ้อมค้อม ตอนที่เขาบอกหลี่เชียนก็ยังมองเจียงลวี่ครั้งหนึ่งด้วย “พวกเจ้าต่างก็อายุใกล้เคียงกับหลานสกุลจิน แถมยังมีความชอบคล้ายๆ กัน ก็ควรจะไปมาหาสู่กันบ่อยๆ ถึงจะถูก”

คนหนุ่มทั้งสี่รับปากพร้อมกัน

มีเด็กรับใช้เข้ามาบอกว่าเฉาเซวียนเฉิงเอินกง เติ้งเฉิงลู่ซื่อจื่ออันลู่โหว และหวังจ้านซื่อจื่อชินเอินป๋อมาถึงแล้ว

————————————–

[1] ยามซวี = ช่วงเวลา 19.00-20.59 น.