ตอนที่ 267 ที่อยู่อาศัยใหม่อวี้เหิง ขอความช่วยเหลือ (1)

หมอหญิงจ้าวดวงใจ

“เจ้าตั้งเถอะ!” เฟิงฮูหยินน้อยพูดยิ้มๆ “ยัยหนูน้อยถือว่าเป็นคุณหนูรองในจวน มีเจ้าที่เป็นท่านน้าเป็นคนตั้งชื่อให้ ก็ถือว่าเป็นเรื่องดี จะได้อวยพรให้นางเติบโตมาเป็นสตรีที่เก่งกาจ ทั้งยังเป็นหมอหญิงเซียนเหมือนคุณหนูรองในภายภาคหน้าอีกด้วย”

เหยาเฟิ่งเกอคลี่ยิ้ม “ข้าก็ไม่หวังว่านางจะมีความสามารถเช่นนั้นหรอกแ ค่ขอให้นางมีโชคมีลาภเหมือนน้องรองก็พอแล้ว”

เหยาเยี่ยนอวี่แค่ครุ่นคิดอย่างเงียบๆ แล้วหันไปมองพระจันทร์ครึ่งดวงที่แขวนอยู่ฟากฟ้านอกหน้าต่าง ถึงแม้จะไม่เต็มดวง ทว่ากลับสว่างอย่างน่าประหลาด ดังนั้นจึงพูดขึ้นยิ้มๆ “ในจวนมีหลานสาวคนโตนามว่าจิ่นเอ๋อร์แล้ว เช่นนั้นหลานสาวคนเล็กก็ให้เรียกว่าจิ่นเย่ว์เถอะ! แค่ขอให้นางประกายแสงดั่งจันทราสุกสกาว ชีวิตไร้ความกังวลใดๆ ส่องแสงพราวพร่างขับไล่ความมืด”

“จิ่นเย่ว์!” เหยาเฟิ่งเกอขบคิดอย่างละเอียดแล้วพูดขึ้นยิ้มๆ “นามนี้ช่างดีงามยิ่งนัก เย่ว์เอ๋อร์ หนูชอบหรือไม่”

ทางฝั่งลู่ฮูหยินส่งคนมาบอกว่าฮูหยินจัดเตรียมอาหารมื้อค่ำไว้ จึงอยากเชิญหนิงฮูหยินน้อยและคุณหนูรองไปร่วมโต๊ะอาหารด้วยกัน หนิงฮูหยินทำได้เพียงตอบตกลงแล้วพาเหยาเยี่ยนอวี่ไปด้วย เหยาเยี่ยนอวี่กลับไม่อยากไปจึงแค่พูดขึ้น “พี่สะใภ้รองไปเถอะ ข้าอยู่เป็นเพื่อนพี่ใหญ่ที่นี่เอง”

เฟิงฮูหยินน้อยจึงพูดขึ้น “เช่นนี้ก็ได้ หากมีของอะไรอร่อยๆ ข้าจะสั่งให้คนส่งมาให้เจ้ากิน” พูดจบจึงไปเรือนของลู่ฮูหยินเป็นเพื่อนหนิงฮูหยินน้อยทันที

เมื่อครู่มีเหล่าสตรีอยู่ ซูอวี้เสียงจึงไม่สะดวกแก่การเข้าไปในเรือน เวลานี้หนิงฮูหยินน้อยและเฟิงฮูหยินน้อยออกไปแล้ว เขาถึงจะเข้ามาเยี่ยมเยียนเหยาเฟิ่งเกอและบุตรี

วัฒนธรรมในราชวงศ์ต้าอวิ๋น บุรุษส่วนมากไม่เข้าห้องทำคลอด ทว่าส่วนมากที่เอ่ยถึงก็คือเหล่าแม่ทัพที่พาทหารไปออกรบบ่อยๆ กลัวว่าจะเกิดเรื่องเลือดตกยางออก โดยทั่วไปแล้วบุรุษที่เหมือนซูอวี้เสียงก็ไม่จำเป็นต้องหลีกเลี่ยง ยิ่งไปกว่านั้น เหยาเยี่ยนอวี่อยู่ด้านใน เขาจะยอมทนอยู่ข้างนอกได้อย่างไร อย่างไรก็ต้องหาข้ออ้างว่าจะเข้ามาเยี่ยมเยียนภรรยาและบุตรีเพื่อจะพบหน้าเหยาเยี่ยนอวี่อยู่แล้ว

เหยาเยี่ยนอวี่ไม่โปรดปรานซูอวี้เสียงตลอดมา หากจะให้นางให้เหตุผล นางเองก็สรรหาเหตุผลใดๆ มาไม่ได้ แค่รู้สึกไม่ถูกชะตากับเขาเท่านั้น

ซูอวี้เสียงเข้ามาก็ไปดูบุตรีของตนก่อนแล้วค่อยไปปลอบโยนเหยาเฟิ่งเกอ หลายมานี้เหยาเฟิ่งเกอก็เฉยชากับซูอวี้เสียงไปแล้ว เขาจะพูดอะไรหรือไม่พูดอะไรก็ไม่สะทกสะท้าน ด้วยเหตุนี้นางจึงพูดเชิงเร่งเร้า “ในเรือนไม่สะอาด ไม่ใช่สถานที่ที่ท่านพี่ควรนั่งนานๆ ท่านพี่เยี่ยมเย่ว์เอ๋อร์เสร็จก็ไปกินข้าวเถอะ”

ด้วยเหตุนี้ซูอวี้เสียงจึงเอ่ยถาม “เย่ว์เอ๋อร์? ใครเป็นคนตั้งชื่อให้ยัยหนูน้อย”

“น้องรองเป็นคนตั้งเอง ท่านพี่รู้สึกว่าดีก็พอแล้ว ประเดี๋ยวท่านพี่ไปบอกท่านพ่อและท่านแม่ที บอกว่ายัยหนูน้อยมีนามว่า ‘จิ่นเย่ว์’ สองพยางค์นี้” เหยาเฟิ่งเกอรู้สึกขุ่นเขืองใจเล็กน้อย หากไม่ใช่เพราะต้องการขอให้เขาไปส่งสารให้ผู้ใหญ่รับทราบ นางก็คงขี้คร้านจะไปอธิบายให้เขาฟัง

“ดีมาก” ซูอวี้เสียงหันหน้าไปด้วยรอยยิ้มแล้วพูดกับเหยาเยี่ยนอวี่ด้วยความรื่นเริง “น้องรองมีโวหารที่ดียิ่งนัก”

“คุณชายสามเอ่ยชมเกินจริงแล้ว” เหยาเยี่ยนอวี่ยิ้มอ่อนๆ แล้วพูดขึ้น “พี่สาวเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว อย่างไรก็ให้นางพักผ่อนเยอะๆ เถอะ”

“น้องรองก็ควรกินมื้อค่ำหน่อย ที่นี่ไม่สะดวก ไม่เช่นนั้นก็ไปที่ห้องโถงหลักเถอะ”

“ไม่ต้องหรอก ทีแรกข้าก็ตั้งใจอยู่ดูแลพี่สาวที่นี่อยู่แล้ว”

ซูอวี้เสียงจึงไม่มีอะไรจะพูด ทำได้เพียงเหยียดกายลุกขึ้นออกไปด้านนอก สุดท้ายก็ยังคงสั่งให้ผัวจื่อในเรือนทำอาหารเลิศรสส่งมาให้เหยาเยี่ยนอวี่

หนิงฮูหยินน้อยพาบุตรีชุ่ยฮั่นอยู่อาศัยที่เรือนของเหยาเฟิ่งเกอเป็นการชั่วคราวเพื่อที่จะดูแลนางที่อยู่เดือน ทว่าเหยาเยี่ยนอวี่กลับเตรียมตัวกลับไปในคืนนั้น เหตุผลที่หนึ่งคือนางยังมีเรื่องราวมากมายต้องสะสาง เหตุผลอีกอย่างหนึ่งก็คือนางไม่ชอบขี้หน้าซูอวี้เสียงจริงๆ

เหยาเฟิ่งเกอและหนิงฮูหยินน้อยต่างก็เป็นผู้ที่ชำนาญในการอ่านใจคน เข้าใจดีว่าเรื่องบางอย่างก็ไม่อาจสมดั่งใจปรารถนา จึงไม่คิดจะรั้งนางไว้ เหยาเฟิ่งเกอแค่พูดว่า “หากน้องสาวมีเวลาว่างเว้นก็ค่อยมาเยี่ยมข้าเถอะ”

เหยาเยี่ยนอวี่พยักหน้า “พี่สาววางใจเถอะ ข้าต้องมาเยี่ยมท่านบ่อยๆ แน่นอน”

เหยาเฟิ่งเกอสั่งให้หลี่หมัวมัวส่งเหยาเยี่ยนอวี่ออกไปแล้ว หนิงฮูหยินน้อยจึงเกลี้ยกล่อมนาง “วันนี้เจ้ากลับดูมีชีวิตชีวายิ่งนัก แต่ถึงอย่างไรก็รีบนอนพักเถอะ ตอนอยู่เดือนต้องห้ามให้ร่างกายทำงานหนัก หากส่งผลเสียต่อสุขภาพขึ้นมาคงจะทุกข์ทรมานน่าดู”

เหยาเฟิ่งเกอคลี่ยิ้มเย็นชาพลางส่ายหน้าแล้วพูดขึ้น “ก็แค่สุขภาพร่างกายเท่านั้น จะส่งผลเสียหรือไม่คงไม่สำคัญอะไร หลายปีที่ใช้ชีวิตมานี้ก็ผ่านความทุกข์ทรมานมามากแล้ว”

หนิงฮูหยินทำได้เพียงเกลี้ยกล่อมอีกสองสามคำ พี่สะใภ้และน้องสามีจึงถือโอกาสพูดคุยกันอย่างสนิทสนมในยามค่ำคืนนี้

จู่ๆ ทั้งสองก็เริ่มต้นจากการพูดคุยเรื่องที่นางคลอดก่อนกำหนดจวบจนเอ่ยถึงซูอวี้เสียงที่ทำตัวผิดปกติในช่วงนี้ แล้วยังเอ่ยถึงท่าทีของซูอวี้เสียงที่มีต่อเหยาเยี่ยนอวี่ สุดท้ายเหยาเฟิ่งเกอจึงแสยะยิ้ม “ข้าถือว่าเข้าใจแล้ว เขาก็คงจะรังเกียจที่ข้าเป็นตัวถ่วงและไม่ตายไปเร็วๆ เขาจะได้สู่ขอเยี่ยนอวี่มาเป็นภรรยาคนใหม่ก็เท่านั้น”

หนิงฮูหยินน้อยรีบห้ามปราม “อย่าได้กล่าวคำพูดเช่นนี้ออกมาเรื่อยเปื่อยเด็ดขาด ฮ่องเต้พระราชทานงานสมรสของเยี่ยนอวี่และแม่ทัพเว่ย ใครก็คงไม่กล้ามากความอะไรหรอก”

“ดังนั้นเขาถึงได้ระบายอารมณ์ใส่ข้านี่อย่างไร!” เหยาเยี่ยนอวี่ยิ้มอย่างเลือดเย็น “แม้กระทั่งเรื่องที่ท่านซื่อจื่อจะแต่งตั้งอนุภรรยาเขาก็ยังโมโห! ฮูหยินซื่อจื่อตั้งครรภ์มีบุตรไม่ได้ แต่ข้ายังดีๆ อยู่เลย! เขาก็อยากจะแต่งตั้งอนุภรรยาเพื่อคลอดบุตรชายให้เขาแล้ว”

หนิงฮูหยินน้อยถอนหายใจยาวแล้วเกลี้ยกล่อม “ข้ารู้สึกว่าเขาก็ไม่ควรทำตัวเกินเลยเช่นนี้ พวกเราตระกูลเหยาก็ไม่ใช่ว่าถูกล้างผลาญเผ่าพันธุ์เสียแล้ว เขามีสิทธิ์อะไรมาเบียดเบียนพวกเรา น้องสาววางใจเถอะ เรื่องนี้ท่านพ่อจะให้ความเป็นธรรมเอง”

เหยาเฟิ่งเกอพยักหน้า ภายในใจกลับลอบถอนหายใจ ท่านพ่อจะให้ความเป็นธรรมกับตนเอง?

จวนข้าหลวงใหญ่ผู้ปกครองสองเมืองในเมืองเจียงหนาน ณ ตอนนี้

ข้าหลวงเหยาอ่านจดหมายที่ส่งมาในมือแล้วรู้ว่าปัญหาโรคระบาดในชิ่งโจวในครั้งนี้ได้รับการแก้ไขโดยบุตรชายและบุตรีของเขาจึงรู้สึกรื่นเริงยินดียิ่งนัก ตอนที่กลับไปในเรือน ใบหน้ายังคงแย้มยิ้มอยู่

หวางฮูหยินเลยเอ่ยถาม “ไม่ทราบว่าเรื่องอะไรทำให้ท่านพี่รื่นเริงเช่นนี้”

เหยาหย่วนจือถึงได้เล่าเรื่องที่เหยาเหยียนอี้ค้นพบหญ้าตู๋จวีในการรักษาโรคระบาดในครั้งนี้ให้หวางฮูหยินฟัง หลังจากนั้นจึงเปรยขึ้น “การกระทำของเหยียนอี้ต้องได้รับการกล่าวชมจากฮ่องเต้แน่นอน เช่นนี้ไม่เพียงแต่ทำให้เขาได้เลื่อนตำแหน่ง ทั้งยังมีประโยชน์ต่ออนาคตของเขาเป็นอย่างมาก เยี่ยนอวี่เป็นคนช่วยเขาอีกแล้ว!”

หวางฮูหยินได้ยินก็ชื่นอกชื่นใจเป็นเรื่องธรรมดา ด้วยเหตุนี้จึงพูดยิ้มๆ “เยี่ยนอวี่เป็นดวงดาวนำโชคของเหยียนอี้จริงๆ หากคำนวณเวลาดูแล้ว เวลานี้พวกเขาก็น่าจะไปถึงเมืองหลวงแล้ว ไม่รู้ว่าตอนนี้เฟิ่งเกอเป็นเช่นไรบ้าง คลอดบุตรได้ราบรื่นดีหรือไม่”

“เหยียนอี้และเยี่ยนอวี่ไปถึงเมืองหลวงก็ต้องไปดูแลเฟิ่งเกอเป็นเรื่องธรรมดา พวกเขาสองพี่น้องคอยเฝ้าสังเกตการณ์และช่วยเหลือซึ่งกันและกันในเมืองหลวง เจ้ายังมีอะไรไม่ไว้วางใจอีก”

หวางฮูหยินถอนหายใจอย่างแผ่วเบาอีกครั้งแล้วพูดขึ้น “ได้ยินมาแต่เนิ่นๆ ว่าครรภ์นี้ของเฟิ่งเกอเป็นบุตรี คิดว่าจวนโหวก็คงต้องรู้สึกไม่ค่อยยินดีอยู่แล้ว”

ข้าหลวงเหยายิ้มอ่อนๆ “คำพูดนี้ช่างไม่สมเหตุสมผลยิ่งนัก! มีบุตรีแล้วจะเศร้าใจเพราะไม่มีบุตรชายไปไยกัน พวกเขายังเป็นผู้เยาว์ อนาคตยังมีบุตรได้อีก! หรือว่าตระกูลซูจะให้บุตรชายหย่าร้างกับบุตรีของพวกเราเพราะบุตรคนแรกที่นางคลอดคือบุตรี? ใต้หล้านี้ยังไม่เคยได้ยินหลักเหตุผลเช่นนี้มาก่อน! นึกว่าข้าเหยาหย่วนจือจะยอมให้รังแกง่ายเพียงนั้นหรือไร”

หวางฮูหยินยกยิ้มอีกครั้ง “ท่านพี่ก็อย่าได้พูดอะไรที่ทำให้ขุ่นเคืองใจเลย มืดค่ำมากแล้ว นอนเถอะ”

ดังนั้นสองสามีภรรยาจึงเข้าไปในห้องนอน เปลี่ยนเสื้อผ้าตัวหลวมแล้วนอนหลับ

เหยาเยี่ยนอวี่กลับไปถึงจวนก็ถึงเวลาเที่ยงคืนแล้ว เหยาเหยียนอี้กลับยังไม่เข้านอน ยังคงตรวจบัญชีอยู่ใต้แสงเทียน เหตุเพราะเห็นน้องสาวกลับมาจึงสั่งเสวี่ยเหลียน “ไปยกอาหารมื้อดึกมาให้น้องสาว”

“เหตุใดพี่รองถึงยังไม่เข้านอน” เหยาเยี่ยนอวี่รู้สึกเมื่อยล้าไปทั้งตัวจึงนั่งลงตรงข้ามที่นั่งของเหยาเหยียนอี้

“เพิ่งจะจัดการธุระเสร็จ” ในมือของเขาเป็นตัวอย่างสมุนไพรหลากหลายชนิด ถึงแม้ฮ่องเต้จะไม่ดู ทว่าเขากลับไม่ควรทำงานประมาท