บทที่ 57 ของบางอย่างในรถม้า

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 57 ของบางอย่างในรถม้า
ไห่กงกงรีบลุกขึ้นจากพื้น และรีบมองไปที่ฉีเฟยอวิ๋น เมื่อเห็นคนตรงหน้า เขาก็รีบโค้งคำนับอย่างเร่งรีบ:“พระองค์เสด็จมาแล้ว กระหม่อมคารวะท่านอ๋องเย่”

“กงกงโปรดลุกขึ้นเถอะ!” หนานกงเย่ก้มลงไปอุ้มฉีเฟยอวิ๋นขึ้นมา และเดินเข้าไปในตำหนักเฉาเฟิ่ง

ไห่กงกงรีบโบกมือ เพื่อบอกใบ้ให้รีบตามไป

หลังจากที่เข้าไปในตำหนักเฉาเฟิ่งแล้ว หนานกงเย่ก็เรียกนาง:“ลุกขึ้นมา?ข้ามีเรื่องจะถามเจ้า”

ไห่กงกงมองดูอย่างระมัดระวัง ที่แท้ข่าวลือจากภายนอกก็เป็นความจริง ท่านอ๋องเย่ไม่ชื่นชอบพระชายาเย่ ช่วงความเป็นความตาย ยังจะเรียกให้คนลุกขึ้นมา เช่นนั้นหากตายไปจะทำอย่างไร จะมองดูอยู่อย่างนี้หรือ!

ไห่กงกงดูเป็นกังวล หนานกงเย่ยังคงไม่ทุกข์ร้อน:“ข้าถามเจ้า เจ้าทำร้ายพระชาตวนใช่หรือไม่?”

“นี่มันเวลาไหนกันแล้ว คนกำลังจะตาย ยังจะถามอยุ่อีก?” ฮองเฮาทนเห็นสิ่งนี้ไม่ได้ นางสวมชุดคลุมฟีนิกซ์และเดินเข้ามาทีละก้าว สัมผัสได้ถึงความเยือกเย็นบนใบหน้าที่สง่างามและเย็นชา หนานกงเย่เงยหน้าขึ้นมอง สีหน้าของเขาดีขึ้นเล็กน้อย

“ลูกคารวะเสด็จแม่พ่ะย่ะค่ะ”

หนานกงเย่โค้งคำนับ พระพันปีเหลือบมองมาอย่างไม่พอใจ:“เอาล่ะ วางคนลงเถอะ เจ้าไม่หวงแหน แต่ข้าหวงแหน!”

ในขณะที่พูด พระพันปีก็เดินลงมา นางมองไปที่ซีดขาวและเหงื่อที่ท่วมไปทั้งตัวของฉีเฟยอวิ๋น นางส่ายหัว:“ช่างเป็นเด็กที่น่าสงสารจริง ๆ อาไห่ เจ้ารีบไปเรียกหมอหลวงมาเร็วเข้า!”

“กระหม่อมจะไปเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ”

ไห่กงกงรีบไปจัดการในทันที หนานกงเย่วางคนลง พระพันปีนั่งลงและลูบคลำ จึงพบว่ามีบางอย่างออกมาจากต้นขาของฉีเฟยอวิ๋น

และเปิดเสื้อคลุมออกอย่างระมัดระวัง ข้างบนมีเลือดเต็มไปหมด พระพันปีมองไปที่หนานกงเย่ที่อยู่ข้าง ๆ

หนานกงเย่ก็ประหลาดใจเช่นกัน เขาตกตะลึง เลือดเยอะมาก!

“ออกไปให้หมด” พระพันปีให้เหล่าขันทีถอยออกไป และเหลือเพียงนางกำนัลสองสามคนที่อยู่ข้าง ๆ และเปิดกระโปรงของฉีเฟยอวิ๋นทีละชั้น ต้นขาด้านในมีเข็มเงินทิ่มอยู่ เลือดไหลออกมาจากตรงนั้นเยอะมาก

“ไอ๊หยา เจ้าเด็กคนนี้!”

และปล่อยชายกระโปรงลง พระพันปีจับมือของฉีเฟยอวิ๋นขึ้นมาดู ในมือของนางก็มีรอยเข็มทิ่มเช่นกัน และมีเลือดไหลออกมา

พระพันปีปล่อยมือ นางกำนัลที่อยู่ข้าง ๆ นำกะละมังใส่น้ำที่เตรียมไว้มาวางไว้ตรงหน้า พระพันปีทรงล้างมือ และมีคนนำผ้าเช็ดหน้ามือมาเช็ดให้ พระพันปีมองไปที่หนานกงเย่:“หากแม่บอกว่า แม่ชอบคนคนนี้ เย่เอ๋อร์จะผ่อนปรนได้หรือไม่ แล้วปล่อยนางไป?”

สีหน้าของหนานกงเย่ดูไม่น่ามอง:“หม่อมฉันไม่ได้ต้องการจะทำร้ายนางนะพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่เห็นนางแล้วรู้สึกไม่เจริญตาเจริญตา เมื่อครู่……”

เมื่อนึกถึงจวินฉูฉู่ที่ถูกทำร้ายจนกลายเป็นเช่นนั้น แต่เขาไม่กล้าพูดว่านางทำ เขาจึงได้แต่โมโห

นี่มันเมื่อไหร่แล้ว ยังจะไปหาเรื่องจวินฉูฉู่อยู่อีก

เพียงแต่ไม่คิดว่าฉีเฟยอวิ๋นจะกลายเป็นเช่นนี้

“พูดไม่ออกหรือ?แม่เคยผ่านมาก่อน แม้ว่าการกระทำของเด็กคนนี้จะไม่เป็นที่น่าพอใจ แต่แค่มองตาของนาง แม่ก็รู้แล้วว่านางไม่มีจิตใจที่คิดร้ายกับผู้อื่น แต่มีบางคน เจ้าดูไม่ออกใช่หรือไม่?”

พระพันปีทรงลุกขึ้นเดินไปข้าง ๆ และหมอหลวงก็เดินเข้ามาจากด้านนอก และคลานเข่ามาถวยบังคมพระพันปี

“เอาล่ะ ไปดูพระชายาเย่เถอะ ช่างน่าสงสารเสียจริง!”

พระพันปีไม่รอให้คนด้านล่างได้พูดอะไร นางก็โบกมือให้พวกเขาไปดูฉีเฟยอวิ๋น

เหล่าหมอหลวงไม่กล้าละเลย และรีบตามไห่กงกงไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็วางกล่องยาลงและตรวจดูอาการของฉีเฟยอวิ๋น

“กราบทูลพระพันปีพ่ะย่ะค่ะ ยังตรวจได้ไม่แน่ชัด แต่จากอาการของพระชายาเย่ ดูเหมือนว่าพระองค์จะถูกพิษพ่ะย่ะค่ะ” หมอหลวงคุกเข่าลงและรายงาน

“ไร้สาระ ข้ากับพระชายาออกมาพร้อมกัน ข้าไม่เป็นอะไร แล้วพระชายาจะถูกพิษได้อย่างไร?” หนานกงเย่คิดว่าต่อให้จะถูกพิษ ก็ไม่น่าจะร้ายแรงได้ขนาดนี้

ในร่างกายของฉีเฟยอวิ๋นสามารถขับพิษได้ตัวเอง และนางยังสามารถฟื้นคืนชีวิตได้ พิษจะทำอะไรนางได้อย่างไร?

“เพียงแต่การคาดการณ์ของกระหม่อม เป็นเช่นนั้นจริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ”

หมอหลวงก็ทำอะไรไม่ถูกเช่นกัน หรือว่าท่านอ๋องเย่ต้องการจะฆ่าพระชายาเย่จริง ๆ แม้แต่ถูกพิษก็ไม่ทรงพูดออกมา

“เสด็จแม่พ่ะย่ะค่ะ ลูกจะพานางกลับไป ดึกมากแล้ว จึงไม่อยากรบกวนเวลาพักผ่อนของเสด็จแม่” หนานกงเย่ก้มลงอุ้มฉีเฟยอวิ๋นขึ้นมาและกำลังจะจากไป ไห่กงกงเป็นกังวลมาก และรีบมองไปที่พระพันปี หากออกไปเช่นนี้ คงต้องตายแน่ ๆ และท่านอ๋องเย่ก็โหดเหี้ยมเกินไป

ไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่นเลย พระชายาเย่เป็นคนที่ช่วยชีวิตเขาไว้!

“เจ้ากลับไปสืบเรื่องพิษเสียก่อน เจ้าจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม แต่ข้าเชื่อที่หมอหลวงกล่าว หากเจ้าไม่เชื่อก็ลองไปสืบมาให้ข้าดู ข้าเห็นว่าเจ้ากลับมาเป็นปกติแล้วคงยังไม่มีเรื่องอะไรต้องทำ ไปเถอะ”

พระพันปีประคองแขนเสื้อ หนานกงเย่ไม่สามารถฝ่าฝืนได้ เขาเหลือบฉีเฟยอวิ๋นที่อยู่ในอ้อมแขนและวางนางลง

ในเมื่อตายแล้วฟื้นคืนชีพได้ ในตอนนี้ก็คงจะไม่เป็นไร

หลังจากวางนางลงแล้ว หนานกงเย่ก็คำนับและกล่าวว่า:“ลูกน้อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ”

พูดจบแล้วเขาก็หันหลังจากไปโดยไม่ไยดี

ไห่กงกงเดินไปดู เมื่อเห็นว่าคนเดินไปไกลแล้ว จึงกล้าเดินกลับมา และพูดกับพระพันปีว่า:“ตอนที่กระหม่อมไป กระหม่อมเห็นแสงสะท้อนจากมีด จนเกือบจะทำให้ความกล้าหาญของกระหม่อมหมดไป”

พระพันปีถลึงตามอง:“เจ้า?”

“ไม่ใช่เช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ?” ไห่กงกงรีบพูด

พระพันปีไม่สนใจเขา และมองไปที่ฉีเฟยอวิ๋น:“ดูกันให้ดีล่ะ ข้าจะไปพักผ่อนแล้ว”

“กระหม่อมน้อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ!”

พระพันปีทรงลุกขึ้นและกลับไปบรรทม ไห่กงกงรีบเข้าไปช่วยประคอง:“พระพันปี เดินช้า ๆ พ่ะย่ะค่ะ……”

และพาพระพันปีกลับไปส่งที่ห้องบรรทม และไห่กงกงก็กลับมาเฝ้า หมอหลวงรักษาตามอาการและให้ฉีเฟยอวิ๋นกินยาถอนพิษก่อน ส่วนจะได้ผลหรือไม่นั้น พวกเขาก็ไม่รู้

ก่อนหน้านี้คิดมาโดยตลอดว่าฉีเฟยอวิ๋นไม่เป็นที่โปรดปราน แต่ในตอนนี้ดูเหมือนว่าถ้านางตายไป พวกเขาทั้งหมดก็จะต้องถูกฝังไปด้วย พวกเขาจึงเป็นกังวล

“กงกง ข้าพยายามอย่างเต็มที่แล้ว ส่วนจะเป็นอย่างไรนั้น คงต้องแล้วแต่บุญวาสนาของพระชายาเย่” หมอหลวงก็จนปัญญาเช่นกัน

ไห่กงกงกล่าวว่า:“ลำบากพวกท่านแล้ว ข้าว่าหมอหลวงทุกท่านไปพักก่อนเถอะ หากมีอะไรข้าจะไปตามพวกท่าน”

“เชิญกงกง”

เหล่าหมอหลวงกลับไปพักผ่อน ไห่กงกงก็เดินไปรอบ ๆ ตรงหน้าฉีเฟยอวิ๋นอย่างร้อนใจ ทำไมยังไม่ได้ขึ้นอีก!

ตอนที่ฮองเฮาออกมา หนานกงเย่ก็ขึ้นไปบนรถม้า และคนขับรถม้าก็ขับรถกลับไป หนานกงเย่พิงรถม้าแล้วหยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน ทำไมถึงอ่านไม่รู้เรื่องเลย เขาจึงโยนมันทิ้งไป หนังสือทับตะเกียงแล้วตะเกียงก็ดับ และมีของบางอย่างสีดำออกมาจากตะเกียง หนานกงเย่เลิกคิ้วขึ้นและมองดูสิ่งนั้น เขาหยิบไส้ตะเกียงขึ้นมาเพื่อให้สว่าง และมีคราบเลอะเล็กน้อย สิ่งนั้นยังคงดิ้นอยู่

หนานกงเย่ขมวดคิ้วแน่น ใบหน้าของเขาก็มืดมน!

เขาโยนมันทิ้งไป และที่ตั้งตะเกียงก็ติดมือออกไปด้วย

และหล่นลงไปที่พื้นดังปัง ด้วยหน้ารถม้ามีตะเกียงน้ำมันห้อยอยู่สองอัน คนขับมองดูตะเกียงน้ำมันที่พื้น แล้วกำแส้ในมือแน่น

ไม่พูดอะไรมาตลอดทาง เมื่อรถม้ามาถึงหน้าประตูจวนอ๋องเย่ หนานกงเย่ก็ลงจากรถม้าและเดินเข้าไปข้างใน

คนขับรถม้าเดินตามมาข้างหลัง และพ่อบ้านก็ออกมาต้อนรับ แต่เมื่อไม่เห็นฉีเฟยอวิ๋นก็ประหลาดใจ:“ท่านอ๋อง พระชายาล่ะพ่ะย่ะค่ะ?”

หนานกงเย่หยุด และหันไปมองคนที่เดินตามเข้ามา

อาซิวคุกเข่าลง:“ท่านอ๋อง อาซิวมารับโทษพ่ะย่ะค่ะ!”

พ่อบ้านงุนงง และอะไรบางอย่าง หัวใจของเขาสั่นสะท้าน

“ไปเรียกอาอวี่มา” สีหน้าของหนานกงเย่เย็นชา และน้ำเสียงก็เย็นยะเยือก

พ่อบ้านใจคอไม่ดี จึงแอบส่งคนให้ไปตามทังเหอมา

อาอวี่ออกมาจากหลังตำหนัก และเห็นอาซิวที่กำลังคุกเข่าอยู่ที่พื้น เขาเดินมาแล้วคุกเข่าลงอย่างไม่พูดไม่จา