บทที่ 58 ตรวจดูพระอาการให้พระพันปี

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 58 ตรวจดูพระอาการให้พระพันปี
ในเช้าวันรุ่งขึ้น ฉีเฟยอวิ๋นก็ฟื้นขึ้นมา ไห่กงกงคอยเฝ้าอยู่ข้าง ๆ เมื่อเห็นว่านางฟื้นขึ้นมาแล้วก็รีบเดินมาอย่างรวดเร็ว:“บ่าวคารวะพระชายาเย่พ่ะย่ะค่ะ พระชายาเย่ทรงทำให้บ่าวกังวลใจแทบแย่!”

ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้นนั่ง และเหลือบมองฉากที่อยู่ข้างหน้า ฉีเฟยอวิ๋นแน่ใจว่านางอยู่ที่ตำหนักเฉาเฟิ่งของพระพันปี จากนั้นนางก็พูดกับไห่กงกง

“ขอบคุณไห่กงกงที่ดูแลข้าทั้งคืน”

ไห่กงกงรีบกล่าวว่า:“พระชายาเย่เกรงใจเกินไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ พระพันปีทรงเอ็นดูพระองค์ บ่าวจึงเป็นกังวลพ่ะย่ะค่ะ”

ฉีเฟยอวิ๋นเข้าใจ หลังจากนี้คนที่นางสามารถพึ่งพาได้ก็มีเพียงแค่พระพันปี

ส่วนจุดประสงค์ของพระพันปีนั้น แม้ว่านางจะไม่แน่ใจ แต่นางก็ยังมีประโยชน์ ด้วยสิ่งนี้ นางจะปลอดภัย

“ไห่กงกงได้โปรดพาข้าไปเข้าเฝ้าพระพันปีด้วย” ฉีเฟยอวิ๋นกำลังจะลุกขึ้น แต่ไห่กงกงก็เข้ามาห้ามไว้

พระชายาเย่ทรงนอนลงก่อนพ่ะย่ะค่ะ พระพันปีทรงเสด็จมาเยี่ยมพระชายาเย่แล้ว และรับสั่งว่าพระชายาเย่ฟื้นขึ้นมา ให้บ่าวดูแลให้ดี ๆ ไม่ต้องรีบร้อนไปเข้าเฝ้า”

ในขณะที่ไห่กงกงพูดก็โบกมือ และพวกนางกำนัลก็ถอยออกไป ไห่กงกงกล่าวเบา ๆ ว่า:“พระพันปียังทรงพักผ่อนอยู่พ่ะย่ะค่ะ ช่วงนี้พระองค์มักจะฝันร้ายตอนกลางคืน และบรรดาหมอหลวงก็จนปัญญา บ่าวก็กังวลใจเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ!”

ฉีเฟยอวิ๋นจึงถามว่า:“หมอหลวงก็ไม่มีวิธีรักษาหรือ?”

“ไม่มีพ่ะย่ะค่ะ หากมีก็เพียงแต่ทำให้พระพันปีไม่ทรงตื่นขึ้นมากลางดึกพ่ะย่ะค่ะ”

ไห่กงกงจากไป ก้มหน้าแล้วถอนหายใจ พระพันปีทรงไม่ได้พักผ่อน เขาที่เป็นบ่าวก็ไม่กล้าที่จะพักผ่อนเช่นกัน

ฉีเฟยอวิ๋นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง:“เมื่อก่อนพระพันปีก็ทรงมีพระอาการเช่นนี้หรือ?”

ไห่กงกงส่ายหัว:“ก่อนหน้านี้พระพันปีทรงหลับสนิทดีพ่ะย่ะค่ะ แต่เมื่อครึ่งปีที่ก่อนก็เริ่มที่จะพักผ่อนไม่ได้เต็มที่ บรรดาหมอหลวงก็หาสาเหตุไม่พบ ทรงเสวยยามามากมายก็ไม่ดีขึ้นเลยพ่ะย่ะค่ะ”

ช่วงนี้พระพันปีมักจะตรัสว่าฝันอยู่บ่อย ๆ และนิมิตในความฝันก็แปลกมากพ่ะย่ะค่ะ

บ่าวกังวลว่าพระวรกายของพระพันปีจะไม่ค่อยแข็งแรง และหากเป็นเช่นนี้ต่อไปอีก เกรงว่าจะทำให้พระอาการของพระพันปียิ่งแย่ลงไปอีกพ่ะย่ะค่ะ!”

ฉีเฟยอวิ๋นนั่งสักพัก:“กงกง ข้าอยากตรวจดูพระอาการให้พระพันปี ไม่รู้ว่าได้หรือไม่?”

ไห่กงกงตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ไตร่ตรองดูและกล่าวว่า:“อันที่จริงก็เคยเชิญหมอมาจากข้างนอก แต่ส่วนใหญ่ก็บอกว่ามันเกิดจากความกังวลเกี่ยวกับกิจการบ้านเมืองของพระพันปีพ่ะย่ะค่ะ

ใช้ยามาหลายตำรับแล้ว แต่ก็ไม่ทรงดีขึ้นเลยพ่ะย่ะค่ะ และพระพันปีก็ไม่ทรงตำหนิใด ๆ”

ไห่กงกงลังเลอยู่ครู่หนึ่งและถามว่า:“พระชายาเย่ พระองค์คิดดีแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ!”

ฉีเฟยอวิ๋นพยักหน้า:“กงกง ข้าคิดดีแล้ว รบกวนท่านกราบทูลต่อพระพันปีด้วย ข้ายินดีที่จะตรวจชีพจรให้พระพันปี

“เช่นนั้นพระชายาเย่โปรดรอสักประเดี๋ยวพ่ะย่ะค่ะ บ่าวจะไปกราบทูล”

ไห่กงกงหันหลังกลับเข้าไปข้างใน และไม่นานก็ออกมา

“พระชายาเย่ บ่าวจะช่วยประคองพระองค์พ่ะย่ะค่ะ”

หลังจากที่พูดจบ ไห่กงกงก็เดินมาข้างหน้าฉีเฟยอวิ๋น และช่วยประคองฉีเฟยอวิ๋นลงจากเตียง ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้นและเดินตามไป แล้วทั้งสองเข้าไปในห้องบรรมทมของพระพันปี

ฉีเฟยอวิ๋นเดินเข้าไป และกำลังจะคุกเข่าลงด้วยความเคารพ แต่เสียงของพระพันปีก็ดังมาจากตรงหน้า:“ไม่ต้องหรอก เจ้าร่างกายไม่ค่อยดี ถือว่ายกเว้น เข้ามาตรวจดูเถอะ”

“ขอบพระทัยเสด็จแม่เพคะ!”

ฉีเฟยอวิ๋นเดินไปตรงหน้าพระพันปี นางกำนัลย้ายเก้าอี้ไม้มาวาง และเมื่อนางนั่งลงแล้วก็เอาหมอนแมะมาตั้ง ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวว่า:“เสด็จแม่ เชิญเพคะ”

พระพันปีเหยียดมือออกมาวางลงบนหมอนแมะ ฉีเฟยอวิ๋นดึงแขนเสื้อขึ้น แล้วกดข้อมือของพระพันปีเบา ๆ ยังไม่ทันได้ตรวจดู ระบบก็เริ่มทำงานและเริ่มสแกนร่างของพระพันปี

ฉีเฟยอวิ๋นพบบางอย่างที่น่าประหลาดใจ พระพันปีเพียงแค่จิตใจอ่อนแอ และเสาเหตุหลักไม่ใช่ว่าร่างกายป่วย แต่เป็นเพราะการบำรุงที่มากเกินไป

หลังจากปล่อยมือแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นก็ลังเลเล็กน้อย พระพันปีจ้องมองด้วยดวงตาที่มีความล้ำลึกคู่นั้น:“เป็นอย่างไรบ้าง?”

ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้นและก้าวถอยหลังไป นางโน้มตัวลงคำนับ:“ความจริงแล้วเสด็จแม่ไม่ได้ประชวรอะไรเพคะ”

“อ้อ?” พระพันปีลุกขึ้นนั่งด้วยความสนใจ และนางกำนัลทั้งสองที่อยู่ข้าง ๆ ก็เข้ามาปรนนิบัติอย่างระมัดระวัง

หลังจากพระพันปีประทับนั่ง และจัดชุดคลุมเรียบร้อยแล้ว ก็ทรงตรัสอย่างประหลาดใจว่า:“ไม่ได้ประชวร หรือว่าข้าถูกพิษ?”

“ไม่ใช่เพคะ” ฉีเฟยอวิ๋นก้มศีรษะและพูดต่อ

“ถ้าเช่นนั้นก็ว่ามาว่าข้าเป็นอะไร?”

“เสด็จแม่ทรงได้รับการบำรุงมากเกินไป” ฉีเฟยอวิ๋นไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร นางไม่อยากอ้อมค้อมให้เหนื่อย สู้พูดตรง ๆ เลยจะดีกว่า

นอกจากพระพันปีที่มองดูอยู่แล้ว ก็ยังมีไห่กงกงที่มองอย่างตกตะลึงเช่นกัน

ไห่กงกงรีบถาม:“พระชายาเย่ เป็นเพราะเหตุใดพ่ะย่ะค่ะ?”

“จากการตรวจชีพจรของเสด็จแม่ พระวรกายของเสด็จแม่นั้นอ่อนแอกว่าคนทั่วไปในวัยเดียวกันมาก” เมื่อฉีเฟยอวิ๋นกล่าวเช่นนี้ ไห่กงกงก็ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง และมองไปที่พระพันปีที่ประทับนั่งอยู่เบื้องหน้าอย่างระแวดระวัง แม้ว่าจะทรงไม่แสดงออกมา แต่ก็ดีใจอย่างเห็นได้ชัด

ไห่กงกงคิดว่า พระชายาเย่คนนี้หว่านล้อมคนได้ดีจริง ๆ

“ พระชายาเย่ ว่าต่อสิ” พระพันปีกล่าวเบา ๆ

ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวต่อ:“คนธรรมดานั้น เมื่อถึงวัยกลางคน ระบบต่าง ๆ ของร่างกายก็จะถดถอยลง แต่แน่นอนว่าคนในราชวงศ์นั้นต่างจากคนธรรมดาทั่วไป

เสด็จแม่ได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีมาตั้งแต่ทรงพระเยาว์ และสติปัญญาก็ต่างกัน แน่นอนว่าบิดามารดาก็ต้องมีใบหน้าที่งดงาม และเป็นผู้มีอิริยาบถอันโดดเด่น นอกจากนี้ช่วงเวลาที่บิดามารดาตั้งครรภ์ก็ยังอายุน้อย เช่นนั้นพระวรกายของเสด็จแม่จึงย่ำแย่”

ซึ่งรวมถึงบุคลิกภาพ อารมณ์ สติปัญญา และะแม้กระทั่งอิริยาบถ

กล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่าหากมารดาที่ตั้งครรภ์เสด็จแม่เป็นหญิงสาว และบิดาก็ยังอายุน้อย เช่นนั้นพระวรกายของเสด็จแม่ก็จะแข็งแรง หากบิดามารดาของเสด็จแม่มีบุตรตอนแก่ เช่นนั้นพระวรกายของเสด็จแม่ก็จะย่ำแย่

“ยังมีอะไรอีกหรือไม่?” พระพันปีทรงสงสัยเล็กน้อย

ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวต่อว่า:“แน่นอนว่ามีบันทึกไว้ในหนังสือทางการแพทย์ ดังนั้นหม่อมฉันจึงคิดว่าตอนที่บิดามารดาทรงให้กำเนิดเสด็จแม่ พวกท่านน่าจะมีอายุไม่เกินยี่สิบปี ผู้ชายอายุมากกว่าสิบแปดปีขึ้นไป และผู้หญิงอายุเกินสิบหกปีขึ้นไป และอายุต่ำกว่าสิบแปดปีลงมา”

ไห่กงกงหัวเราะ:“พระชายาเย่ หากพระองค์กล่าวเช่นนี้ กระหม่อมคงจะต้องตักเตือนพระองค์ นี่ไม่ใช่เรื่องที่จะเดาได้นะพ่ะย่ะค่ะ”

“อาไห่ ถอยไป!”

ไห่กงกงตกตะลึงและมองอย่างงุนงง:“พระพันปี หรือว่าพระชายาเย่จะกล่าวได้อย่างถูกต้องพ่ะย่ะค่ะ?”

พระพันปีไม่สนใจไห่กงกง แล้วถามว่า:“เช่นนั้นแล้วอย่างไร?”

“ทูลเสด็จแม่ ในช่วงเวลานี้ ทั้งคู่ต่างก็ยังอายุน้อย และงดงามดั่งบุปผา เสด็จแม่ลองคิดดูสิเพคะ นับว่าเป็นคนปราดเปรื่องและโดดเด่นในครอบครัวหรือไม่”

“เหอะ……”พระพันปีหัวเราะออกมา:“เจ้าหว่านล้อมคนได้เก่งจริง ๆ!”

แม้ว่าพระพันปีจะกล่าวเช่นนี้ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะหวนคิด และมันก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ

ฉีเฟยอวิ๋นคิดว่ามันเป็นการเริ่มต้นที่ดี นางจึงโล่งใจ

“เสด็จแม่เพคะ นี่เป็นบันทึกจากในหนังสือทางการแพทย์ ไม่ใช่การหว่านล้อมนะเพคะ”

“เช่นนั้นก็กล่าวต่อไปสิ ข้าอยากฟัง”

เมื่อพระพันปีทรงตรัสเช่นนี้แล้ว ฉีเฟยอวิ๋นจึงกล่าวต่อว่า:“บุตรสาวจะสืบทอดต่อจากบิดามามาก ดูจากพระพักตร์ของเสด็จแม่แล้ว เชื่อว่าบิดาของเสด็จแม่ต้องเป็นผู้ที่มีรูปโฉมงดงาม และหญิงสาวที่ตั้งครรภ์เสด็จแม่ ในตอนนั้นต้องอารมณ์ดีมาก ดังนั้นพระพักตร์ของเสด็จแม่จึงดูอ่อนโยน และความฉลาดของเสด็จแม่จึงเหมือนบิดามากกว่า ส่วนที่เหลือคือสภาพร่างกาย

เนื่องจากเมื่อมารดาของเสด็จแม่ให้กำเนิดเสด็จแม่ตอนที่อายุยังน้อย ในเวลานั้นโครงกระดูกจึงแข็งแรง การไหลเวียนของเลือดก็อุดมสมบูรณ์ เสด็จแม่จึงได้รับการบำรุงค่อนข้างมาก และพระวรกายขอเสด็จแม่จึงแข็งแรงดี

สิ่งนี้เป็นตัวกำหนดสภาพร่างกายของเสด็จแม่หลังกำเนิด

คนธรรมดากล่าวว่าสุขภาพดีขึ้นอยู่กับชะตาฟ้าลิขิต แต่ในราชวงศ์กลับต้องใช้เวลานาน

หม่อมฉันทราบดีว่าอายุที่บิดามารดาให้กำเนิดบุตร มีผลกระทบอย่างมากกับอายุขัย อย่างน้อยก็เจ็ดสิบปี อย่างมากก็หนึ่งร้อยแปดปี ล้วนแต่มีทั้งสิ้น

เมื่ออายุถึงร้อยปี มีบางคนที่ฟันงอกขึ้นมาสองซี่

และสิ่งเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงสัญญาณของการมีอายุที่ยืนยาวเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญญาณของความแข็งแกร่งของร่างกายอีกด้วย”

พระพันปีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง:“ถ้าเช่นนั้นคงไม่ใช่เพราะว่าร่างกายของข้าแข็งแรงเกินไปจนทำให้ข้านอนไม่หลับ?”

“ไม่ใช่เช่นนั้นเพคะ เสด็จแม่คงจะจำได้ว่าเริ่มนอนหลับไม่ดีตั้งแต่เมื่อไหร่?”

“นี่?” พระพันปีมองไปที่ไห่กงกง ไห่กงกงจึงรีบพูดว่า:“เมื่อครึ่งปีที่ก่อนพ่ะย่ะค่ะ”

“เสด็จแม่ เรียกหมดหลวงมาเพคะ และถามว่าพวกเขาเริ่มให้ยาบำรุงเสด็จแม่ในเวลานั้นใช่หรือไม่ และในยาบำรุงนั้น เพิ่มโสมเข้าไปใช่หรือไม่”