ตอนที่ 79 พิษของแม่เฒ่าจู

ทะลุมิติไปเป็นสาวน้อยชาวสวน

ตอนที่ 79 พิษของแม่เฒ่าจู

ทุกคนนอนพักผ่อนตลอดทั้งบ่าย

จนกระทั่งถึงเวลาอาหารเย็น หยุนลี่เต๋อถูกเรียกไปยังห้องชั้นบนอีกครั้ง

แม่นางเหลียนดึงชายเสื้อของสามีพลางส่งสายตากังวลราวกับมีเรื่องจะพูด ทว่าไม่กล้าเอื้อนเอ่ยออกมา

หยุนลี่เต๋อพยักหน้าเพื่อปลอบประโลมภรรยา “ไม่ต้องห่วง”

ทันทีที่ประตูห้องชั้นบนปิดลง ซานหลางก็วิ่งไปซ่อนตัวอยู่หลังบ้านพลางตะโกน “เชวี่ยเอ๋อ เชวี่ยเอ๋อ…”

“มีอะไรหรือ?”

“ขาไก่” เขาขมวดคิ้วพลางยื่นมือออกมา

“…”

หยุนเชวี่ยนิ่งอึ้ง

“ท่านปู่เรียกพ่อของเจ้าขึ้นไปยังห้องด้านบนอีกแล้ว ข้าจะพาเจ้าไปแอบฟังข้างกำแพง” มือข้างนั้นแทบจะทิ่มตาหยุนเชวี่ย “ขาไก่”

หยุนเชวี่ยพูดไม่ออก “วันนี้ข้าไม่อยากแอบฟังแล้ว”

ซานหลาง…

“ถ้าอย่างนั้นถือว่าตกลง!”

“อย่าโกงสิเจ้าคะ ใครตอบตกลงกัน?”

หยุนเชวี่ยไม่ชอบใจกับการกระทำของเขาจึงเดินหนีออกไป

ซานหลางทำอะไรไม่ได้จึงเตะดินในแปลงผักอย่างโกรธเคือง

“เหตุใดหยุนอี้ถึงเรียกหาเจ้า?” หยุนเยี่ยนเอ่ยถามด้วยความกังวลเพราะกลัวว่าเชวี่ยเอ๋อจะเลียนแบบนิสัยไม่ดีจากเขา

“คืนที่ท่านพ่อถูกเรียกเข้าไปในห้อง ท่านปู่บอกให้เขาเฝ้าหลังบ้านเอาไว้ไม่ให้ข้าไปแอบฟัง ข้าจึงติดสินบนเขาด้วยขาไก่” หยุนเชวี่ยโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ “เขากินแล้วอร่อยจึงมาขอข้าอีกครั้ง”

“เขาอาจกินไม่อิ่มจริง ๆ ก็ได้” แม่นางเหลียนมีจิตใจอ่อนโยน “เด็กชายตัวอ้วนช่างน่าสงสาร วัน ๆ กินแต่น้ำซุปคงจะไม่อิ่มท้อง เราเหลือขนมแป้งทอดอยู่สองชิ้นไม่ใช่หรือ…”

ก่อนที่แม่นางเหลียนจะพูดจบ หยุนเชวี่ยก็โพล่งขึ้น “ไม่”

“สาวน้อย เหตุใดเจ้าถึงไม่แบ่งปันอาหารให้คนอื่นบ้างเล่า?” แม่นางเหลียนแสดงความเห็นอกเห็นใจ “ต่อให้อาสามและอาสะใภ้สามจะปฏิบัติกับเจ้าแย่เพียงใด แต่หยุนอี้ยังเป็นเด็กน้อยและน่าสงสาร…”

“ข้าไม่อยากแบ่งขนมแป้งทอดให้เขา” หยุนเชวี่ยเกาศีรษะพลางเหลือบมองมารดาอย่างช่วยไม่ได้

นางนิสัยดีหมดทุกอย่าง เสียแต่ว่าใจแคบ… เด็กคนนี้น่ารักทว่าซื่อบื้อ!

“หากพี่รองอยากกิน ข้าก็จะแบ่ง แต่สำหรับซานหลางแล้ว ข้าไม่ให้!”

แม่นางเหลียน…

“ซานหลางมีนิสัยอกตัญญูเหมือนท่านอาสาม หากเราแบ่งปันไปแล้ว เขาไม่เคยรู้สึกขอบคุณเลย มิหนำซ้ำยังร้องขอมากยิ่งขึ้นไปอีก และถ้าเราไม่ให้ เขาก็จะจดจำมันและเก็บไปเป็นความแค้น”

แม่นางเหลียนคิดตามอย่างรอบคอบ “สิ่งที่เจ้าพูดก็มีเหตุผล”

ครั้งนี้หยุนลี่เต๋อไม่ได้ดื่มชาในห้องโถงใหญ่แม้แต่ถ้วยเดียว เนื่องจากแม่เฒ่าจูเอาแต่แผดเสียงด่าทอจนลั่นห้อง

เล่ห์อุบายเดิม ๆ หนึ่ง… ร้องไห้ สอง… เอะอะโวยวาย สาม… แขวนคอตัวเอง

หยุนเชวี่ยใช้นิ้วแคะหู ปัดโธ่! หูเกือบดับเสียแล้ว!

เสียงสาปแช่งดังออกมาอย่างต่อเนื่องและไม่มีทีท่าว่าจะหยุด

หยุนลี่เต๋อเดินคอตกออกมาจากห้องชั้นบน

“ท่านคงลำบากใจมากสินะ…” นัยน์ตาของแม่นางเหลียนแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำขณะเหลือบมองสามี

หญิงชราปากคอเราะรายเกินไป นางสาปแช่งลูกชายในไส้ให้ตายตก อีกทั้งตัดขาดลูกหลาน เหตุใดถึงเป็นแม่ที่ใจร้ายเพียงนี้

หยุนลี่เต๋อนั่งลงตรงขอบเตียงพลางกุมศีรษะราวกับหมีขณะที่ใบหน้าซีดเซียว

“ท่านพี่เป็นอะไรไป? พูดออกมาสักคำสิ อย่าทำให้ข้ากังวลเลย…” แม่นางเหลียนเขย่าท่อนแขนกำยำของสามีขณะร้องไห้น้ำตานองหน้า

เดิมทีหยุนลี่เต๋อเป็นพ่อที่ซื่อบื้อและน่าเบื่อ ทว่าตอนนี้เขาต้องแบกรับความทุกข์ไว้ในใจมากเพียงใด!

“ท่านพ่อ” หยุนเยี่ยนจุ่มผ้าฝ้ายลงในอ่างน้ำก่อนบิดให้หมาด ๆ “เช็ดหน้าแล้วนอนพักผ่อนเถิดเจ้าค่ะ”

หยุนเชวี่ยโน้มตัวไปด้านหน้า “ท่านพ่อ ข้านวดศีรษะให้เองเจ้าค่ะ”

หยุนลี่เต๋อรู้สึกปวดศีรษะยิ่งนัก ดวงตาเจ็บปวดจนแทบถลนออกจากเบ้า ขณะนี้หูของเขาได้ยินเพียงเสียงด่าทอด้วยคำหยาบคายของแม่เฒ่าจู…

“ท่านพ่อ… ท่านพ่อ…”

“ท่านพี่ พูดอะไรหน่อยสิ!”

เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง…

หยุนลี่เต๋อได้สติขึ้นมาอีกครั้ง เขาจ้องมองเพดานด้วยสายตาว่างเปล่าก่อนแปรเปลี่ยนเป็นความงุนงง

ใบหน้าวิตกกังวลของภรรยาและลูก ๆ ปรากฏขึ้นตรงหน้าของเขา

“ข้า… ไม่ได้เป็นอะไร” ริมฝีปากของเขาแห้งผาก

“ท่านทำให้ข้ากลัวแทบตาย… กลัวแทบจะบ้าตาย…” แม่นางเหลียนทุบกำหมัดอันนุ่มนวลลงไปที่แผ่นหลังและไหล่กว้างของสามี “หากมีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นกับท่านพี่ พวกเราจะอยู่กันอย่างไร!”

“ข้าไม่เป็นไรแล้ว ๆ” หยุนลี่เต๋อยกมือหยาบกร้านขึ้นลูบศีรษะของภรรยาที่กำลังร้องไห้

หยุนเชวี่ยถอนหายใจอย่างโล่งอก

เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่น่ากลัวยิ่งนัก นางตกใจจนแทบสิ้นสติ

“ท่านพ่อ…”

หยุนเชวี่ยถอดรองเท้าก่อนปีนขึ้นเตียงไปคุกเข้าอยู่ด้านหลังของหยุนลี่เต๋อ จากนั้นกดมือน้อย ๆ ทั้งสองข้างลงบนขมับของบิดา

“ท่านพ่อ ดีขึ้นหรือยังเจ้าคะ?”

หยุนลี่เต๋อพยักหน้าช้า ๆ ความสับสนเริ่มเข้าเกาะกุมหัวใจของเขา

ด้านหนึ่งคือพ่อแม่ที่ไม่สนใจไยดี ส่วนอีกด้านหนึ่งคือภรรยาและลูก ๆ ที่ห่วงใยเขาเสมอ

การเปรียบเทียบไม่ใช่เรื่องผิด และการเฉยชาหลังจากเกิดการเปรียบเทียบก็ไม่ผิดเช่นกัน

“ท่านพ่อ ดื่มน้ำหน่อยเถิดเจ้าค่ะ” หยุนเยี่ยนยื่นถ้วยน้ำชาให้บิดา

เสี่ยวอู่ไม่กล่าวคำใด ทว่ากำแขนเสื้อของตนเองแน่น

“เราไม่ต้องการที่ดินเหล่านั้น ไม่ต้องการอีกแล้ว…” ใบหน้าของแม่นางเหลียนเต็มไปด้วยคราบน้ำตา “ข้าไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว ตราบใดที่ครอบครัวของเราอยู่กันพร้อมหน้า!”

หยุนเชวี่ยอ้าปากราวกับต้องการพูดบางอย่าง แต่สุดท้ายก็เงียบไป

นางไม่คาดคิดว่าตนจะมีส่วนทำให้บิดาผู้ซื่อสัตย์ต้องเป็นเช่นนี้

ช่างมันเถอะ อย่าคิดมากเลย! คนเรามักมีลู่ทางทำกินเสมอ

แม้จะไม่พอใจ ทว่านางไม่ก็สามารถทำเรื่องเลวร้ายเช่นแม่นางจูได้จริง ๆ

“ถูกต้อง” หยุนลี่เต๋อพึมพำออกมา

แม่นางเหลียนตกตะลึง

“ถูกต้อง” หยุนลี่เต๋อนั่งหลังตรงพร้อมกล่าวขึ้นอีกครั้ง “เจ้ากับลูกไม่ผิดหรอก”

น้ำตาของแม่นางเหลียนที่เพิ่งเหือดแห้งพลันไหลรินอีกครั้ง…

ดึกสงัด

ในที่สุดเสียงของหญิงชราก็เงียบลง หยุนเชวี่ยพลิกตัวไปมา นางนอนไม่หลับตลอดทั้งคืน

ไก่โก่งคอขันสามครั้ง ขอบฟ้าเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีขาว เสียงด่าทอดังขึ้นอีกครั้ง

หยุนเชวี่ยคิดว่ามันน่าทึ่งมากที่เสียงของแม่เฒ่าจูไม่แหบลงเลย ตรงกันข้าม… นางกลับมีจังหวะหายใจที่คงที่มากขึ้นเรื่อย ๆ

“ลูกอกตัญญู! ตอนนี้หัวใจของข้าแหลกสลายราวกับโดนฟ้าผ่า! วันหนึ่งเจ้าต้องตกนรกหมกไหม้ไม่ได้ผุดได้เกิดแน่!”

นี่คือการท่องกลอนแน่นอน  นางสามารถใช้คำเปรียบเปรยเรื่องนรกและสัตว์มาใช้ในการด่าได้อย่างสละสลวย

หยุนเชวี่ยนั่งริมหน้าต่างด้วยความงัวเงียพลางเคาะนิ้วตามจังหวะอย่างไม่รู้ตัว

หญิงชราปากร้าย

“กี่โมงแล้ว?” หยุนเยี่ยนกระซิบถาม

“เพิ่งจะเช้า”

“อืม… ท่านย่าไม่เหนื่อยบ้างหรือ…”

“ท่านย่ามีความมุ่งมั่น”

เช้าตรู่ในช่วงฤดูร้อน แม่เฒ่าจูนอนไม่หลับจนกระทั่งหนึ่งชั่วยามที่แล้วก่อนตื่นขึ้นมาสาปแช่งลูกชายต่อ

“ท่านตื่นมาทำอะไรแต่เช้า?” เสียงอันอ่อนโยนของแม่นางเหลียนดังมาจากอีกด้านของผ้าม่าน

“ข้านอนไม่หลับและกำลังจะออกไปตักน้ำ”

หยุนลี่เต๋อแบกคานหาบและถังน้ำออกไปอย่างเงียบ ๆ

“เฮ้อ!” แม่นางเหลียนถอนหายใจ “ยังไม่ได้กินข้าวเลย”

หญิงชรามีนิสัยชอบบีบบังคับ และหากเป็นอย่างนี้ต่อไป แม่นางเหลียนเกรงว่าจะครอบครัวของตนจะทนต่อไปไม่ไหว

“ข้าจะรีบทำอาหารเช้าและไปส่งให้ท่านพ่อทันที” หยุนเยี่ยนจัดแจงเสื้อผ้าก่อนลุกออกจากเตียง

“ท่านแม่ ข้ายังไม่อยากลุกออกจากที่นอน…” หยุนเชวี่ยเลิกผ้าม่าน ก่อนปีนขึ้นไปบนเตียงใหญ่

“ถ้าอย่างนั้นก็นอนต่อเถอะ ยังเช้าอยู่” แม่นางเหลียนตบแผ่นหลังลูกสาวเบา ๆ

“นอนไม่หลับ”

“อืม! ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไปพวกเราคงไม่ได้อยู่อย่างสงบสุข…”

“เมื่อไรเราจะแยกไปอยู่ตามลำพัง” หยุนเชวี่ยหลับตาลงอย่างงัวเงีย

“หืม…”

“หากหาเงินได้มากพอ ข้าจะเอาเงินมาสร้างบ้านเป็นอย่างแรก…”

“แม่กลัวว่าย่าของเจ้าจะตามสาปแช่ง แม้เราจะย้ายออกไปแล้วก็ตาม”

บางคราแม่นางเหลียนก็ไม่รู้ว่าจะต้องปฏิบัติตัวอย่างไรถึงจะถูกใจแม่เฒ่าจู

“หากย้ายออกไปแล้ว เราก็จะไม่ได้ยินเสียงสาปแช่งอีกต่อไป” หยุนเชวี่ยพลิกตัวกลับก่อนเอามือปิดหู