ยอดหมอหญิงมหัศจรรย์ บทที่ 42

ทันใดนั้นเอง เขาก็ลืมตาขึ้นมาด้วยสายตาที่ดุดันอีกครั้ง ดวงตาแดงก่ำ มือหนึ่งจิกไปที่คอของจื่ออาน ใบหน้าอำมหิตอย่างหาผู้ใดเทียบไม่ได้ พลางพูดอย่างดุร้ายว่า “เซี่ยจื่ออาน?”

ผ่านไปไม่นาน เขาก็ค่อย ๆ ปล่อยมือออกจากคอของจื่ออาน ตอนที่เขาจิกคอเธออยู่นั้น เธอก็รีบใช้เข็มกับเขาทันที

พอหัวเขาเริ่มเอียงลง ก็ค่อย ๆ ซบลงบนไหล่ของจื่ออาน เขาไม่ได้สลบไป แต่เขาดูเหนื่อยและอ่อนแรงมาก

“รีบไปพยุงท่านอ๋องขึ้นมา!” จากที่ฮองเฮาเป็นห่วงมาก สุดท้ายก็เบาใจลงครึ่งหนึ่ง จึงรีบสั่งให้คนเข้าไปทันที

นางข้าหลวงพยุงจักรพรรดิเหลียงมานอนบนเตียง หลังจากที่จักรพรรดิเหลียงสงบลงแล้ว เขาแสดงออกว่าดูเจ็บปวดมาก การหายใจก็ดูลำบากยิ่งกว่าก่อนที่เขาจะล้มลงไป

มือสองข้างของเขาป้องหัวไว้ กระแทกอย่างไร้เรี่ยวแรง ครั้งแล้วครั้งเล่า เมื่อเวลาที่เขาขยับตัว การหายใจดูเพิ่มความลำบากเข้าไปอีก

“ยังยืนงงอยู่ทำอะไร? รีบเข้าไปดูอาการองค์จักรพรรดิเหลียง” หวงไท่โฮ่วเร่งรัดหมอหลวงด้วยความโมโห

หยวนพ่านรีบพาหมอหลวงเข้าไปดูอาการทันที ช่วงเวลาที่เกิดขึ้นรวดเร็วนี้ ทำให้หยวนพ่านและหมอหลวงทำอะไรไม่ถูก โดยเฉพาะผีตนนั้น

หลังจากที่ตรวจเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็ไม่พบปัญหาใด ๆ เพราะอะไรจักรพรรดิเหลียงอยู่ ๆ ถึงได้คลุ้มคลั่งขึ้นมาแบบนั้น ตื่นตระหนกหวาดกลัวราวกับเห็นผี และอีกอย่างตอนนั้นพระองค์ก็หายใจคล่องมาก มีกำลังเยอะอย่างเทียบไม่ได้ ดูไม่เหมือนก่อนหน้านี้ที่ดูป่วยกระสับกระส่ายและหายใจลำบากเลยสักนิด

ในใจของพวกเขาคิดว่าองค์จักรพรรดิเหลียงไม่ใช่คนที่ป่วยง่ายแบบนี้ และอีกอย่างที่สำคัญไทเฮายังบอกให้เชิญนักบวชมาอีกด้วยเมื่อครู่ ทำไมจักรพรรดิเหลียงถึงได้มีอาการลมชักได้? แล้วยังแสดงอาการซ้ำแล้วซ้ำเล่าอีก

นอกจากนี้ องค์จักรพรรดิเหลียงยังแสดงออกว่าดูเจ็บปวดมาก ตอนนี้กลับดูตาลอย สีหน้าซีดเผือดอย่างเป็นกังวล หายใจเปิดปากกว้าง ขึ้น ๆ ลง ๆ เหมือนกับลักษณะของคนที่เจอผีจริง ๆ

ดังนั้นหนึ่งในหมอหลวงจึงพูดอย่างสั่น ๆ ว่า “ทูลหวงไท่โฮ่ว หรือว่าเราเชิญนักบวชมาดูสักหน่อยเถอะ พะยะค่ะ”

“เหลวไหล!” ฮองเฮาโกรธขึ้นมาทันที แต่ในความโกรธนั้น กลับพบสายตาที่สับสนและว้าวุ่นเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ

ท่าทางของฮองเฮา ทำให้หวงไท่โฮ่วและกุ้ยไท่เฟยเหล่มองค้อนอย่างขุ่นเคือง

และมู่หรงเจี๋ยก็พูดกับจื่ออานว่า “ทำไมอ๋องเหลียงถึงเกิดอาการแบบนี้ขึ้นมาได้?”

ฮองเฮาเองก็จ้องเขม็งไปที่เธอ รู้สึกกระวนกระวายใจเล็กน้อย ใบหน้าดูแตกตื่น นางพูดออกไปอย่างดุดัน ทั้งที่จริง ๆ ในใจหวาดหวั่น “เจ้าอย่าได้พูดจาเหลวไหล สรุปว่าอาการของจักรพรรดิเหลียงเป็นอย่างไร?”

นางเน้นย้ำแต่คำว่า ‘อาการ’ สองคำนี้ ราวกับกลัวว่าจะได้ยินคำว่า ‘เจอผี’ สองคำนี้ออกมาจากปากจื่ออาน

จื่ออานตอบกลับ “หากให้หม่อมฉันตอบคำถามของฮองเฮา ก็เหมือนที่หม่อมฉันพูดไปเมื่อครู่ เป็นผลสืบเนื่องหลังจากที่ฝ่าบาทเกิดอาการลมชัก อย่างแรกจะเกิดภาวะนอนหลับในเวลาที่มากจนเกินไป หลังจากตื่นมาจะมีอาการปวดหัว ปวดท้องและอาการอื่น ๆ อีกมากมายตามมา ส่วนที่คลุ้มคลั่งเมื่อครู่ เพราะมีบางครั้งที่คนเราจะคลุ้มคลั่งหรือเกิดภาพหลอน บวกกับสมองขององค์จักรพรรดิเหลียงที่ขาดออกซิเจน จนทำให้พระองค์เห็นภาพหลอน สิ่งน่าหวาดกลัวที่พระองค์ได้เห็นเมื่อครู่ ก็คือภาพหลอนทั้งหมด ไม่ใช่เพราะเจอผี เพียงแค่ต้องได้รับการรักษา ไม่จำเป็นต้องเชิญนักบวชมาเพคะ”

สีหน้าของฮองเฮาค่อย ๆ เบาใจลง “เจ้าจะบอกว่า ทั้งหมดนี่เกิดจากอาการป่วยอย่างนั้นหรือ?”

“เพคะ ก่อนหน้านี้องค์จักรพรรดิเหลียงขาดออกซิเจนไปมาก บวกกับที่คลุ้มคลั่งเมื่อครู่ จึงยิ่งไปกระตุ้นให้เกิดภาวะการขาดออกซิเจนมากขึ้น ดังนั้นจึงเกิดภาพหลอนเพคะ”

หยวนพ่านตอกกลับ “ไม่ใช่ ก่อนหน้านี้เจ้าบอกข้าว่าการขาดออกซิเจนทำให้หายใจลำบาก แต่เมื่อครู่ที่องค์จักรพรรดิเหลียงคลุ้มคลั่ง ไม่มีภาวะหายใจลำบากเกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย”

ตอนนี้หยวนพ่านไม่กล้าที่จะเห็นด้วยกับเธอแล้วอีกแล้ว ที่นี่องค์ชายผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ไม่ได้เป็นใหญ่แล้ว หวงไท่โฮ่วมาแล้ว ทุกสิ่งต้องทำไปตามคำสั่งของพระองค์

จื่ออานพูดอย่างห้วน ๆ “ที่เป็นอยู่นี่มันอันตราย คนเวลาคลุ้มคลั่งหรือเกิดภาพหลอน เส้นประสาทของในตัวของตนเองจะชา ทำให้พวกเขาไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดหรือความไม่สบายตัวในร่างกาย ในระหว่างกระบวนการนี้ หากไม่ได้เข้าควบคุมทันที มีโอกาสเสียชีวิตฉับพลัน”

“บังอาจ!” หวงไท่โฮ่วตะโกนด่าอย่างดุดัน “ต่อหน้าอัยเจียเช่นข้า เจ้าบังอาจพูดจาหยาบคายที่เป็นลางร้ายอย่างนั้นรึ?”

จื่ออานสับสนอยู่พักหนึ่ง เธอไม่ค่อยเข้าใจข้อห้ามของราชวงศ์นี้เท่าไหร่ เธอรีบลงไปคุกเข่าทันที “หวงไท่โฮ่วเพคะ อภัยให้หม่อมฉันด้วย หม่อมฉันปากพล่อยเองเพคะ”