ตอนที่ 117-4 ทับทิมรักษาบาดแผล ความรักหยั่งลึกในยามค่ำคืน

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

ขณะนี้ไม่ได้ขี่ม้า ไม่จำเป็นต้องกันหนาวอะไร อวิ๋นหว่านชิ่นจึงไม่ได้ไปหยิบมา

 

 

องค์ชายสามขมวดคิ้วมุ่น นางสวมเสื้อของเฉินจ้าว ทว่าไม่สวมของตน นี่มันหมายความว่าอย่างไรกัน เขาพลันรู้สึกว่าบาดแผลคล้ายเชื่อมกับบาดแผลก็ไม่ปาน เจ็บแปลบขึ้นมา

 

 

ความสัมพันธ์ระหว่างเฉินจ้าวกับอวิ๋นหว่านชิ่นใกล้ชิดกันถึงเพียงนี้ เขาดูออกตั้งแต่งานเลี้ยงสกุลมู่หรงในครานั้นแล้ว

 

 

เมื่อเข้าป่าล่าสัตว์ในครั้งนี้ เฉินจ้าวเชิญนางร่วมเดินทางมาด้วยตัวเอง เขาก็ยิ่งสงสัย แม้เฉินจ้าวจะไม่ได้พูด แต่หากไม่ใช่เพราะนาง แล้วจะเป็นเพราะเหตุใดได้เล่า

 

 

ตอนนี้ยิ่งแล้วใหญ่ นางเรียกเขาว่าพี่ใหญ่! คำเรียกพี่ชายน้องสาวอะไรกัน ชวนคลื่นไส้เสียจริง!

 

 

เพียงคิดเท่านี้ บาดแผลก็ยิ่งปวดแสบปวดร้อนขึ้นมา

 

 

“ข้าเคยได้ยินเพียงว่าเจ้ามีน้องชาย พ่อเจ้ามีพี่ใหญ่ให้เจ้าตั้งแต่เมื่อไหร่กัน” เขาเอ่ยถามเสียงเย็น

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นหัวเราะอย่างอดไม่ได้ ทว่าอีกฝ่ายกลับทำหน้าง้ำงอ ขณะใส่ยาทำแผลยังไม่ทำหน้าเช่นนี้เลยด้วยซ้ำ

 

 

เหงื่อเย็นๆ ไหลลงมาตามปอยผมบริเวณโครงหน้าหล่อเหลา นางจึงรีบถาม “ฉินอ๋องเป็นอะไรไปเล่า เมื่อครู่ยังไม่เจ็บเลย ตอนนี้รู้สึกเจ็บขึ้นมาแล้วหรือเพคะ”

 

 

ครั้นเห็นเขาไม่พูดจา ทั้งยังก้มหน้าลงให้เห็นแต่หน้าผากเพื่อปิดบังหน้า อวิ๋นหว่านชิ่นก็รู้สึกว่าผิดปกติ นางกลัวแต่ว่าแผลของเขาจะปริขึ้นมาจริงๆ จึงอยากตรวจดูสักหน่อย ก่อนจะใช้สองมือยันพื้น แล้วเข้าไปใกล้ “องค์ชายสามแยกขาให้ข้าดูหน่อย”

 

 

เดิมทีเขารู้สึกไม่สบายตัวยิ่งนัก บัดนี้ได้ยินนางกล่าว สันจมูกสูงโด่งพลันขยับเล็กน้อย พวงแก้มของเขาแดงระเรื่อ แยกขาอย่างนั้นหรือ?

 

 

“แยกขาเพคะ ข้าจะได้ดูบาดแผลได้สะดวก ข้าอยากดูว่ายาหยุดเลือดซึมออกมาหรือไม่” อวิ๋นหว่านชิ่นย้ำเป็นครั้งแรก

 

 

ซย่าโหวซื่อถิงหลุบตาลง ก่อนจะค่อยๆ แยกขาออก

 

 

ตำแหน่งของบาดแผลนี้ช่างน่าอายนัก เมื่อครู่ตอนหยุดเลือดมีหมอหลวงอิงอยู่ด้วย จึงไม่เป็นไร ทว่าบัดนี้ในรถม้าไม่มีใครแล้ว อวิ๋นหว่านชิ่นเพิ่งรู้สึกว่าไม่เหมาะสม จึงหลับตาลง หมอไม่ควรใส่ใจเรื่องเพศชายหญิง เมื่อรักษาเด็กหนุ่มที่ถูกงูกัดในสกุลเกาครั้งนั้น นางยังเคยใช้คำพูดนี้สั่งสอนเขา เหตุใดตอนนี้นางถึงจำไม่ได้เล่า

 

 

นางออกแรงกดลงตรงข้างบาดแผลของเขาอย่างเบามือ นั่นเป็นจุดชีพจรที่นางเรียนมาจากวิชาแพทย์และบันทึกที่เหยากวงเย่ามอบให้ ซึ่งพอจะคลายเส้นเอ็นได้ ทั้งยังผ่อนการไหลเวียนเลือดได้อีกด้วย นางก้มหน้าลงมองผ้าพันแผลสีขาวสะอาด ไม่มีรอยเลือดออกมาแล้ว เด็กสาววางใจลงได้บ้าง ทว่าเขายังคงขมวดคิ้วเป็นปม หรือว่าจะยังเจ็บอยู่?

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นถามอย่างอดไม่ได้ว่า “หากองค์ชายสามเจ็บก็ร้องออกมาเถิดเพคะ ไม่ต้องอดกลั้น กลัวเจ็บเป็นเรื่องปกติของคนทั่วไป หากแต่ไม่มีปฏิกิริยาใดต่อความเจ็บปวด เกรงว่าจะไม่ใช่คน…”

 

 

เด็กสาวยังพูดครึ่งประโยคสุดท้ายไม่จบ ความเงียบวนเวียนอยู่ในรถม้า ไอร้อนสายหนึ่งพุ่งเข้าใส่อวิ๋นหว่านชิ่น ชายหนุ่มรั้งนางเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดของเขาจากด้านหลัง อวิ๋นหว่านชิ่นตกใจจนต้องเงยหน้าขึ้น ต้องมองใบหน้าเหมือนจะยิ้ม แต่ก็ไม่ได้ยิ้มของเขา ภายใต้แสงจันทร์เรืองรอง แม้ปากของเขาจะซีดขาว เปลือกตาบวมเป่งเพราะขาดเลือดอยู่บ้าง แต่กลับยิ่งทำให้เขาดูหล่อเหลาดุจเทพเซียน ที่สำคัญยิ่งกว่านั้น บุรุษผู้นี้มีเรี่ยวแรงเต็มเปี่ยม พละกำลังไม่ได้ลดลงเพราะอาการบาดเจ็บที่ขาเลยสักนิด…เรื่องที่ควรจะทำ เขาก็ทำได้

 

 

“ท่านไม่เป็นอะไรสักหน่อย!” อวิ๋นหว่านชิ่นทุบหน้าอกของเขาครั้งหนึ่ง

 

 

“จะไม่เป็นไรได้อย่างไร บนขาของข้ามีรูเบ้อเริ่มถึงเพียงนั้น เจ้าก็เห็นเองกับตา ข้าจะแกล้งทำได้อย่างไรกัน” ชายหนุ่มไม่คิดปล่อยนางออกไปสักนิด เขากดท้ายทอยของนางลง ก่อนจะก้มหน้าลงตาม

 

 

…ครั้งนี้ริมฝีปากและจมูกของทั้งสองคนแทบจะไม่มีระยะห่างระหว่างกัน ความอ่อนโยนชัดเจนอันหอมหวนของชายหนุ่ม ลอยวนอยู่คู่กับกลิ่นกายบริสุทธิ์เป็นธรรมชาติของนาง ยามนี้รถม้ากำลังมุ่งไปข้างหน้าอยู่บนทางที่ไม่ราบเรียบ ทำให้ผิวหนังของทั้งคู่เสียดสีกันอยู่ตลอด

 

 

ด้านในรถม้าเต็มไปด้วยความอาลัยรัก ภายใต้ท้องฟ้ายามค่ำคืนนี้

 

 

นางขี่ม้าห้อตะบึงมาในเวลากลางคืน เพื่อมาดูเขาด้วยตนเอง ผิดจากท่าทางและนิสัยของนางในยามปกติโดยสิ้นเชิง

 

 

มีแต่ฟ้าเท่านั้นที่รู้ว่าวินาทีที่เขาได้ยินเสียงของนาง และได้เห็นนาง เขาไม่อยากจะเชื่อเพียงใด และดีใจเพียงใด!

 

 

ภายใต้ความน่าลุ่มหลงของแสงจันทร์ในป่าเขา ซย่าโหวซื่อถิงโน้มตัวไปข้างหน้า พลางคว้าเอวของนางไว้ ไม่ให้นางขยับไปไหน ริมฝีปากสีแดงระเรื่อ เงางาม และอิ่มเอิบอยู่ใต้จมูกของเขาเท่านั้น ริมฝีปากด้านบนของนางทำมุมหยักเล็กๆ พอจะทำให้ชายหนุ่มเลือดสูบฉีดได้เลยทีเดียว

 

 

“ท่านสืบพบนานแล้วใช่หรือไม่ ว่าบุรุษในอดีตของแม่ข้าเป็นใคร” อวิ๋นหว่านชิ่นถามเสียงเรียบ

 

 

องค์ชายสามกลับไม่ตอบ

 

 

เขาสืบพบนานแล้วดังคาด เหตุผลที่เขาไม่บอกนาง เพราะเขารู้ว่าฮ่องเต้ยังอาลัยรักมารดาของนางอยู่อย่างนั้นหรือ? เขากลัวว่าตนเองจะทำให้นางเดือดร้อนต่างหาก!

 

 

เขารู้อยู่แก่ใจดี ว่าวันนี้ฮ่องเต้เรียกนางไปเข้าเฝ้าจริงๆ นี่ทำให้เขาโมโหจนยากจะใจเย็นได้ จึงรีบจับหมีดำตัวนั้นตลอดคืนจนถึงเช้า เพื่อจะได้รีบกลับมา!

 

 

ในใจของอวิ๋นหว่านชิ่นพลันวูบไหว ดังนั้นเขาบาดเจ็บเพราะนางอย่างนั้นหรือ?

 

 

ชายหนุ่มเห็นนางเหม่อลอย ทำให้เขาเหมือนจะห้ามตัวเองไว้ไม่อยู่ เขาโน้มใบหน้าลง พยายามจะสัมผัสริมฝีปากของคนตรงหน้า ทว่าริมฝีปากอวบอิ่มกลับดีดตัวอย่างแรง ก่อนจะหดตัวกลับทันทีที่สัมผัสกับเขา

 

 

ดวงตาที่เต็มไปด้วยความปรารถนาฉายแววดุดันอย่างหาได้ยาก แรงขับเคลื่อนจากความรักที่เกิดขึ้นในทันที ทำให้เขาครอบครองและกลืนกินริมฝีของนางอย่างสุดกำลัง ฝ่ามือหนาเลื่อนลงด้านล่าง ประคองสะโพกของหญิงสาวเอาไว้ ให้นางแนบชิดกับหน้าอกของเขาอยากเต็มที่ ส่งผลให้ทั้งคู่ตัวติดกันอย่างไร้ช่องว่าง

 

 

หญิงสาวที่อยู่ในอกดิ้นรนอยู่ช่วงสั้นๆ ทำให้ฝ่ามือของชายหนุ่มรู้สึกยินดีนัก

 

 

เมื่อฟันด้านหน้าเปิดออก อวิ๋นหว่านชิ่นรู้สึกเพียงข้อเท้าของนางเปียกชื้นอยู่บ้าง แย่แล้ว นางรีบกระโดดตัวโยน เป็นไปตามคาด ผ้าพันแผลสีขาวมีเลือดซึมออกมาแล้ว

 

 

ด้วยเพราะตื่นเต้นจนเกินไป ทำให้บาดแผลปริออกแล้ว

 

 

ครั้งนี้นางไม่กล้ารออีกแม้สักนิด อวิ๋นหว่านชิ่นดันเขาออก แล้วกระเถิบตัวไปนั่งอยู่ไกลๆ ครั้นเห็นสีหน้าน่าสงสารของเขา นางกลับกล่าวอย่างเย็นชาว่า “หากองค์ชายสามไม่อยากเสียขา ก็ว่าง่ายๆ หน่อยเถิดเพคะ”

 

 

ซย่าโหวซื่อถิงทำได้เพียงเป็นเด็กดีตลอดกทารางเดินทางที่เหลือ

 

 

 

 

เมื่อกลับถึงลานล่าสัตว์ฮู่หลง ท้องฟ้ายังคงมืดสนิท

 

 

ขณะใกล้ถึงลานล่าสัตว์ ซย่าโหวซื่อถิงปล่อยอวิ๋นหว่านชิ่นลงจากรถก่อน จะได้ไม่มีใครเห็นเข้า

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นลงจากรถ ย้อนกลับไปทางเดิม เข้าไปในกลุ่มกระโจมจากรั้วด้านหลังที่เฉินจื่อหลิงพานางออกมา เพื่อหลบเลี่ยงทหารองครักษ์ที่กำลังลาดตระเวน ครั้นกลับไปถึงกระโจมของตนเอง เจิ้งหัวชิวอำพรางทุกอย่างอย่างดี ไม่มีคนรอบข้างสังเกตเห็น เหมือนกับว่านางกลับมาจากกระโจมของเฉินจื่อหลิง ชำระล้างร่างกายและหวีผมเสร็จ ก็ขึ้นเตียงนอนหลับไป

 

 

วันต่อมา เมื่อฟ้าสว่าง อวิ๋นหว่านชิ่นหยัดกายลุกขึ้น หลังจากรับประทานอาหารเช้าร่วมกับเฉาหนิงเอ๋อร์และหานเซียงเซียงแล้ว พวกนางก็รอการจัดการเดินทางของวันนี้อยู่ในกระโจม รอจนรู้สึกว่าง จึงจับกลุ่มพูดคุยกัน เฉาหนิงเอ๋อร์กล่าวขึ้นว่า “ดูท่าทางวันนี้คุณหนูอวิ๋นก็ยังต้องร่วมเดินทางไปลานล่าสัตว์นะ”

 

 

“ไม่หรอก” แม้หานเซียงเซียงจะกล่าวด้วยเสียงอ่อนโยน ทว่าในน้ำเสียงกลับเจือด้วยความอิจฉา “แม่นางเมี่ยวเอ๋อร์ถูกรับตัวไปที่กระโจมหลวงแล้ว เหล่าชนชั้นสูงยิ่งต้องให้ความสำคัญกับสกุลอวิ๋น”

 

 

ขณะนั้นเอง เจิ้งหัวชิวก็เปิดม่านเข้ามาอย่างปิติยินดี “คุณหนูทุกท่าน ฝ่าบาทรับสั่งมาว่า ให้บุตรีทุกคนไปที่ลานล่าสัตว์ ด้วยเพราะจะประทานรางวัลให้ทุกคน ทั้งยังมีเรื่องน่ายินดีด้วยเจ้าค่ะ!”

 

 

“เรื่องน่ายินดีอะไรหรือ” หานเซียงเซียงได้ยินว่าวันนี้ไปที่ลานล่าสัตว์ได้ นางก็ดีใจจนออกนอกหน้า

 

 

เจิ้งหัวชิวยิ้มพลางกล่าว “ฉินอ๋อง องค์ชายสามกลับมาเมื่อคืนวาน พระองค์จับหมีดำตัวนั้นได้แล้วเจ้าค่ะ! บัดนี้เหล่าขุนนางและเชื้อพระวงศ์ล้วนอยู่ที่ลานล่าสัตว์ ฮ่องเต้พอพระทัยยิ่งนัก เตรียมมอบรางวัลให้องค์ชายสามแล้วเจ้าค่ะ!”