ตอนที่ 118-1 ประทานรางวัลเป็นการอภิเษก

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

ด้านนอกกระโจมบริเวณลานล่าสัตว์

 

 

เท้าทั้งสี่ข้างของหมีดำถูกมัดรวมกันชี้ขึ้นฟ้า นอนแอ้งแม้งอยู่บนที่ว่าง

 

 

เชื้อพระวงศ์และเหล่าขุนนางที่ร่วมเดินทางมาด้วยต่างกำลังถกเถียงอยู่ข้างๆ ด้วยความตื่นเต้น พร้อมทั้งชื่นชมอยู่ไกลๆ อย่างไรเสียมันก็เป็นสัตว์ป่าที่อาศัยอยู่นอกลานล่าสัตว์ฮู่หลงในหลายปีมานี้ อีกทั้งสองวันก่อนมันยังทำให้เสนาบดีใหญ่ตายไปอีกต่างหาก

 

 

การจะจับสัตว์ป่าตัวนี้ยากยิ่งกว่าในอดีต ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการจับมันมาเป็นๆ นั่นเป็นความยากยิ่งกว่า

 

 

คิดไม่ถึงว่าฉินอ๋องจะไม่เป็นเรื่องใหญ่ กลับลงมืออย่างรุนแรงยิ่งนัก! เห็นทีว่าพระองค์จะเตรียมตัวมานานแล้ว!

 

 

เตรียมตัวมานานแล้วอย่างนั้นหรือ?

 

 

เมื่อคิดเช่นนี้ ในใจของหลายคนก็คาดเดาไปต่างๆ นาๆ ปกติแล้วฉินอ๋องจะไม่ออกจากจวนหากไม่มีเหตุ ไม่ใส่ใจเรื่องรางวัลหรือเกียรติยศ ครั้งนี้กลับล่าสัตว์อย่างผิดวิสัย หรือว่า…อาศัยการล่าสัตว์เพื่อแสดงฝีมือ?

 

 

ภายนอกกระโจมเต็มไปด้วยเสียงหารืออย่างอึกทึก เหยาฝูโซ่วเงยหน้ามองดวงตะวัน ก่อนจะออกมากล่าวพร้อมรอยยิ้ม “เวลาไม่คอยท่า ทางห้องเครื่องกำลังจัดเตรียมอาหารป่าสำหรับมื้อกลางวัน ทั้งยังจัดเตรียมโต๊ะไว้เรียบร้อยแล้ว เชิญทุกท่านนั่งลงก่อน อีกเดี๋ยวจะได้รับประทานอาหารร่วมกันขอรับ”

 

 

หลายคนโค้งตัวอย่างพร้อมเพรียง เพื่อขอบพระทัยอันกว้างใหญ่ของฮ่องเต้ แล้วจึงไปนั่งที่

 

 

วันนี้อากาศดี จึงจัดงานเลี้ยงนี้ขึ้นกลางแจ้ง ตรงหน้าคือตำแหน่งของหนิงซีฮ่องเต้ บัลลังก์ไม้แดงสลักเลื่อมทอง ส่วนบัลลังก์ไม้สาลี่ข้างๆ เป็นตำแหน่งของเจี่ยงฮองเฮาและเหวยกุ้ยเฟย

 

 

แขกชายหญิงด้านล่างถูกแยกออกจากกัน กั้นด้วยระยะทางประมาณหนึ่ง ก่อนจะให้ทหารดึงม่านบางๆ มาบดบังอีกชั้น

 

 

เหล่าชายหนุ่มชนชั้นสูงเพิ่งนั่งลง ส่วนเหล่าบุตรีก็แต่งองค์ทรงเครื่องมาเต็มที่เช่นกัน แต่ละคนพาสาวใช้มาด้วย ช่วยเพิ่มความสดชื่นให้กับลานล่าสัตว์อันแห้งแล้งได้หลายส่วน หญิงสาวแต่ละคนกลิ่นกายหอมหวน อ่อนหวานงดงาม ทำให้ในอากาศมีกลิ่นหอมจากแป้งอบอวล

 

 

พวกนางทยออยนั่งลงด้านหลังม่านบางๆ ภายใต้การนำทางของเหล่าทหาร

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นรองานเลี้ยงเริ่มไปพลาง พูดคุยกับเฉาหนิงเอ๋อร์และหานเซียงเซียงที่อยู่ด้านซ้ายขวาไปพลาง ทว่าพูดไปได้เพียงสองประโยค ความสนใจของนางกลับไปอยู่ที่ตัวหมีดำที่อยู่กลางงานแล้ว

 

 

เมื่อคืนอวิ๋นหว่านชิ่นได้เห็นหมีดำแล้ว ได้เห็นอีกในตอนนี้จึงไม่รู้สึกแปลกใจ เฉาหนิงเอ๋อร์และหานเซียงเซียงกลับมองไปไกล ทั้งยังไม่กะพริบตา ตื่นเต้นจนพูดไม่ออก ฝ่านหานเซียงเซียงอ้าปากเล็กน้อย หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลง “พ่อของข้าเคยล่าสัตว์อยู่บ้าง แต่กลับไม่เคยจับสัตว์ป่าดุร้ายเช่นนี้ได้เลย จับสัตว์ตัวใหญ่เช่นนี้ได้ องค์ชายสามต้องมีวีธีและสติมากที่เดียว” นางถอนหายใจด้วยความประหลาดใจครั้งหนึ่ง แล้วกล่าวต่อ “ดูแล้วข้าไม่รู้เลย ว่าฮ่องเต้จะประทานรางวัลใดให้องค์ชายสาม!”

 

 

อ้อ จริงสิ รางวัล อวิ๋นหว่านชิ่นเกือบลืมเรื่องนี้ไปแล้ว หากไม่ใช่เพราะรางวัล นิสัยเช่นเขา คงคร้านที่จะออกมากระมัง

 

 

นางรู้อยู่แล้วว่าเขามีใจทะเยอทะยานอยู่บ้าง และไม่ใช่องค์ชายที่ยอมไร้ค่าในสายตาคนอื่น หรือการที่เขาร่วมเดินทางล่าสัตว์ในฤดูใบไม้ร่วงในครั้งนี้ ทั้งยังเสนอตัวจับหมีด้วยตนเอง ก็เป็นก้าวหนึ่งในการเพิ่มชื่อเสียงและยึดตำแหน่งรัชทายาทหรือ?

 

 

หากคิดดูให้ละเอียดแล้ว ก็นับว่าเป็นจริงดังนั้น เกาจวิ้นแห่งสกุลเกา รวมถึงวงศ์ตระกูลฝีมือดีทั้งสิบแปดที่เขาเก็บไว้ที่เมืองจิงเจียว…เขารวมรวบกลยุทธ์และอำนาจไว้นานแล้ว สถานการณ์ในตอนนี้นับว่าเป็นโอกาสอันดี เว่ยอ๋องที่ฝ่าบาทเอ็นดูเป็นที่สุดอยู่ในช่วงขาลง ออกจากจวนไม่ได้ ส่วนเยี่ยนอ๋องเป็นคนของเขา มีเพียงคนเดียวก็พอจะรับมือกับองค์รัชทายาทได้แล้ว

 

 

ระหว่างการล่าสัตว์ในฤดูใบไม้ร่วงนี้ เขาล่าหมีจนได้ซึ่งชื่อเสียง จะต้องทำให้หนิงซีฮ่องเต้และเหล่าขุนนางมองเขาใหม่อีกครั้ง รวมถึงให้ความสำคัญเขามากขึ้น เขาจะได้เลื่อนขั้นจากองค์ชายไร้ชื่อ สู่ราชสำนักได้อย่างราบรื่น ได้ทำงานราชการมากยิ่งขึ้น

 

 

ทั้งสามมีความคิดเป็นของตัวเอง ต่างพูดคุยกันอย่างออกรส จึงไม่ได้สนใจรอบข้างมากนัก

 

 

มีสายตามากมายมองมาที่อวิ๋นหว่านชิ่น ทั้งประหลาดใจ อิจฉา สงสาร และไม่พอใจ

 

 

เพราะเรื่องของเมี่ยวเอ๋อร์ พวกเขาจึงอยากรู้อยากเห็นยิ่งนัก ไม่นานก็มีเสียงเจื้อยแจ้วช่างพูดลอยมา

 

 

“…นั่นคือสาวใช้ของคุณหนูอวิ๋นล่ะ…”

 

 

“เป็นเพียงสาวใช้ธรรมดา ก็ยั่วยวนฮ่องเต้ได้แล้ว ถือเป็นโชคดีที่สะสมมาสิบชาติ ข้าว่าคุณหนูอวิ๋นต้องคับใจตายแล้วกระมัง”

 

 

“ไม่กระมัง คุณหนูอวิ๋นโชคดีไม่เท่าสาวใช้ หากชิวเหมยสาวใช้ของข้าได้ขึ้นเตียงของขุนนาง ข้ามหน้าข้ามตาข้าไป ข้าต้องตีนางจนตายแน่”

 

 

“คิกๆๆ จริงด้วย ทว่าข้าว่าคุณหนูอวิ๋นนางดีใจยิ่งนัก เหมือนไม่ได้ใส่ใจอย่างไรไม่รู้”

 

 

“เช่นนั้นทำอย่างไรดี เกิดเรื่องขึ้นไปแล้ว จะไปฉีกทึ้งสาวใช้คนนั้นได้อย่างไร นางกลับวังไปรับราชโองการ และได้รับเลือกเป็นสนมแล้วนะ! นางจะกล้าหรือ? อย่างไรนางก็ต้องกล้ำกลืนฝืนทน ไม่แน่ว่าวันหน้ายังต้องรับใช้สาวใช้คนเดิมของตัวเองอีก!”

 

 

ครั้นสิ้นเสียง ก็เรียกเสียงหัวเราะได้ระลอกหนึ่ง เสียงหัวเราะเต็มไปด้วยความรู้สึกยินดีกับความทุกข์ของผู้อื่น แม้กระทั่งถากถาง

 

 

สำหรับเรื่องที่สาวใช้สกุลอวิ๋นได้รับความโปรดปราน ในใจของบุตรีมากมายที่ร่วมเดินทางมาด้วยล้วนรู้สึกประหลาดใจเป็นอันดับแรก จากนั้นถึงมีความคิดเหยียดหยามบุตรสาวปัญญาชนสกุลอวิ๋น ในงานเลี้ยงสดับดนตรีครั้งก่อน อวิ๋นหว่านชิ่นได้เข้าวังครั้งแรกนับเป็นข่าวใหญ่ แล้วจะไม่ทำให้เหล่าคุณหนูที่เข้านอกออกในวังมานานอิจฉาได้อย่างไร บัดนี้ถึงแม้เจี่ยไทเฮาชมว่านางมีบุคลิกของนางบนสวรรค์ ก็ยังเทียบไม่ได้กับสาวใช้ วันหน้าไม่แน่ว่าพบสาวใช้ของตนแล้วยังต้องคุกเข่าทำความเคารพ ช่างน่าขันนัก!

 

 

แต่ละคนต่างก็สบายใจขึ้นมาก

 

 

เฉินจื่อหลิงนั่งอยู่ใกล้กับพวกนางพอดี จึงแขวะเสียงเบา “ตนเองใจแคบ เห็นเหล่าเชื้อพระวงศ์ก็อยากทะเยอทะยานเป็นบ้าง อย่าคิดว่าคนอื่นเป็นเหมือนพวกเจ้าสิ! ตนเองปีนขึ้นตำแหน่งสูงไม่ได้ ก็อย่านำความคิดสกปรกมาลงที่คนอื่น! แต่ละคนไม่รู้ข้อเท็จจริงอะไรทั้งนั้น เอาแต่อ้าปากพูดจามั่วซั่ว!”

 

 

คุณหนูหลายคนไม่พอใจ สตรีใบหน้าเรียวแหลมอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน สวมชุดผ้าไหมสีเขียว ปักปิ่นหินปะการังโมราอยู่ในมวยผม คุณหนูจากสกุลโหวถูกคำพูดของเฉินจื่อหลิงแทงใจดำพอดี นางพลันหน้าเปลี่ยนสี ก่อนจะยกมือตบโต๊ะครั้งหนึ่ง “เฉินจื่อหลัง ระวังปากของเจ้าหน่อย ทะเยอทะยานอะไรกัน ใครทะเยอทะยาน”

 

 

“ใครพูดจาลับหลังผู้อื่น ผู้นั้นแหละทะเยอทะยาน!” เฉินจื่อหลิงกอดอกโดยไม่เกรงกลัวสักนิด

 

 

“อะไรกัน ข้าพูดผิดหรืออย่างไร ข้าเห็นว่าพวกเจ้าสองคนเป็นเพื่อนสนิทกันไม่ใช่หรือ อย่างไรก็เป็นพวกเดียวกัน! คุณหนูอวิ๋นนั่นยังเทียบไม่ได้กับสาวใช้ข้างกายของตนเอง เจ้ายิ่งเทียบไม่ได้ ข้าว่าเจ้าคงจะต้องขึ้นคาน ทั้งชีวิตนี้คงไม่ได้ลิ้มรสบุรุษเพศ แต่งให้ใครไม่ได้ทั้งนั้น!” คุณหนูสกุลโหวถูกเอาใจจนเสียคน นางผุดลุกขึ้น กล่าวถากถางอย่างเยือกเย็น

 

 

เฉินจื่อหลิงไหนเลยจะถูกยั่วโมโหได้ง่ายๆ ครั้นเห็นคุณหนูสกุลโหวผู้นั้นจะนั่งลง นางก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง ยกขาขึ้นเตะเก้าอี้ของอีกฝ่ายจนล้มลง ขณะที่คุณหนูผู้นั้นกำลังจะนั่งลง ทำให้คุณหนูโหวต้องลงบนอากาศ ก่อนจะล้มก้นจ้ำเบ้าอย่างแรง

 

 

หญิงสาวหลายคนเห็นคุณหนูสกุลโหวล้มจนหมดรูป ก็ปิดปากหัวเราะอย่างอดไม่ได้ คุณหนูสกุลโหวทั้งเจ็บ ทั้งโมโห ทั้งอาย นางรู้ว่าเฉินจื่อหลิงเป็นหลานสาวท่านแม่ทัพ มีทั้งเวลาและอำนาจ นางคงจะอาชนะอีกฝ่ายไม่ได้ จึงทำได้เพียงกลอกตา ไม่ยอมให้ผู้ใดประคองตน “วันนี้ข้าไม่ยอมแน่ แต่ดูสตรีร้ายกาจชอบทำร้ายคนอื่นเช่นเจ้า ข้าว่าอย่างไรก็แต่งออกไปไม่ได้แน่!”

 

 

“ขึ้นคานแล้วอย่างไร! มีกฎข้อใดบอกว่าสตรีที่ไม่ได้แต่งงานต้องถูกประณามกลางตลาดบ้าง ถึงข้าจะขึ้นคาน แต่ข้าก็ไม่อยากเป็นยายแก่ขึ้นคานที่เอาแต่นินทาลับหลังผู้อื่นทั้งวันหรอก!” เฉินจื่อหลิงเอียงคอ กอดอกพร้อมรอยยิ้ม ก่อนจะนั่งลงอีกครั้ง

 

 

“เจ้า…เจ้า…ดี!” คุณหนูสกุลโหวถูกต่อว่าอีกครั้ง จึงยิ่งโกรธเกรี้ยวจนหมดรูป นางหรี่ตา ย่นคิ้ว ก่อนจะกุมข้อเท้าเสแสร้งว่า “โอ๊ย เจ็บ เจ็บเหลือเกิน”

 

 

อีกด้านหนึ่ง หย่งเจียจวิ้นจู่นั่งอยู่ด้านหลัง มองทั้งสองคนหยั่งเชิงกันเหมือนละครลิง พลางยกถ้วยลายครามสีขาวขึ้นจิบชาอยู่ตลอด ทว่าไม่ได้กล่าวอะไร ปล่อยให้คุณหนูจากจวนโหวทำเรื่องเอะอะ

 

 

แม้จะมีผ้าม่านของงานเลี้ยงกั้นไว้ แต่เสียงพูดจาของคุณหนูจวนโหวและเฉินจื่อหลิงก็ยังคงดังอยู่ดี เหล่าบุรุษอีกด้านได้ยินเสียงเอะอะ จึงพากันชะโงกหน้าดู หลายคนอยากรู้อยากเห็น จึงส่งเด็กรับใช้ข้างกายไปสืบ

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นไม่ได้นั่งร่วมโต๊ะกับเฉินจื่อหลิง แต่เมื่อได้ยินเสียงโวยวายจากคุณหนูจวนโหว นางจึงทอดสายตามองไปบ้าง ครั้นเข้าใจเรื่องราวคร่าวๆ แล้ว นางถึงเดินไปดู