ตอนที่ 118-2 ประทานรางวัลเป็นการอภิเษก

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

เฉินจื่อหลิงกำลังจะลุกขึ้น เมื่อเห็นนางเข้ามา ทว่าอวิ๋นหว่านชิ่นกลับบอกให้นางนั่งลง และเดินตรงไปถึงข้างๆ คุณหนูจวนโหว “โอ้ คุณหนูสกุลโหวล้มหรือ เหตุใดถึงไม่มีคนเข้ามาประคองเลยสักคนเล่า เหลวใหลนัก! เหล่าสาวใช้ไม่รู้หรือว่าควรทำอย่างไร!”

 

 

คุณหนูจวนโหวเห็นผู้ช่วยของเฉินจื่อหลิงมาแล้ว ขวางสาวใช้ไว้อีกครั้ง “ข้าลุกไม่ขึ้น เจ็บ!” นางสาบานว่าวันนี้จะต้องเอาเรื่องเฉินจื่อหลิงและอวิ๋นหว่านชิ่นให้ถึงที่สุด ไม่ว่าอย่างไรวันนี้นางก็ต้องทำให้เฉินจื่อหลิงเสียหน้าให้ได้

 

 

“เจ็บตรงไหนหรือ เจ็บมากหรือไม่” อวิ๋นหว่านชิ่นก้มหน้าลงกวาดสายตามอง ฟังจากน้ำเสียงแล้วดูเป็นห่วงอย่างยิ่ง

 

 

“แน่นอนอยู่แล้ว!” คุณหนูโหวส่งเสียงฮึ่มฮั่มในลำคอ พลางถลึงตามองอวิ๋นหว่านชิ่น ทั้งยังกลอกตาขาวใส่เฉินจื่อหลิง วันนี้นางไม่ยอมแน่ ไม่ว่าอย่างไรก็จะไม่เอ่ยคำขอโทษต่อหน้าทุกคน! นางจะไม่ยอมเสียเปรียบ!

 

 

“ลุกไม่ขึ้น” อวิ๋นหว่านชิ่นเปลี่ยนน้ำเสียง ก่อนจะหยัดตัวยืนตรง สะบัดชายเสื้อ แล้วหมุนตัวไปมองซย่าโหวถิง องค์หญิงฉางเล่อที่นั่งอยู่ด้านข้าง กล่าวเสียงเบาว่า “องค์หญิงรีบเชิญทหารมาเถิดเพคะ ให้ส่งคุณหนูสกุลโหวกลับไปพักที่กระโจมก่อน หากล้มจนบาดเจ็บขึ้นจริงๆ อย่างนั้นคงไม่ดีแน่ ฝ่าบาทก็คงไม่พอพระทัย”

 

 

สถานการณ์ฝั่งบุตรีเปลี่ยนไป ซย่าโหวถิงเป็นผู้มีสิทธิ์มีเสียงมากที่สุด เมื่อครู่นางเห็นเฉินจื่อหลิงต่อล้อต่อเถียงกับคุณหนูจวนโหวแล้วเช่นกัน พวกนางเอะอะโวยวายยิ่งนัก หากว่ากันตามเหตุผล นางควรจะโน้มน้าวให้ทั้งคู่หยุด ทว่าเหล่าบุตรีเกิดกระทบกระทั่งกันก็นับเป็นเรื่องปกติ นางช่วยใครก็ไม่มีประโยชน์ มีแต่จะเสียเพราะยุ่งไม่เข้าเรื่อง จึงได้แต่อยู่เงียบๆ

 

 

คราวนี้ได้ยินอวิ๋นหว่านชิ่นพูดดังนั้น กลับเป็นจริงดังว่า ซย่าโหวถิงรีบชี้ไปที่คุณหนูจวนโหว “ทหาร รีบเข้ามาพานางกลับไป แล้วพาหมอหลวงไปตรวจดูนางหน่อย” นางกล่าวด้วยสีหน้าอ่อนโยน พร้อมกับท่าทางหญิงสูงศักดิ์ที่ใจกว้าง

 

 

คุณหนูจวนโหวได้ยินว่าจะถูกพาตัวกลับไปที่กระโจม นางพลันตะลึงงัน วันนี้ยากจะได้มาเข้าร่วมงานเลี้ยงที่มีเนื้อสัตว์ป่า อีกเดี๋ยวคาดว่าฝ่าบาทจะต้องให้รางวัลฉินอ๋องด้วยพระองค์เอง งานเลี้ยงจะต้องคึกคักอย่างยิ่ง ไม่แน่ว่าจะให้รางวัลทุกคนที่อยู่ในงานด้วย ตนเองอยู่ที่กระโจมคงจะพลาดอะไรไปหลายอย่าง เช่นนั้นต้องอึดอัดใจจนตายแน่ เมื่อคิดได้ดังนั้น คุณหนูจวนโหวก็ไม่แสร้งทำอีก นางจับแขนของสาวใช้ลุกขึ้น ในปากบ่นอยู่หลายคำ พลางถลึงตามองเฉินจื่อหลิง

 

 

ในขณะเดียวกัน บ่าวทางฝั่งหลังม่านบุรุษก็เข้ามาถามด้วยความสงสัย “เกิดอะไรขึ้นหรือ ได้ยินเสียงดังเอะอะ ดังมากทีเดียว”

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นโบกมือ สีหน้าจริงจัง “ไม่มีอะไร มีคุณหนูบางคนสะดุดล้มก็เท่านั้น องค์หญิงฉางเล่อจัดการเรียบร้อยแล้ว ไม่มีอะไรแล้วล่ะ” พวกบ่าวรู้เรื่องแล้วถึงหลับไป

 

 

เด็กสาวเดินไปตรงหน้าซย่าโหวถิง พลางผงกศีรษะ “หม่อมฉันทำเกินเลย องค์หญิงโปรดลงโทษด้วยเพคะ”

 

 

ซย่าโหวถิงเห็นอวิ๋นหว่านชิ่นช่วยตนจัดการทุกอย่างอย่างดี ทั้งยังเห็นแก่ชื่อเสียงของตน ช่วยตนสร้างชื่อ ไหนเลยจะตำหนินางได้ จึงหัวเราะพลางกล่าว “ลงโทษอะไรกัน กลับไปเถิด งานเลี้ยงจะเริ่มแล้ว”

 

 

หย่งเจียจวิ้นจู่เห็นอวิ๋นหว่านชิ่นมาหารอบหนึ่ง นางจัดการเรื่องราวทุกอย่างเสร็จสรรพ จะหาเรื่องนางก็ไม่ได้ จึงเลิกคิ้ว รู้สึกไม่พอใจ พลางลูบแหวนปะการังสีแดงในมือ ก่อนจะเอ่ยเสียงหวาน “คุณหนูอวิ๋นอย่าได้โมโหไปเลย บางคนก็เป็นเช่นนี้ เห็นคนอื่นดีกว่าไม่ได้ เป็นต้องอิจฉาตาร้อน ครั้นเห็นบ่าวของเจ้าได้กระโดดข้ามประตูมังกร ก็ต้องไม่พอใจเป็นธรรมดา จึงมายั่วยุเจ้าเช่นนี้”

 

 

ในเมื่อจวิ้นจู่พูด อวิ๋นหว่านชิ่นก็จำต้องพูดตอบ เมื่อครู่นางนั่งอยู่ใกล้ๆ ไม่ได้พูดอะไร ปล่อยให้คุณหนูจวนโหวเหยียบย่ำเฉินจื่อหลิงและตนเอง คราวนี้นับเป็นการกระทำอันเชื่องช้า นางจึงตอบเสียงเรียบ “จวิ้นจู่ใจกว้างนัก”

 

 

หย่งเจียจวิ้นจู่จับมือของนาง แล้วเขยิบเข้าใกล้อีกหลายชุ่น ก่อนจะกระซิบพร้อมรอยยิ้มที่ข้างหูของนาง “ข้ากับท่านพี่ฉินอ๋องสนิทสนมกันมาก ทั้งท่านพี่ฉินอ๋องกับเจ้าก็นับเป็นคนคุ้นเคย ข้าต้องช่วยเจ้าแน่อยู่แล้ว โอ้จริงสิ” เมื่อพูดถึงตรงนี้ นางก็ยิ้มขึ้นมา หว่างคิ้วปรากฏความไม่สบายใจ และกดเสียงให้เบาลง นางทอดถอนใจ “พูดขึ้นมาแล้ว ท่านพี่ฉินอ๋องได้รับบาดเจ็บขณะล่าสัตว์ด้วย แม้บาดแผลจะไม่ใหญ่มาก แต่ก็ทำให้ข้าเป็นกังวลจริงๆ ทำเอาข้ากลัวจนต้องไปดูเขาที่กระโจมในคืนนั้น ทันทีที่ท่านพี่ฉินอ๋องเห็นข้า เขาก็ตะลึงลาน ดีใจจนทำอะไรไม่ถูก คุณหนูอวิ๋นทราบหรือไม่ ท่านพี่ฉินอ๋องออกมารับข้าด้านนอกกระโจมด้วยตนเอง ทั้งยังให้คนส่งสัตว์ที่ล่ากลับมาได้ให้กับข้าด้วย สัตว์หลายตัวนั้นล้ำค่ายิ่งนัก แม้แต่เสด็จพ่อเขายังไม่ให้เลย ฮ่าๆ เฮ้อ เสด็จพี่สามเป็นเช่นนี้เสมอ ขอเพียงข้าชอบ เขาล้วนมอบให้ข้า”

 

 

พูดถึงแต่ท่านพี่ฉินอ๋อง ฟังแล้วเหตุใดเหมือนมีบางอย่างทิ่มแทงตรงหน้าอกกัน หากเป็นนิสัยชาติก่อน อย่าว่าแต่หนามยอกอกเลย ถึงแม้หนักใจเหมือนมีก้อนหินถ่วงไว้ นางคงจะอดกลั้นไว้ ทว่าไม่รู้เพราะเหตุใดชาตินี้ถึงได้มีนิสัยชอบดึงหนามออกจากอก สีหน้าของอวิ๋นหว่านชิ่นเรียบเฉย นางจ้องหย่งเจียจวิ้นจู่เขม็ง ปากอมยิ้มเยือกเย็นและเสียดาย

 

 

“ฉินอ๋องเห็นจวิ้นตู่แล้วดีใจหรือไม่หม่อมฉันไม่รู้ ทว่าเห็นจวิ้นจู่ไปหากลางดึกเช่นนั้น หม่อมฉันเชื่อว่าฉินอ๋องต้อง ‘ตะลึงลาน’บุรุษและสตรี ถึงแม้มีข้อจำกัดเรื่องพี่น้องในตระกูล หากมีใครเห็นเข้าคงจะเป็นที่กังขา…ส่วนที่เขามอบของป่าให้จวิ้นจู่ ก็เพราะอยากเชิญให้จวิ้นจู่กลับไปโดยเร็วกระมัง”

 

 

เมื่อได้รับคำกล่าวถากถางย้อนกลับ หย่งเจียจวิ้นจู่ถึงกับพูดไม่ออก ก่อนจะเห็นหญิงสาวที่อายุไล่เลี่ยกับตนเข้ามากระซิบที่ข้างหู ทั้งยังถอนหายใจยืดยาว อีกฝ่ายยิ้มยิงฟันขาว สายตาที่มองนางเหมือนกับที่มองเด็กไม่เอาไหน แล้วกล่าวเจือความขบขัน

 

 

“อีกอย่างนะเพคะ…ฉินอ๋องบาดเจ็บที่ขา เกรงว่าสองสามวันนี้คงจะเดินไม่ได้ หม่อมฉินคิดว่าเขาน่าจะ ‘ออกมาข้างนอกกระโจมด้วยตนเอง’…เพื่อรับจวิ้นจู่ไม่ได้”

 

 

คำพูดนี้ไม่ไว้หน้าโดยสิ้นเชิง อวิ๋นหว่านชิ่นหมุนตัวอย่างแผ่วเบา กลับไปยังที่นั่งของตนเอง

 

 

หย่งเจียจวิ้นจู่ถูกเปิดโปงคำลวง นางหน้าแดงเถือก แต่กลับทำได้เพียงกำผ้าเช็ดหน้า ร่างโงนเงนแทบจะนั่งไม่อยู่ อวิ๋นหว่านชิ่นรู้ว่าฉินอ๋องบาดเจ็บ แม้แต่บาดเจ็บที่ขาก็ยังรู้!

 

 

ฉินอ๋องเพิ่งจะกลับมาเมื่อวาน ทั้งยังเป็นเวลาดึกดื่นจึงไม่ได้บอกผู้ใด ยิ่งไม่ทันจะได้บอกใครว่าได้รับบาดเจ็บ เรื่องใหญ่เช่นนี้กลับบอกนางเป็นการส่วนตัวอย่างนั้นหรือ

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นรู้ก่อนนางเสียอีก!

 

 

นางวุ่นวายเหมือนตัวตลกอยู่ตั้งนาน ส่วนอีกฝ่ายคงจะหัวเราะเยาะอยู่ในใจแล้วกระมัง!

 

 

หย่งเจียจวิ้นจู่มีสีหน้าเครียดเกร็ง นางกำผ้าเช็ดหน้าในมือแน่นยิ่งขึ้น หน้าแดงจนเหมือนกับท้องหมูที่ยังไม่ได้ขึ้นโต๊ะงานเลี้ยง

 

 

 

 

ขณะเดียวกัน ในงานเลี้ยง หนิงซีฮ่องเต้กำลังสอบถามเรื่องราวการล่าสัตว์ในป่าอย่างละเอียด

 

 

ซย่าโหวซื่อถิงบอกให้ซือเหยาอันรายงานให้ฮ่องเต้ฟังอย่างไม่ตกหล่น ส่วนตนเองนั่งอยู่บนตั่งหนังเสือเบื้องล่าง คอยกล่าวเสริมอยู่บ้าง

 

 

ซือเหยาอันเล่าได้อย่างออกรส รวดเร็วทว่าไหลลื่น

 

 

เมื่อหนิงซีฮ่องเต้ฟังถึงตอนที่เคร่งเครียด ก็พลันเหงื่อตก หัวใจเต้นเร็ว ทั้งยังหัวเราะว่า “ทีแรกฉินอ๋องหล่าวว่าจะไปล่าหมีเอง ข้ายังไม่แน่ใจอยู่บ้าง กลัวว่าเจ้าจะทำหลาด เดิมทีข้าไม่อยากรับปาก ทว่าคิดไม่ถึงว่ายังไม่ถึงสองวัน เจ้าก็นำสัตว์ป่าตัวนั้นกลับมาได้แล้ว ความสำเร็จในครั้งนี้ ข้าต้องมอบรางวัลให้อย่างงาม ก่อนออกเดินทางเจ้าพูดถึงสิ่งที่อยากได้ไว้แล้ว และข้าบอกให้เด็กๆ กลับไปนำมาจากเมืองหลวงแล้ว…”

 

 

ซือเหยาอันแอบขยับริมฝีปาก เดิมทีไม่อยากรับปากอย่างนั้นหรือ? ตอนนั้นท่านรับปากเร็วยิ่งนัก!

 

 

ฝ่าบาทเคยเห็นห่วงองค์ชายสามจากใจจริง หมีดำร้ายกาจนัก ทั้งเพิ่งกัดคนตายไป ทำให้คนอื่นหวาดหวั่นใจ คนที่เดินผ่านไปมาไม่กล้าจัดการ ทำเอาฝ่าบาทเสียหน้าอยู่บ้าง ครั้นองค์ชายสามขอ ฮ่องเต้ก็รับปากในทันที ไม่แม้แต่จะกล่าวคำว่าเกรงใจ แล้วไหนเลยจะเป็นห่วงองค์ชายเล่า?

 

 

“ขอบพระทัยฝ่าบาท” ชายหนุ่มที่อบู่บนตั่งหนังสือสอดส่องสายตา ก่อนจะวางแขนยาวทั้งสองข้างไว้บนที่รองแขนผ้าไหมอย่างเชื่องข้า “เรื่องรางวัล หม่อฉันไม่รีบร้อนหรอกพะยะค่ะ”

 

 

หนิงซีฮ่องเต้รู้ ว่าองค์ชายสามผู้นี้ไม่สนใจในยศตำแหน่ง เพราะฐานะของเขามีความแตกต่างทางสายเลือด เพื่อไม่ให้คนอื่นกล่าวนินทา เขาจึงให้องค์ชายไปทำเรื่องของเผ่าอื่น ซึ่งองค์ชายก็ไม่ได้กล่าวว่าอะไร ครั้งนี้ออกไปล่าหมี หากเป็นองค์ชายคนอื่น คงจะโวยวายรีบกลับมาขอรางวัล ทว่าองค์ชายสามกลับมีสีหน้าเรียบเฉย นิสัยของเขาแปลกนัก

 

 

ดังนั้น หนิงซีฮ่องเต้จึงยิ้มว่า “ดี ไว้ค่อยว่ากัน”