ทันใดนั้น เหยาฝูโซ่วเปิดผ้าม่านเข้ามา หลังจากโค้งคำนับแล้วก็รายงานว่า “ฝ่าบาท เหล่าขุนนาง เชื้อพระวงศ์ และเหล่าสาวงามที่ติดตามมาทุกคนล้วนนั่งที่นั่งหมดแล้ว ทางฝ่ายเสบียงก็นำหมีมาแล้ว กำลังทยอยนำอาหารป่าออกมาอย่างต่อเนื่อง เหลือเพียงฝ่าบาทออกไปพะยะค่ะ”
หนิงซีฮ่องเต้นั่งอยู่ข้างหลังโต๊ะ เขาพยักหน้า แล้วมองไปที่องค์ชายที่อยู่ทางซ้าย “เจ้ายังเจ็บขาอบู่ คงไม่สะดวกออกไปกับข้ากระมัง”
“หม่อมฉันเดินได้อยู่พะยะค่ะ ผ่อนฝีเท้าสักหน่อยก็ใช้ได้ ไม่เป็นไร” ซย่าโหวซื่อถิงยืนขึ้นแล้ว ก่อนจะรับไม้เท้าทำจากไม้แดงที่ทหารนำมาให้ใช้ชั่วคราว
เยี่ยนหวังอี้ประคององค์ชายสามด้วยตนเอง “หม่อมฉันจะดูแลองค์ชายสามเอง ฝ่าบาทวางใจได้”
เมื่อพวกเขาเดินออกจากระโจม ทุกคนภายนอกก็ลุกขึ้นอย่างพร้อมเพรียง หลังจากกล่าวสรรเสริญองค์ฮ่องเต้แล้ว ถึงจะกลับไปนั่งลงอีกครั้ง
ฉินอ๋องบาดเจ็บที่ขา เขาได้รับพระกรุณาจากฝ่าบาท ไม่จำเป็นต้องทำความเคารพ ที่นั่งของเขาคือเก้าอี้ตัวโตลายแมฆ ทำจากไม้แดงฝั่งตรงข้ามกับเจี่ยงฮองเฮา
อวิ๋นหว่านชิ่นไม่รู้ว่าบาดแผลบนขาของเขาดีขึ้นบ้างหรือยัง จึงมองไปทางเขาอย่างอดไม่ได้
ดวงตาของชายหนุ่มสดใสและทรงเสน่ห์ เครื่องหน้าสูงส่งหาใดเปรียบอยู่บนใบหน้าของเขา บัดนี้เขาเงียบกริบไม่พูดจา วันนี้เขาสวมเสื้อขนสัตว์ทอจากขนพังพอนสีม่วง ข้างเก้าอี้มีไม้เท้าทำจากไม้แดงช่วยเขาเดินเหินได้สะดวกชั่วคราว
นางกำลังจะถอนสายตากลับ ทันทีที่ละสายตาออก ยังไม่ทันจะหันกลับไป นางมองเห็นใครอีกคนพอดี อีกฝ่ายนั่งอยู่เหนือฉินอ๋องไม่ไกล เป็นบุรุษที่สูงศํกดิ์ในใต้หล้า ครั้นเห็นเขาจ้องตนเองไม่วางตา นางก็รับถอนสายตากลับไป
ซย่าโหวซื่อถิงมองเห็นทุกอย่างอย่างเงียบๆ สายตาของคนผู้นั้นซับซ้อนนัก ทั้งหลงใหล อาลัยหา และไม่อาจตัดใจ
ฉินอ๋องขขมวดคิ้ว พลางหยิบหูแก้วสุราขึ้นจิบเบาๆ ในใจยิ่งยืนกราน
“องค์ชายสาม” เวลาที่ฉินอ๋องมาร่วมงานเลี้ยง เบื้องหน้าของเขาจะมีสุราแค่แก้วเดียว ทว่าเขาไม่เคยแตะต้องมันเลย ครั้งนี้ซือเหยาอันเห็นเขาจิบสุราเข้าไป จึงรู้สึกประหลาดใจนัก
บัดนี้อาหารจานหลักหลายจานถูกยกออกมาโดยเด็กรับใช้และพ่อครัว นำมาวางไว้บนโต๊ะจานแล้วจานเล่า
อาหารป่าส่งกลิ่นหอมไปทั่วทั้งผืนฟ้า โชยกลิ่นไปไกลหลายลี้ ไม่นานก็มีองครักษ์นำแกะ กวาง และหมูป่าย่างทั้งตัวมาวางไว้บนกองไฟตรงกลางด้วย พ่อครัวนำน้ำมันมาทาบนของป่าบนกองไฟ จนพวกมันเงาวับ เปล่งประกาย ผิวหนังภายนอกชุ่มชื้น จากนั้นก็ใช้มีดขนาดหั่นออกมาเป็นชิ้นๆ แล้ววางลงในจานเคลือบที่เหล่าสาวใช้ส่งมาให้ คู่กับเครื่องจิ้มหลากรส ก่อนจะส่งให้ฝ่าบาทและเหล่าชนชั้นสูงในงานได้รับประทาน
เมื่อรับประทานกันไปได้ครึ่งหนึ่ง ทุกคนก็หน้าแดงระเรื่อ ผนวกกับฤทธิ์สุรา จึงยิ่งเมามายได้ง่าย สนุกสานยิ่งนัก
ท่ามกลางบรรยากาศครึกครื้น เหยาฝูโซ่วยกแก้วหยกขาวเก้ามังกรให้ฮ่องเต้ตามกฎ ก่อนจะถอยออกไปหลายก้าว “วันนี้ฉินอ๋องทำความสำเร็จใหญ่หลวง นำสัตว์ป่ากลับมาได้ ช่วยให้ชาวบ้านพ้นจากความหวาดกลัว นับว่าจัดการเรื่องยากแทนเหล่าขุนนาง ช่างกล้าหาญชาญชัยเสียจริง!”
“ฝ่าบาททรงปราดเปรื่อง! ฉินอ๋องทรงกล้าหาญ!” ทุกคนวางตะเกียบงาช้างลง ก่อนจะยกแก้วสุราขึ้นกล่าวตอบ
“ฝ่าบาททรงพระปรีชา เลี้ยงดูองค์ชายที่มีความสามารถเช่นฉินอ๋องได้” มีเชื้อพระวงศ์บางคนปากหวาน
หนิงซีฮ่องเต้เห็นเด็กสาวสกุลอวิ๋นหลบสายตาของตน เดิมทีไม่มีอารมณ์จะพูดนัก ทว่าได้ยินคำพูดนี้แล้ว ใบหน้ากษัตริย์กลับยิ้มแย้มขึ้น “ดี! ดี! ข้าเห็นความสำเร็จอย่างชัดเจน ในเมื่อทำได้สำเร็จ และไม่เคยขอรางวัลเลยสักครั้ง ข้าจะทำเหมือนในอดีต ตบรางวัลให้อย่างงาม! เหยาฝูโซ่ว…”
เหยาฝูโซ่วร้องรับ แล้วกล่าวเสียงดัง “เด็กๆ!”
องครักษ์ในชุดสีเหลืองสามคน แต่ละคนหอบหิ้วสิ่งของคลุมผ้าสีเหลืองเดินเข้ามา ของทั้งสามสิ่งมีทั้งสูงทั้งกว้าง ทว่าหนักเหมือนกันทั้งหมด
ทุกคนล้วนกลั้นหายใจ ครั้นเห็นเหยาฝูโซ่วใช้พู่ทยอยเปิดผ้าทั้งสามผืนขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ป่าทองคำ ทะเลหยก แก้วสีชาด ของมีค่าทั้งสามปรากฏต่อสายตาทุกคน
ครั้นทุกคนจับจ้องดูให้ดี ก็ต้องทอดถอนใจ ก่อนจะหันหน้าไปกระซิบกระซาบกัน นี่คือ ‘ทองหยกแก้ว’ อันโด่งดัง!
นี่เป็นของอัญมณีอันมีค่าอย่างยิ่ง หนึ่งชุดมีสามชิ้น พวกมันมีประวัติศาสตร์ยาวนานยิ่ง ว่ากันว่าสืบทอดกันมาตั้งแต่ราชวงศ์ในสมับโบราณ ช่างฝีมือก็เป็นช่างมีชื่อสเยงในสมัยโบราณ อัญมณีเหล่านี้ตกทอดมาหลายพันปี จากสามัญชนสู่รางวงศ์ เพื่อแก่งแย่งกันก่อให้เกิดสงครามเล็กๆ ต่อมาจักรพรรดิของหลายราชวงศ์ได้มาไว้ในครอบครอง ทว่ายากจะครอบครองทั้งสามชิ้นในเวลาเดียวกัน จนมาถึงราชวงศ์และชนชั้นสูงในยุดหลัง ราชวงศ์ถึงได้ทั้งสามชิ้นมาไว้ในครอบครอง และเก็บไว้ในกองคลังตั้งแต่นั้นมา
หากพิจารณาตามความหมาย ป่าทองเป็นเครื่องประดับทองที่ทำเลียนแบบต้นไม้ มูลค่าทองทั้งหมดสูงค่ายิ่งนัก มันมีขนาดหนึ่งตาราง ล้วนเป็นป่าทองอย่างหนาแน่น แต้ละต้นทำจากทองคำแท้ ใบไม้แต่ละใบก็เป็นใบไม้ที่ทำจากทอง เพียงแค่มองปราดเดียวก็อาจทำให้ตาลายได้แล้ว ส่วนทะเลหยกมีขนาดเท่ากับป่าทองคำ สลักหยกออกมาเป็นรูปร่างของทะเลที่เต็มไปด้วยคลื่น และสำหรับแก้วสีชาดก็เป็นสถูปที่แกะสลักจากอัญมณีสีชาดอันมีชื่อเสียง สูงและกว้างเท่ากับเด็กชายอายุสิบปีเต็ม ละเอียดจนถึงขั้นกระดิ่งลงบนยอดสถูปก็สลักมาจากอัญมณีสีชาด เมื่อลมพัดผ่านจะส่งเสียงดังก๊องแก๊ง สวยงามน่าฟัง ทั้งยังทำให้คนต้องชื่นชม
สิ่งล้ำค่าสามชิ้นนี้ไม่เพียงมีราคาสูงลิบลิ่ว มูลค่าก็ยากจะประมาณได้ และเพราะมีค่ามากเกินไป จักรพรรดิในประวัติศาสตร์จึงเก็บงำไว้ ด้วยกลัวว่าพวกมันจะสูญหายไปอีก ตั้งแต่รุ่นบรรพุบุรุษ เก็บเป็นความลับระหว่างจักรพรรดิรุ่นสู่รุ่น ทำให้มีใครบางคนปิติจนอดไม่อยู่ “ยินดีกับฉินอ๋อง ยินดีกับฉินอ๋อง!”
ของมีค่าเช่นนี้ ได้รับชิ้นเดียวก็พอจะทำให้ดีใจจนเป็นบ้าได้แล้ว ว่ากันว่าในอดีตมีพ่อค้าได้มาครอบครองชิ้นหนึ่ง ทำให้เขาเจริญรุ่งเรือง เมื่อมีใครมาหาถึงบ้านก็ต้องมองมันอยู่หลายครั้ง และมีคนต่อแถวขอเข้าชมนับไม่ถ้วน
ซย่าโหวซื่อถิงสั่งซือเหยาอันให้รับรางวัลมา ก่อนจะลูบคลำทะเลมรกตอย่างช้าๆ พร้อมทั้งยิ้มจาง “ของมีค่าเช่นนี้ หม่อมฉันได้รับแล้วรู้สึกเสียดายอยู่บ้าง ปกติอยู่จวนอ๋อง ข้าไม่มีนิสัยเก็บสะสมของมีค่า กลัวว่าจะทำให้ของเหล่านี้หมดค่าเสีย และทำให้ความสูงค่าของมันมัวหมอง”
หนิงซีฮ่องเต้คิดว่าองค์ชายพูดด้วยความเกรงใจ จึงไม่ได้คิดมาก ก่อนจะเห็นฉินอ๋องผินหน้ามองลงไปยังที่นั่งด้านล่าง มองไปยังคนผู้หนึ่ง แล้วพูดเล่นว่า “…ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ข้าจะมอบของมีค่าที่เพิ่งได้รับมา ให้เสนาบดีอวิ๋นจัดการ”
อะไรนะ?!
ทุกคนล้วนตะลึงงัน ฟังผิดไปกระมัง?
หนิงซีฮ่องเต้หน้าเปลี่ยนสี ด้วยคิดไม่ถึงโดยสิ้นเชิง ว่าในพริบตาเดียว องค์ชายสามจะเปลี่ยนมือมอบรางวัลให้ผู้อื่น! ทว่าในเมื่อฝ่าบาทมอบของสามสิ่งให้ไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นคนให้หรือคนรับ ก็ล้วนเป็นการตัดสินใจของฉินอ๋อง จะพูดขัดตอนนี้คงจะไม่ได้
ทว่ามอบให้กับอวิ๋นเสวียนฉ่าง นี่หมายความว่าอย่างไร
อวิ๋นเสวียนฉั่งไม่ได้ติดตามไปล่าสัตว์ด้วย คนจากสกุลอวิ๋นมีเพียงอวิ๋นหว่านชิ่นกับน้องชาย ทว่าคุณชายสกุลอวิ๋นยังอายุน้อย ไม่ค่อยรู้แระสานัก คงจะดูแลอะไรไม่ได้
นั่นเท่ากับมอบให้อวิ๋นหว่านชิ่นไม่ใช่หรือ?
หลายคนส่งเสียงดังอื้ออึง สายตาจับจ้องไปทางโต๊ะของเหล่ราสตรี มองคุณหนูสกุลอวิ๋นป็นตาเดียว
สีหน้าของคุณหนูกลุ่มที่กล่าวว่าอวิ๋นหว่านชิ่นเทียบกับสาวใช้ไม่ได้ล้วนแตกต่างกันไปในทันที ทั้งยังรู้สึกสับสนอย่างยิ่ง มีเพียงสีหน้าเดียวที่เหมือนกัน ก็คืออิจฉาริษยา และเคียดแค้น
หย่งเจียจวิ้นจู่ยิ่งแค้นเป็นเท่าทวี นางหยิกต้นขาตนเองใต้โต๊ะครั้งหนึ่ง ถึงจะพอทำให้ตนเองใจเย็นลงได้แล้ว ก่อนจะเข้าใจพร้อมๆ กับคนอื่น ว่าพี่ชายตนมอบของมีค่าให้อวิ๋นหว่านชิ่นนั้นหมายความว่าอย่างไร!
องค์ชายคนหนึ่งมอบของมีค่าให้บุตรสาวเสนาบดีคนหนึ่ง นั่นหมายความว่าเขาให้ความสำคัญนางอย่างยิ่ง หากใช้คำพูดโบราณ ก็พูดได้ว่าเป็นการสารภาพรักต่อหน้าธารกำนัล อาศัยโอกาสนี้บอกรักอย่างเป็นทางการ เพียงแต่คนโบราณทำเรื่องเช่นนี้ด้วยความนุ่มนวลเสมอ! ทว่าของมีค่าเหล่านี้หมุนเวียนอยู่ภายในราชสำนัก ไม่อาจมอบให้คนภายนอก…
หนิงซีฮ่องเต้ไหนเลยจะทนเห็นบุตรชายไม่รักดี ปล่อยให้ของมีค่าหลายชั่วอายุคนออกนอกราชวงศ์ไปได้
นี่เป็นการบอกเป็นนัยๆ ต่อหน้าทุกคน ว่าฮ่องเต้พระราชทานอภิเษกเขากับอวิ๋นหว่านชิ่น!
ประทานสมรสแล้ว ต่อด้วยการอภิเษกสมรส ของมีค่าถึงจะหวนกลับคืนสู่รางวงศ์!
เฮ้อ…ไม่ต้องพูดก็รู้ ของมีค่าเหล่านี้ต้องเป็นสิ่งที่องค์ชายสามคิดไว้ดีแล้วเป็นแน่!
องค์ชายสามผู้นี้ ไม่เคยทำเรื่องที่ตนเองไม่มั่นใจ และครั้งนี้เขาล้อเล่นกับฮ่องเต้เสียแล้ว!
ไม่ ไม่ใช่การบอกเป็นนัยๆ เป็นการบีบบังคับต่างหาก!