เล่มที่ 9 บทที่ 245 ช่วงเวลาแห่งความเป็นความตาย

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ

ภายนอก พิธีการดำเนินไปอย่างต่อเนื่องโดยมีไท่จื่อเป็นผู้ทำพิธีนำเหล่าองค์ชาย

ส่วนนางที่เป็นพระชายาทำได้เพียงยืนรวมกลุ่มอยู่กับพระญาติสนิทเพื่อมองดูองค์ชายทำการขอพร

ในท้องพระโรง องค์ชายทั้งห้ายืนเรียงแถวตามตำแหน่งและไหว้ขอพรพร้อมกัน

หลินเมิ้งหยากวาดสายตามองหาหลงเทียนอวี้

เขาแตกต่างจากไท่จื่อ หลงเทียนอวี้สวมชุดพิธีการสีดำสนิทปักลวดลายมังกรสี่กรงเล็บ

ภายใต้แสงอาทิตย์ เขาเหยียดกายยืนตรง ทุกการเคลื่อนไหวเผยให้เห็นความสง่างาม

เขาขอพรเพื่อความสงบสุขของต้าจิ้นด้วยความจริงใจ อีกทั้งยังทำความเคารพบรรพบุรุษของตนเองด้วยความจริงใจอีกด้วย

เมื่อเทียบกับท่าทางโอ้อวดเกินงามของไท่จื่อ หลงเทียนอวี้จึงดูจริงใจกว่ามาก แต่คนที่ได้รับพรจากบรรพบุรุษอย่างไท่จื่อกลับคิดเพียงแค่ว่าจะปกป้องบัลลังก์ของตนเองเช่นไร

ตอนนี้งานพิธีในท้องพระโรงมาถึงขั้นตอนสุดท้ายแล้ว องค์ชายทั้งหมดต้องยิงธนู หนึ่งเพื่อความสงบสุขของต้าจิ้น สองเพื่อดูว่าองค์ชายเหล่านี้เติบโตขึ้นมาเป็นเช่นไร อันที่จริงนี่เป็นเพียงข้ออ้างในการประเมินความสามารถของเหล่าองค์ชายแต่เพียงเท่านั้น

ที่บ้านเมืองยังคงสงบสุขสืบมาเช่นนี้ มิใช่เพียงเพราะความฉลาดเฉลียวของฮ่องเต้ ความสามารถในการนำทัพเองก็เป็นอีกสิ่งที่ทำให้เหล่าอาณาจักรเพื่อนบ้านไม่กล้าเข้ามารุกราน

องค์ชายทั้งห้ายืนเรียงแถว ด้านนอกประตูมีเป้าสีแดงวางเอาไว้แล้ว

คนอื่นอาจจะไม่รู้ แต่หลินเมิ้งหยารู้จักวิทยายุทธ์ของหลงเทียนอวี้ดี แม้แต่ชิงหูยังไม่กล้าดูถูกความสามารถของเขา

ธนูถูกยกขึ้นแล้วเล็งเป้า อย่าว่าแต่หลินเมิ้งหยาเลย แม้แต่เหล่าพระญาติเองก็อดที่จะชื่นชมท่วงท่าสง่างามของพวกองค์ชายไม่ได้

“เพื่อความเจริญรุ่งเรืองของบ้านเมืองสืบไป องค์ชายได้โปรดแผลงศรเพื่อเป็นการขอพรจากบรรพบุรุษด้วยเถิด”

เสียงของผู้ดูแลดังขึ้น องค์ชายทั้งห้าจึงเล็งธนูไปทางเป้าหมายของตนเอง

“ฉึก” เสียงดังขึ้น ลูกธนูขององค์ชายทั้งห้าดีดตัวออกจากเชือกแล้วพุ่งผ่านอากาศไป

ตามปกติแล้ว ลูกศรจะต้องปักลงบนแป้นธนู แต่สิ่งที่ทุกคนคาดไม่ถึงก็คือตอนที่ลูกศรดอกสุดท้ายพุ่งทะยานออกไป อยู่ๆ องค์ชายห้าก็หมุนตัว เปลี่ยนทิศทางของลูกธนูไปยังผู้ชม

“กรี๊ด แม่จ๋า!”

เสียงแผดร้องดังขึ้น เหล่าพระญาติต่างกรีดร้องออกมาด้วยความหวาดกลัว

แต่คิดไม่ถึงเลยว่าลูกศรจะพุ่งไปทางคนผู้หนึ่ง

มีเพียงนางเท่านั้นที่ยืนอยู่ที่นั่นโดยไม่คิดหลบหัวลูกศรที่กำลังพุ่งเข้ามา

“ฉึก” เสียงดังขึ้น ลูกธนูแล่นเฉียดใบหน้าของนางไป ก่อนจะฝังลงบนเสาสีแดงลายมังกรที่อยู่ทางด้านหลัง

หางธนูยังคงสั่นกระเพื่อม ทว่าทุกคนกลับไม่กล้าแม้แต่จะสูดอากาศหายใจ

“องค์ชายห้าแผลงศรได้อย่างงดงาม แต่ดูเหมือนสายตาจะไม่ดี เหตุเพราะที่นี่หาใช่แป้นธนูไม่”

มือสีขาวราวกับหยกข้างหนึ่งเอื้อมไปดึงลูกธนูออกมา

ทุกคนคิดไม่ถึงเลยว่าหลินเมิ้งหยาที่ควรจะตกใจจนอกสั่นขวัญหายจะยังมีท่าทีสงบนิ่ง

สาวเท้าทีละก้าวเข้าไปยืนตรงหน้าองค์ชายห้าด้วยท่าทางสงบนิ่ง ก่อนจะยื่นลูกธนูให้แก่เขา

“ในเมื่อเป็นการยิงธนูเพื่อขอพรให้กับบ้านเมือง เช่นนั้นก็ไม่ควรยิงพลาด เชิญองค์ชายห้ายิงธนูไปยังที่ที่มันควรอยู่เถิด”

บรรยากาศพลันหม่นหมอง

ทุกคนคิดไม่ถึงเลยว่าหลินเมิ้งหยาจะเป็นคนใจกว้างถึงขนาดนำลูกธนูไปคืนให้องค์ชายห้าเช่นนี้

อยู่ๆ องค์ชายห้าก็เหยียดยิ้มเจ้าเล่ห์ หยิบลูกธนูจากมือหลินเมิ้งหยา ก่อนจะวาดคันธนูไปที่เป้าแล้วยิงไปที่ตำแหน่งตรงกลางแป้น….

ทั้งๆ ที่ดวงตาของเขายังคงจับจ้องหลินเมิ้งหยา

“พี่สาม ชายาของท่านอยู่นอกเหนือความคาดหมายของข้ามาก แต่ข้าได้ยินมาว่าคนที่ท่านชอบคือซูหลินหลางที่เจ็บป่วยออดๆ แอดๆ นั่นมิใช่หรือ? วันนี้เปลี่ยนรสชาติแล้วหรืออย่างไร?”

นับตั้งแต่หลงอิงฉู่ปล่อยลูกศรผิดตำแหน่ง หัวใจของหลงเทียนอวี้พลันเย็นเฉียบ

เหตุเพราะชาติกำเนิดสูงส่ง ดังนั้นองค์ชายห้าจึงมิเคยเหลือบแลพวกเขาอยู่ในสายตา มีเพียงไท่จื่อเท่านั้นที่เขาสร้างความสัมพันธ์อันดีด้วย

ยิ่งไปกว่านั้น ทุกครั้งที่องค์ชายห้าสร้างปัญหา เสด็จพ่อมักทำเพียงยกยิ้มไม่ยี่หระ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะกล้ายิงธนูใส่หลินเมิ้งหยาในงานพิธีเช่นนี้

มือหนากำคันธนูแน่นจนฝ่ามือกลายเป็นสีขาวซีด ปรายสายตาเย็นชาไปทางองค์ชายห้า ก่อนจะเอ่ยเสียงเคร่งขรึม

“หากนางได้รับบาดเจ็บ ข้าจะเอาชีวิตเจ้า”

เสียงเยียบเย็นดั่งน้ำแข็ง แม้แต่หลงชิงหานยังส่งสายตาไม่เป็นมิตรไปทางองค์ชายห้า

“ฮึ ขนาดเสด็จพ่อยังไม่เคยลงโทษข้า แล้วพวกเจ้าจะทำอะไรข้าได้ แต่ดูเหมือนชายาของเจ้าจะกล้าหาญไม่เลว น่าสนใจจริงเชียว”

บทสนทนาของพวกเขาตกอยู่ในสายตาของไท่จื่อ

ทว่าเขาทำเพียงชำเลืองมองด้วยสายตาเย็นชา ราวกับมิได้สนใจน้องชายทั้งสองเลยแม้แต่น้อย

หลินเมิ้งหยางดงามราวนางฟ้า เหล่านางบำเรอในจวนของเขามิอาจเทียบความงามของนางได้เลยแม้แต่น้อย แต่ถึงกระนั้นนางก็เป็นคนไม่รู้จักกาลเทศะ

หากเก็บนางเอาไว้ เกรงว่าเขาจะต้องตกที่นั่งลำบากอย่างแน่นอน

แต่เขารู้สึกคาดไม่ถึงที่องค์ชายห้ากล้าลงมือกับนางเช่นนี้

แค่นหัวเราะเสียงเย็นในใจ ดูเหมือนไอ้ขยะคนนี้จะคิดว่าเสด็จพ่อเอ็นดูเขาจริงๆ อย่างนั้นหรือ?

เสด็จพ่อก็แค่ไว้หน้าเพราะสกุลทางฝั่งมารดาของเขาเท่านั้น

เกรงว่าเขาคงจะไม่รู้ตัวเลยสินะว่าตนเองได้ทำการลบหลู่บรรพบุรุษเข้าให้แล้ว หรือว่าเขาไม่เห็นคิ้วที่กำลังขมวดเข้าหากันของญาติพี่น้อง?

ต่อให้สกุลของพระสนมกุ้ยเฟยจะอยากปกป้องเขา แต่ดูท่าจะเป็นเรื่องยากเสียแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นมารดาขององค์ชายห้าพระสนมเฉินกุ้ยเฟยได้จากไปตั้งแต่เมื่อสามปีก่อนแล้ว

วันนี้ไม่เหมือนกับเมื่อก่อน ไอ้ขยะนี่คงต้องตายอยู่ที่นี่แล้ว

ซ่อนรอยยิ้ม พยายามควบคุมกิริยาของตนเอง หลินเมิ้งหยาเดินกลับไปยังตำแหน่งคนดู

มีเพียงนางคนเดียวเท่านั้นที่รู้ว่าเหตุการณ์เมื่อครู่ทำให้เหงื่อของตนเองซึมออกมาทุกอณูรูขุมขน

ทันทีที่ได้เห็นหัวลูกศรพุ่งตรงเข้ามา มีใครบ้างที่ไม่กลัว?

แต่เพราะนางตกใจและหวาดกลัวมากเกินไป ดังนั้นร่างกายจึงมิอาจขยับเขยื้อนได้

ไอ้…….. อยากจะด่าสาดเสียเทเสียดูสักครา ระยะห่างระหว่างนางกับลูกธนูไม่ถึงคืบเลยด้วยซ้ำ

หากมิใช่เพราะตนเองเป็นคนดวงดี ป่านนี้ใบหน้าของนางคงเป็นรูพรุนไปแล้ว

ความโกรธเกรี้ยวพวยพุ่งขึ้นมาในหัวใจ หลินเมิ้งหยาไม่มีวันลืมหน้าองค์ชายห้าอย่างแน่นอน

ดี! องค์ชายห้าช่างอาจหาญชาญชัยยิ่งนัก!

หลินเมิ้งหยาคนนี้ขอสาบานว่าสักวันหนึ่ง นางจะทำให้องค์ชายห้าเจ็บปวดจนกลืนไม่เข้า คายไม่ออก!

ผู้ดูแลที่ตกใจกลัวจนขวัญหนีดีฝ่อรีบร้องประกาศลำดับพิธีการต่อไป

สวรรค์โปรด หากยังปล่อยให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ต่อไป แม้เขาจะมีสักแปดหัวก็คงถูกตัดจนหมด

ดังนั้นพระราชพิธีที่มีทั้งกลอุบายและการข่มขู่แอบแฝงจึงจบลงเช่นนี้

สาวใช้ทั้งสี่ที่รออยู่ในตำหนักทางด้านข้างล้วนร้อนใจเป็นอย่างยิ่ง

เหตุเพราะป๋ายจีเล่าเรื่องความลับของชุดพิธีการให้พวกนางฟังแล้ว

แต่โชคดีที่แม้หลินเมิ้งหยาจะตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่ลืมสาวใช้ของตนเอง

สั่งให้คนไปพาพวกนางมายังข้างเกี้ยว หลังจากได้ยินเสียงถกเถียงกันของคนข้างๆ สาวใช้ทั้งสี่จึงได้รู้ว่าหลินเมิ้งหยาเพิ่งผ่านเหตุการณ์ความเป็นความตายมา

ขากลับ วิวทิวทัศน์ยังคงงดงามดั่งเดิม ทว่าหลินเมิ้งหยารู้สึกเหมือนเพิ่งเดินผ่านประตูแห่งความตายมาหมาดๆ

ปกติงานเลี้ยงจะจัดติดต่อกันสามวัน

แต่เพราะฮ่องเต้ยังประชวรดังนั้นจึงจัดเพียงแค่วันเดียว

เหตุเพราะหลินเมิ้งหยาต้องตระเตรียมงาน นางจึงถูกพามาที่วัง ทันทีที่ไปถึงสวนสำหรับจัดงานเลี้ยง หลินเมิ้งหยาทรุดตัวลงบนเตียง ใบหน้านวลขาวซีด

ตกใจจนหัวใจเกือบวายตายไปแล้ว!

“นายหญิง รีบมาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเถิดเจ้าค่ะ เสื้อผ้าเปียกชื้นเช่นนั้นเกรงว่าจะหนาวเอาได้”

ป๋ายจีเป็นคนเอาใจใส่ เพียงสัมผัสกับแผ่นหลังของหลินเมิ้งหยาก็รู้ได้ทันทีว่าชุดของนางเปียกชื้น

“ได้ ได้”

นางเองก็อยากเปลี่ยนเช่นกัน นางควรจะอาบน้ำชำระล้างร่างกายเพื่อทำใจให้สงบ

ถอดชุดพิธีการออก ผลปรากฏว่าชุดสีขาวทางด้านในแนบติดกับร่างกายบอบบางของนาง

หย่อนตัวลงในอ่างน้ำอุ่น ก่อนจะเล่าเรื่องน่าตื่นตระหนกเมื่อครู่ให้เหล่าสาวใช้ฟัง

“จริงสิเจ้าคะนายหญิง ก่อนนั้นท่านบอกว่าชุดพิธีการมีเจ็ดสี แต่เพราะเหตุใดสุดท้ายแล้วจึงเหลือแค่เพียงหกสีเล่าเจ้าคะ?”

ป๋ายจื่อเอียงศีรษะ เอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ

หลินเมิ้งหยากลับยกยิ้ม ก่อนจะส่งสายตาชื่นชมไปทางป๋ายจี

“เรื่องนี้ต้องชื่นชมพี่ป๋ายจีของพวกเจ้าแล้วล่ะ ข้าเองก็เพิ่งรู้ว่าท่านแม่ป๋ายมีฝีมือการตัดเย็บสูงกว่าหญิงสาวชาววังจนถึงขั้นที่พวกนางต้องก้มหัวศิโรราบ เพราะเหตุนี้ชุดที่เจ้าทำให้ข้าจึงล้วนงดงามโดดเด่นยิ่งกว่าชุดของสาวชาววัง”

เมื่อได้เห็นสายตาชื่นชมของหลินเมิ้งหยา ป๋ายจีรู้สึกภาคภูมิใจแต่ก็อดที่จะเขินอายไม่ได้

ที่แท้วันนั้นหลินเมิ้งหยาก็กำชับป๋ายจีให้ไปเตรียมสีย้อมที่สามารถย้อมเส้นไหมได้

แต่คิดไม่ถึงเลยว่าหลังจากที่ท่านแม่ป๋ายรู้เรื่องนี้เข้า นางจะรีบมอบสีย้อมผ้าชนิดพิเศษที่ถูกสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่นให้กับป๋ายจี

แม้สีย้อมผ้าชนิดนี้จะไร้ซึ่งกลิ่นไร้สี แต่ผลลัพธ์กลับน่าอัศจรรย์

หากนำสีที่ต่างกันสองสีผสมเข้าด้วยกัน สีของเส้นไหมจะเปลี่ยนไปตามอุณหภูมิรอบข้าง

ป๋ายจีเลาะดวงตาของหงส์ออกก่อน จากนั้นใช้สีที่ผสมเสร็จแล้วปักเข้าไปในรูเดิม

ดังนั้นสีของตาหงส์จึงกลายเป็นสีดำ

แต่ถ้าหากตาของหงส์โดนอุณหภูมิจากเตารมควัน สีของมันจะกลายเป็นสีม่วงดังเดิม

ฉะนั้นผู้ดูแลและหยุนซือฝูจึงหาจุดบกพร่องไม่เจอ

หลังจากสาวใช้ทั้งสามฟังจบ ริมฝีปากของนางกลายเป็นรูปตัวโอโดยอัตโนมัติ

เพราะเหตุนี้ช่วงสองสามวันก่อนจึงไม่เห็นแม้แต่เงาของป๋ายจี

แต่ป๋ายจื่อที่ไม่ต่างอะไรจากเจ้าหนูจำไมกลับมีคำถามขึ้นมาอีก เหตุเพราะดอกโบตั๋นบนชุดของหลินเมิ้งหยากลับกลายเป็นดอกแปะเจียกไปเสียได้