“เอ๋? เหตุใดจึงเป็นดอกแปะเจียกเล่า? ข้าจำได้ว่าลายปักเป็นดอกโบตั๋นนี่นา!”
ป๋ายจื่อร้องออกมาด้วยความตกใจ ป๋ายซูและป๋ายซ่าวหันมาด้วยความสนใจในทันที สาวใช้ทั้งสองมองสำรวจอย่างละเอียดถี่ถ้วน
นั่นสิ นี่มันดอกแปะเจียก!
แต่วันนั้นพวกนางเห็นกับตาว่ามันคือดอกโบตั๋น!
“นี่ก็เป็นหนึ่งในความลับเช่นเดียวกัน เช่นนั้นให้พี่ป๋ายจีของพวกเจ้าอธิบายจะดีกว่า วันนี้ข้าต้องขอบคุณนางมาก มิเช่นนั้นคงเกิดเรื่องยุ่งยากตามมาอย่างแน่นอน”
สาวใช้ทั้งสามรีบพุ่งตัวเข้าไปล้อมป๋ายจีเพื่อให้นางอธิบายว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่
ป๋ายจีไม่อาจหนีจากวงล้อมของเด็กสาวทั้งสามได้ ดังนั้นจึงจำต้องพูดด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ
“นี่หาใช่เรื่องลำบากแต่อย่างใด ขอแค่นายหญิงไม่รังเกียจก็พอแล้วเจ้าค่ะ”
ป๋ายจื่อรีบกอดแขนของป๋ายจี ก่อนจะส่ายหน้าพลางเอ่ย
“พี่สาวของข้า ท่านบอกข้ามาเถิดว่าตกลงเรื่องราวเป็นเช่นไรกันแน่?”
ลวดลายดอกโบตั๋นบนชุดพิธีการคล้ายกับดอกแปะเจียกมาก ทว่าดอกไม้ทั้งสองนี้ต่างกันที่ปลายของกลีบดอก
แต่เพราะฝีมือการตัดเย็บของท่านแม่ป๋ายซึ่งถูกขนานนามว่าเซียนตัดเย็บได้ใช้ทักษะการเย็บด้ายด้วยเข็มอันเล็กๆ เท่าเส้นขนแทงลงไปจนเปลี่ยนลวดลายให้กลายเป็นดอกแปะเจียก แน่นอนว่าก่อนนั้นป๋ายจีได้เลาะขอบของกลีบออกก่อนแล้ว
หากอยู่ในสมัยปัจจุบัน คาดว่าจะต้องมีเครื่องจักรในการช่วยปักเย็บลวดลาย แต่ถึงกระนั้นก็จะยังสามารถมองเห็นข้อแตกต่างได้อยู่ดี
ส่วนในสมัยนี้ หากเพียงใช้สายตามองหรือใช้มือสัมผัสก็ยังมิอาจบ่งบอกความแตกต่างได้
ฉะนั้นหยุนซือฝูอาจเดาได้ว่าลวดลายที่เปลี่ยนไปเกิดจากฝีมือของพวกหลินเมิ้งหยา เพียงแค่นางไม่มีหลักฐาน
เซียนตัดเย็บ…ไม่มีอยู่บนโลกใบนี้อีกแล้ว นางจึงไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดแผนการของนางจึงล้มเหลว
“สวรรค์โปรด! ตอนนี้ข้ารู้แล้วว่าอะไรที่เรียกว่าพรสวรรค์จากพระเจ้า พี่ป๋ายจี ท่านทำให้พวกเราได้เห็นกับตา”
ป๋ายซ่าวซึ่งเป็นคนร่าเริงอยู่เสมอรู้สึกเลื่อมใสเป็นอย่างยิ่ง
ตอนนี้นางเข้าใจแล้วว่าเพราะเหตุใดนายหญิงจึงไม่สวมใส่ชุดที่ทางวังหลวงส่งมา แต่กลับสวมใส่เพียงชุดที่พี่ป๋ายจีตัดเย็บ
นั่นก็เพราะฝีมือของพี่ป๋ายจีดีกว่าพวกนางในในวังหลวงเสียอีก
“เอาล่ะ เอาล่ะ พวกเจ้าอย่ามัวชมข้าอยู่เลย อันที่จริงทั้งหมดนี้ล้วนเป็นการวางแผนในกระโจมของนายหญิงทั้งสิ้น ทันทีที่ท่านแม่ของข้ารู้ว่านายหญิงถูกชะตากับครอบครัวของพวกข้า ดังนั้นนางจึงมอบกายถวายชีวิตให้กับนายหญิง พวกเจ้าอย่าได้ชื่นชมข้าเลย ต่อจากนี้ไปพวกเจ้าต่างหากที่ต้องเหนื่อย ส่วนข้าไม่อาจทำสิ่งอื่นใดได้แล้ว ขอเพียงนายหญิงไม่รังเกียจข้าก็เพียงพอ”
ในหัวใจของป๋ายจี หลินเมิ้งหยาเปรียบเสมือนพี่น้อง
บางทีอาจเพราะชาติที่แล้วทำบุญมามากนางจึงมีเจ้านายจิตใจดีเช่นนี้
แค่เรื่องที่นายหญิงมอบร้านสามสหายให้พ่อกับแม่ของนางเป็นผู้ดูแล เท่านี้ท่านพ่อท่านแม่ก็สำนึกบุญคุณของนายหญิงจนมองนางเปรียบเสมือนเจ้าชีวิตของพวกเขาแล้ว
“ใช่แล้ว ป๋ายจีพูดถูก เรื่องช่วงกลางวันจบลงแล้ว ส่วนเรื่องตอนเย็นคงต้องลำบากกันสักหน่อย พวกเจ้าต้องคอยระวังตัวให้ดี การที่ข้าเอาตัวรอดจากเรื่องชุดพิธีการมาได้ นั่นเท่ากับว่าข้าทำให้ฮองเฮาไม่พอพระทัยเป็นอย่างมาก หากมองจากนิสัยของนางแล้ว นางไม่มีทางปล่อยข้าไปง่ายๆ อย่างแน่นอน พวกเจ้าจะต้องระมัดระวังทุกย่างก้าว เข้าใจหรือไม่?”
สาวใช้ทั้งสี่ที่ได้ยินคำพูดของหลินเมิ้งหยาต่างพากันพยักหน้ารับคำ
นายหญิงพูดถูก ฮองเฮาจะต้องรู้สึกทั้งโกรธและอับอาย คาดว่าในงานเลี้ยงฉลองฮองเฮาจะต้องหาทางกู้หน้ากลับคืนมาอย่างแน่นอน
“เจ้าค่ะ”
ในที่สุดหลินเมิ้งหยาก็กลับมาสงบนิ่งอีกครั้ง เหตุเพราะมีคนมากมายอยู่ข้างกายนาง ดังนั้นนางจึงรู้สึกคลายกังวล
งานเลี้ยงอวยพรในคราวนี้ยิ่งใหญ่กว่างานเลี้ยงอวยพรในคราวก่อนๆ มาก
เหล่าพระญาติที่อยู่ในเมืองหลวงต่างเดินทางมาเข้าร่วมงานเลี้ยงในวันนี้
เปลี่ยนชุดพิธีการ หลินเมิ้งหยาสวมใส่ชุดสีม่วงอ่อน ปกเสื้อทำจากขนแรคคูน ลวดลายบนชุดปักด้วยดิ้นทองลายดอกไม้
ชุดพิธีการของนางชุดนี้เป็นฝีมือของป๋ายจีและท่านแม่ป๋ายที่ใช้เวลาทำราวครึ่งเดือน เมื่อยืนอยู่ใต้แสงไฟ ชุดของนางจะเปล่งประกายเรืองรองจนทุกคนต้องเหลียวหลัง
สวมรองเท้าแล้วเยื้องย่างออกมายืนตรงหน้าทุกคน ใบหน้างดงามดั่งดอกฝูหรงประดับด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน ดวงตาเปล่งประกายคู่สวยกวาดมองทุกคน เหล่าแขกเหรื่อต่างรู้สึกว่าบนโลกใบนี้คงไม่มีหญิงใดงดงามเกินนางอีกแล้ว
หญิงสาวบางคนมีใบหน้างดงามมีเสน่ห์
ทว่าความงามของหลินเมิ้งหยาเปรียบเสมือนดวงดาวบนท้องฟ้าอันมืดมิด ชวนมองและน่าเสน่หายิ่งนัก
สายตาของแขกเหรื่อกว่าครึ่งงานพุ่งตรงมาทางหลินเมิ้งหยายามที่ปรากฏตัวในงานเลี้ยง
หลงเทียนอวี้ยืนอยู่กลางห้องโถง สายตาจับจ้องมองทางชายาของตนเอง ขาพลันขยับก้าวไวๆ เข้ามายืนต่อหน้านาง
“ท่านอ๋อง หม่อมฉันทำให้พระองค์ต้องเป็นกังวลแล้ว”
ริมฝีปากบางส่งเสียงอ่อนหวานไพเราะ กลิ่นกายอันเป็นเอกลักษณ์ของนางลอยเข้ามาเตะจมูก
“ไม่เป็นไร”
ขณะที่อยู่ในวัด อยู่ๆ หลินเมิ้งหยาก็ถูกพาตัวไป ตอนนั้นหัวใจของหลงเทียนอวี้รู้สึกเสมือนถูกบีบรัด
เขารู้จักกลอุบายของฮองเฮาดี
แต่เพราะสถานการณ์ในตอนนั้นทำให้เขาไม่อาจเข้าไปช่วยเหลือนางได้ในทันที
ซ้ำยังมีลูกศรของหลงอิงฉู่ที่ยิงเข้าใส่นาง หัวใจของเขารู้สึกเสมือนถูกกรีด
จ้องมองใบหน้านวล ไม่มีใครรู้หรอกว่าหลังจากที่เขาได้เห็นการกระทำของหลงอิงฉู่แล้ว ฝ่ามือที่กำแน่นของเขาเย็นยะเยือกขนาดไหน
ตอนแรกเขาคิดว่าหากหลินเมิ้งหยาอยู่ข้างกายตน เขาจะสามารถปกป้องนางได้
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าวิธีการของคนเหล่านั้นจะอุกอาจเช่นนี้ พวกเขาลงมือได้กระทั่งในงานพิธีอันยิ่งใหญ่เช่นการกราบไว้ขอพรบรรพบุรุษ
เขาจะไม่มีวันปล่อยให้หลินเมิ้งหยาต้องตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนั้นอีก!
อยู่ๆ มือของหลินเมิ้งหยาก็ถูกหลงเทียนอวี้จับไว้ นางที่กำลังจะหมุนตัวกระตุกเขาเบาๆ แต่กลับพบว่าเขายิ่งกุมมือนางแน่นขึ้น
“ท่านอ๋อง…ยังมีคนอยู่เยอะนะเพคะ”
ในสมัยโบราณ แม้พวกเขาจะเป็นสามีภรรยา แต่การแสดงความรักอย่างเปิดเผยต่อหน้าธารกำนัลก็เป็นเรื่องไม่เหมาะสม
“ท่านอ๋อง…”
ยากนักที่หลินเมิ้งหยาจะแสดงท่าทางขวยเขินเช่นนี้ เหตุเพราะการจู่โจมของเขา ดังนั้นพวงแก้มของนางจึงกลายเป็นสีชมพู
หัวใจของหลงเทียนอวี้เหมือนถูกสะกด
อยากรั้งตัวนางเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดเหลือเกิน
แต่ไหนแต่ไรมาหลงเทียนอวี้มักแสดงท่าทางสุขุมและเป็นผู้ใหญ่เสมอ แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดวันนี้เขาจึงปลดปล่อยความต้องการของตนเองออกมาเช่นนี้
“อุ๊ย”
แขนเสื้อของชุดสีดำยื่นเข้ามาโอบร่างของนางไว้
หลินเมิ้งหยาชะงักงัน ก่อนจะรู้ตัวว่าตนเองกำลังตกอยู่ในอ้อมกอดของหลงเทียนอวี้
หัวใจที่เคยกระสับกระส่ายพลันสงบนิ่งลงเมื่ออยู่ภายในอ้อมกอดที่เป็นดั่งการปลอบประโลมของเขา
เพิกเฉยต่อสายตาคนทั้งหลาย หลินเมิ้งหยายื่นแขนเข้าไปโอบกอดหลงเทียนอวี้เช่นเดียวกัน
นี่…คงเรียกว่าความรักสินะ
ทว่าการแสดงออกของคู่สามีภรรยาตรงหน้าทำให้ทุกคนอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง
หลินมู่จือและหลินหนานเซิงที่นั่งอยู่ในตำแหน่งขุนนางมีท่าทางเคร่งขรึมดั่งเช่นจอมทัพ
สำหรับความรักระหว่างลูกสาวและลูกเขย หลินมู่จือรู้สึกว่าพวกเขาปฏิบัติตามหลักสามประการ อันประกอบด้วยละเว้นต่อการมองที่มิพึงประสงค์ ละเว้นต่อคำพูดที่มิพึงประสงค์และละเว้นต่อการฟังที่มิพึงประสงค์
ทว่าหลินหนานเซิงกลับหาได้โชคดีเช่นนั้น
เหล่าหนุ่มสาวที่มีความกล้าเป็นทุนเดิมเริ่มส่งสายตาและหยอกล้อหลินหนานเซิง
“พี่หนานเซิงช่างลำเอียงเหลือเกิน หากรู้ว่าน้องสาวของท่านงดงามและฉลาดเฉลียวเช่นนี้ เช่นนั้นข้าคงยกขบวนไปสู่ขอถึงหน้าจวนตั้งนานแล้ว”
หลินหนานเซิงกระตุกยิ้มเล็กน้อย ทว่าเขาลอบดูแคลนคนเหล่านี้ในใจ
ตอนแรกพวกเขาก็รู้ดีว่าน้องสาวของเขาแต่ก่อนเป็นเช่นไร แต่ว่า…หากเขาขอร้องคนเหล่านี้ด้วยความจริงใจ คาดว่าน้องสาวของเขาจะต้องมีชีวิตโดยไร้ขวากหนามอย่างแน่นอน
แต่ถึงกระนั้นน้องสาวของเขาในเวลานี้ก็มิใช่เพียงคนธรรมดา
มองทางหลินเมิ้งหยาด้วยความภาคภูมิใจ เสี่ยวหยาของเขาเปรียบเสมือนแสงประกายเจิดจรัสในงานเลี้ยงครั้งนี้
แต่เมื่อได้เห็นชายหนุ่มชุดดำที่ยืนอยู่ข้างกายของนาง อยู่ๆ ความรู้สึกหวงแหนพลันปรากฏขึ้นในหัวใจ
นางคืออัญมณีที่เขาดูแลมานานสิบกว่าปี ทว่าวันนี้กลับถูกชายอีกคนฉกไป แล้วแบบนี้จะไม่ให้เขาหวงได้อย่างไร
“แต่ข้าไม่คิดเห็นเช่นนั้น ตอนแรกพี่หนานเซิงมอบโอกาสให้พวกเจ้าแล้ว แต่พวกเจ้าต่างหากที่ไม่เห็นค่า”
อีกหนึ่งเสียงดังขึ้น หลินหนานเซิงหันไปมองทางฉินมั่วด้วยความดีใจ
ทั้งสองส่งสายตาเป็นนัย นับตั้งแต่วันที่หลินเมิ้งหยาช่วยฉินมั่วถอนพิษออกจากร่างกาย เรื่องนี้ไม่เพียงส่งผลให้คนทั้งกองทัพรวมหัวใจเป็นหนึ่ง แต่ยังทำให้หลินหนานเซิงและฉินมั่วกลายเป็นเพื่อนรักกันมากขึ้นกว่าเดิม
ขณะที่เห็นคนกลุ่มนี้พยายามเรียกร้องความสนใจจากสหาย ฉินมั่วจึงเข้ามาช่วยโดยไม่คิด
“ใช่ ใช่ ใช่ พวกเจ้าเปรียบเสมือนมิตรแท้ แต่พวกข้ามิต่างอะไรจากเพื่อนกิน!”
คนกลุ่มนั้นหัวเราะหัวใคร่ก่อนจะเดินหนีไป หลินหนานเซิงมองตามก่อนจะส่ายหน้า
อันที่จริงคนเหล่านั้นหาใช่คนที่มีวิสัยทัศน์ที่ดี แต่เพราะเกี่ยวข้องกับวงศ์ตระกูล ดังนั้นเขาจึงต้องผูกมิตรดีกว่าปล่อยให้เป็นศัตรูกัน
“พี่หนานเซิง ข้าได้ยินมาว่าองค์ชายห้าเกือบจะเอาชีวิตของชายาอวี้ในงานพิธีเมื่อตอนเช้าแล้ว”
แม้ทั้งสองจะยิ้มให้กันเล็กน้อย ทว่าสายตาของพวกเขากลับเย็นชา
“แน่ใจแล้วหรือไม่? เหตุใดองค์ชายห้าจึงคิดเอาชีวิตเสี่ยวหยาของข้ากัน?”
ฉินมั่วมีเพื่อนที่เป็นทหารองครักษ์มากมาย
อันที่จริงหากเขาต้องการ เขาก็สามารถรู้ได้ทันทีว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง
ฉินมั่วและหลินหนานเซิงพยายามสะกดกลั้นความโกรธเกรี้ยวเอาไว้ในหัวใจ
“ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่…ข้าได้ยินมาว่าเมื่อวานไท่จื่อไปเยือนจวนขององค์ชายห้า”