บทที่ 921 + 922 โดย Ink Stone_Romance
บทที่ 921 คู่สวรรค์สรรสร้าง 6
กู้ซีจิ่วอยากซัดเขาจริงๆ!
เธอยกมือขึ้นแล้วดันมือเขา “ข้าไม่ได้…”
“ซีจิ่ว จะรออีกสองสามวัน ใหข้าดำเนินการไปสู่ขอเจ้า หรือจะรออีกสามปี เจ้าจะเลือกอีกสองสามวันหรือว่าอีกสามปีล่ะ?” เขามองเธอด้วยสายตาแวววาว
กู้ซีจิวถูกเขาเล่นงานเข้าแล้ว!
สุดท้ายจึงเอ่ยออกมาประโยคเดียว “อีกสามปีเถอะ”
ถึงแม้วิธีขอแต่งงานของเขาจะค่อนข้างประหลาด แต่อย่างไรเสียทั้งสองก็รักกันอยู่แล้ว นับตั้งแต่กู้ซีจิ่วเข้าใจความรู้สึกของตนและยืนยันความรู้สึกของเขาได้ ก็ตัดสินใจแน่นอนแล้วว่าจะออกเรือนกับเขา และเป็นครั้งแรกที่เธอมีความคิดว่าอยากแต่งงานอยู่ร่วมกับคนผู้หนึ่งตลอดไปไม่พรากจาก
ยุคนี้การหาคนที่รักกันด้วยใจจริงไม่ใช่เรื่องง่าย ยากนักที่จะหาพบสักคนย่อมสมควรผูกสัมพันธ์กลายเป็นคู่ถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชร
กู้ซีจิ่วไม่ใช่คนเขินอายกระบิดกระบวน และปฏิบัติต่อความรู้สึกของตนอย่างตรงไปตรงมายิ่งนัก ไม่คิดจะทำให้ผู้อื่นและตนเองต้องคับข้องหมองใจ ดังนั้นท้ายที่สุดจึงยังคงตอบตกลง
เอ่ยคำมั่น สัตย์สาบาน
ตี้ฝูอีทาบนิ้วทั้งสิบกับนิ้วเธอ หัวแม่มือเขาทาบกับหัวแม่มือเธอ มองเธอด้วยรอยยิ้ม “เมื่อตอบตกลงแล้วไม่อนุญาตให้เสียใจภายหลัง! การสมรสครั้งนี้ถือว่าตกลงแล้ว!”
พอเขาเอ่ยจบ ข้อมือเขาพลันมีแสงสีทองวาบขึ้นมา เคลื่อนไปที่ข้อมือเธอผ่านมือของทั้งสองที่ประสานกันอยู่ เกิดเสียงดัง เกิดเสียงดังปัง กำไลข้อมือสีทองวงหนึ่งปรากฏขึ้นบนข้อมือกู้ซีจิ่ว คล้ายทองทว่ามิใช่ทอง คล้ายหยกทว่ามิเชิงหยก
กู้ซีจิ่วตะลึงงัน ก้มหน้ามองกำไลบนข้อมือ “นี่คืออะไร?”
“กำไลคู่บุพเพ” ตี้ฝูอียิ้มน้อยๆ “และเป็นหลักฐานการหมั้นหมายของเจ้ากับข้าด้วย งดงามใช่ไหม?”
เป็นครั้งแรกที่กู้ซีจิ่วได้ยินเรื่องราวของกำไลชนิดนี้ กำไลนี้ประหลาดนัก สวมไว้บนข้อมือให้ความรู้สึกเหมือนหยดน้ำ ทว่ารูปร่างกลับเหมือนพญาหงส์ขดเป็นวง พญาหงส์ตัวนั้นดูสมจริงยิ่งนัก หงอนหงส์และปีกหงส์ล้วนโดดเด่นราวมีชีวิต ดวงตาของพญาหงส์ปิดอยู่ เสมือนว่าขอเพียงมันลืมตาขึ้นมาก็สามารถกลายเป็นพญาหงส์ที่แท้จริงแล้วโผบินไปจากข้อมือเธอ
วินาทีที่กำไลหงส์ตัวนั้นปรากฏขึ้นบนข้อมือเธอ บนข้อมือเขาก็ปรากฏกำไลมังกรสีเดียวกันขึ้นมา กำไลทั้งสองวงมองแวบเดียวก็รู้ว่าเป็นกำไลคู่รักที่ทำจากวัสดุชนิดเดียวกัน
ตอนนี้เธอกับเข้าไม่เพียงแต่สวมชุดคู่รักเท่านั้น แม้แต่เครื่องประดับก็ไม่ต่างกัน
กู้ซีจิ่วค่อนข้างสนใจใคร่รู้เกี่ยวกับกำไลวงนี้ คิดจะถอดมันออกมาดูอย่างละเอียด นึกไม่ถึงว่ากำไลที่เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าหลวมคลายใส่สบายยิ่งนักวงนี้กลับถอดไม่ออก
เอ๊ะ เกิดอะไรขึ้น?
กู้ซีจิ่วยกมือขึ้นหมายจะดูอีกครั้ง ทว่าถูกตี้ฝูอีจับไว้ “นี่คือกำไลคู่บุพเพ เป็นกำไลที่ถอดไม่ได้ เจ้าถูกกำหนดให้เป็นภรรยาของข้าแล้ว”
มุมปากกู้ซีจิ่วกระตุกแวบหนึ่ง เจ้าคนผู้นี้ตีงูที่พันกิ่งเก่งเหลือเกิน! พูดจาแค่ไม่กี่ประโยคก็ทำให้เธอติดกับโดยสมบูรณ์แล้ว!
เธอมองกำไลวงนั้น
ดูเหมือนเธอจะมีวาสนาด้านกำไลยิ่งนัก ตอนนี้บนข้อมือซ้ายสวมหยกนภาไวเ เจ้านั่นยังคงหลับใหลอยู่ ยังอยู่ในรูปลักษณ์ที่ปลอมแปลงไว้จะถอดก็ถอดไม่ออก
บัดนี้บนข้อมือขวาก็สวมกำไลคู่บุพเพไว้อีก…
บนข้อมือทั้งสองข้างหนึ่งสวมกำไลดำข้างหนึ่งสวมกำไลทองดูไม่สมมาตรเท่าไหร่
หรือเธอควรรอให้หยกนภาตื่นแล้วให้มันเปลี่ยนสีสันซะ ดีที่สุดคือเป็นแบบเดียวกับกำไลบุพเพ ล้วนเป็นสีทองอ่อนจาง…
แบบนั้นคงดูเหมือนกุญแจมือทองคำกระมัง?!
คล้ายว่าจะไม่น่ามองเลย ช่างเถอะ! ไม่สมมาตรก็ไม่สมมาตรสิ ดีกว่าทำให้ผู้อื่นคิดว่าสวมกุญแจมือทองคำ
กู้ซีจิ่วปลอบใจตัวเอง ขณะเดียวกันก็เอ่ยถามประโยคหนึ่ง “กำไลนี้จะอยู่กับข้าไปชั่วชีวิตหรือ?”
นัยน์ตาตี้ฝูอีมีประกายมืดสลัวพาดผ่านแวบหนึ่ง ทว่าตอบยิ้มว่า “จะติดตามไปจนกว่าวาสนาของข้ากับเจ้าจะสิ้นสุดลง”
กู้ซีจิ่วใจหายนิดๆ เลิกคิ้วมองเขา “วาสนาสิ้นสุดลง? พูดอีกอย่างก็คือ ถ้าหากข้าถอนหมั้นกับท่านกำไลนี้จะหลุดออกไปเองใช่ไหม?”
เธอรู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง เป็นเขาที่คิดสารพัดวิธีเพื่อหมั้นหมายกับเธอ หรือการถอนหมั้นก็เป็นหน้าที่ตัดสินใจของเขาโดยสมบูรณ์?
————————————————————————————-
บทที่ 922 อาณาเขตของข้าเจ้าตัดสินใจเองได้เลย
เธอไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจสักนิดเลยหรือ?
“ข้าไม่มีทางถอนหมั้นกับเจ้า” ตี้ฝูอีตบมือเธอเบาๆ “ไม่ง่ายกว่าข้าจะหลงรักใครสักคน…กำไลนี้จะอยู่หรือไปข้าไม่ใช่ผู้ตัดสินใจ เว้นแต่สวรรค์จะเห็นว่าวาสนาของพวกเราถึงจุดสิ้นสุดแล้วกำไลนี้ถึงจะหายไปเอง…”
เขาแย้มยิ้มอีกครา “เด็กน้อย พวกเราเพิ่งหมั้นหมายกันสำเร็จ จะคุยเรื่องถอนหมั้นคงไม่ดีกระมัง?”
กู้ซีจิ่วไม่เก็บคำว่า ‘วาสนาสิ้นสุด’ ของเขามาใส่ใจ บนโลกนี้ไม่ว่าจะวาสนาใดล้วนต้องมีสักวันที่สิ้นสุดลง จะเป็นสามีภรรยาที่รักใคร่กันปานใดก็ฝืนการกลั่นเกลาของกาลเวลาไม่พ้น ความรู้สึกจะล้ำลึกเพียงใดก็ต้องจืดจางลงสักวัน วาสนาจะเกิดจะสิ้นเดิมทีก็ถูกกำหนดไว้แล้ว สามีภรรยาทั่วไปยังมีช่วงอาถรรพ์เจ็ดปีเลย ใครเล่าจะรับประกันได้ว่าคนผู้หนึ่งจะรักใครอีกคนไปชั่วชีวิตได้จริงๆ?
ขอเพียงในวันที่วาสนาที่มาเยือนจงคว้าเอาไว้ให้มั่นก็พอแล้ว
ขอเพียงเธอได้รู้ว่าทั้งสองฝ่าต่างมีความสุขในช่วงเวลาที่อยู่ร่วมกันก็พอแล้ว เรื่องอื่นไม่จำเป็นต้องคิดให้มากความเกินไป
กู้ซีจิ่วก็พบเห็นเรื่องรักๆ เลิกๆ มาจนชินแล้ว ดังนั้นสายตาเธอจึงเปิดกว้างยิ่งนัก
เธอมองกำไลบนข้อมือครู่หนึ่ง ถามออกมาว่า “กำไลนี้ยังมีความสามารถอื่นอีกหรือไม่?”
“มี” ตี้ฝูอีตอบ “คนทั้งสองที่สวมสิ่งนี้ไว้ สามารถรับรู้อันตรายและตำแหน่งของกันและกันได้ หากว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตกอยู่ในอันตรายใหญ่หลวง อีกฝ่ายก็สามารถรับรู้ได้ทันที ไปช่วยเหลือได้ทันกาล”
มีข้อดีเช่นนี้อยู่ด้วยหรือ?! มีประโยชน์จริงๆ!
ดวงตากู้ซีจิ่วหยีโค้ง ตี้ฝูอีผู้นี้แข็งแกร่งถึงเพียงนั้น เขาไม่มีทางประสบภยันอันตรายอยู่แล้ว ภายหน้าผู้ที่เป็นไปได้ว่าจะเผชิญอันตรายย่อมเป็นตน นี่เขาเสริมเกราะคุ้มภัยให้เธออีกชั้นกระมัง?
ทั้งสองพูดคุยกันอีกครู่หนึ่ง ในที่สุดอาการปวดท้องของกู้ซีจิ่วก็สลายไป เธอลุกขึ้นยืนแล้วขยับมือเท้าดูเล็กน้อย “ข้าอยากชมวังบาดาลแห่งนี้ให้ทั่วๆ หน่อย”
ตี้ฝูอีโบกมือคราหนึ่ง “เชิญตามสบาย จะเยี่ยมชมอย่างไรก็ได้”
“ไม่มีเขตหวงห้ามหรือ?”
“อาณาเขตของข้าเจ้าตัดสินใจเองได้เลย เดินได้ตามสบาย”
วังบาดาลใต้มหาสมุทรลึกเช่นนี้มิใช่สถานที่ที่สามารถชมดูได้ตลอด กู้ซีจิ่วจึงหวงแหนโอกาสครั้งนี้ยิ่งนัก ไปชมดูด้วยตัวเองจริงๆ
ตี้ฝูอีเห็นแผ่นหลังนางเลือนหายในที่ไกลๆ จึงหลับตาลงแล้วเริ่มทำสมาธิ
ช่วงนี้เขาสิ้นเปลืองพลังวิญญาณยิ่งนัก จำเป็นต้องกักตนฟื้นฟูเป็นการด่วน แต่เขาอยากข้ามเทศกาลไหว้พระจันทร์นี้เป็นเพื่อนนาง ดังนั้นจึงไม่ปิดด่านกักตนมาโดยตลอด เพียงใช้ช่วงเวลาเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้นั่งสมาธิฟื้นฟู
วังบาดาลแห่งนี้ใหญ่โตอย่างยิ่ง ตี้ฝูอีคาดว่านางคงต้องใช้เวลาอย่างน้อยสองสามชั่วยาวถึงจะวนทั่ว
ดังนั้นเขาจะนั่งสมาธิตลอดสามชั่วยามนี้
พลังวิญญาณของที่นี่เข้มข้นนัก เป็นสถานที่ที่ดีสำหรับทำสมาธิฟื้นฟู และเป็นสถานที่ที่เขาเคยใช้กักตนฝึกฝน
ในอดีตที่นี่มีเขาอยู่โดดเดี่ยวลำพัง ยามนี้กลับมีนางเพิ่มเข้ามาอีกคน
เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าเพิ่มขึ้นแค่คนเดียว ทว่าวังบาดาลที่หนาวเหน็บหาใดเทียมหลังนี้กลับเสมือนมีผู้คนเพิ่มขึ้นมากมาย ความมีชีวิตชีวาอบอวลไปทั่วตำหนัก
สถานที่แห่งนี้ต่อให้งดงามสักแค่ไหนหากไม่มีกลิ่นอายมนุษย์ก็เป็นเพียงสุสานไร้ชีวิตชีวา ดังนั้นหลายปีมานี้หากไม่มีเหตุสุดวิสัยก็จะไม่มากักตนที่นี่ ต่อให้กักตนอยู่ที่นี่ก็จะจากไปทันทีที่ออกจาการกักตน ไม่รั้งอยู่ต่อแม้แต่วันเดียว
แต่ตอนนี้เขากลับไม่อยากที่นี่ไปอยู่บ้าง จู่ๆ ก็ค้นพบว่าทิวทัศน์ของที่นี่งดงามยิ่งนัก
ถึงเขาจะเข้าสมาธิอยู่ แต่ไม่ว่าอย่างไรในใจก็ยังคงห่วงหานาง ต่อให้หลับตาอยู่ก็ให้ความสนใจต่อการกลับมาของนาง เตรียมเสร็จสิ้นทันทีที่นางกลับมา
เป็นอย่างที่เขาคาดเดาไว้ จวบจนเขาโคจรลมปราณทั้งหมดครบหนึ่งรอบเมื่อลืมตาขึ้นมาก็ยังไม่เห็นนางกลับมา ในสวนดอกไม้ที่กว้างใหญ่มีเพียงตัวเขาผู้เดียว
เขาคำนวณเวลาดู ผ่านไปประมาณสามชั่วยามแล้ว เหตุใดนางยังไม่กลับมาอีก? ไปเพลิดเพลินจนลืมกลับอยู่ที่ใดกัน?
————————————————————————————-