“ช่างอวดดีจนไม่มีขอบเขต เจ้าเป็นแค่ยอดปรมาจารย์ตัวเล็กๆ ก็พูดเพ้อเจ้อว่าจะสังหารข้า? ฮ่าๆ ไอ้หนู นี่เจ้าหาเรื่องให้ตัวเองอับอายอยู่” ธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์หัวเราะเสียงเย็น สายตาค่อยๆ เย็นเยียบขึ้น ฝ่ามือตั้งท่าไว้ที่หน้าอก พลังฟ้าประทานสีแดงวาววับกำเนิดขึ้นกลางฝ่ามือแล้วแปรเปลี่ยนเป็นรูปทรงกระบี่เล่มใหญ่
หลี่มู่อยากจะลองเต็มทีแล้ว
เขาอยากลองดูสักหน่อยว่าพลังฟ้าประทานนั้นมีอานุภาพน่ากลัวอย่างไร ระดับความแข็งแกร่งของกายเนื้อเขาตอนนี้ไม่รู้ว่าจะรับไหวหรือไม่ แต่อย่างไรเสียก็มีอันตราย หากรับไม่ไหว…ถึงแม้หวังว่าจะได้สัมผัสฤทธิ์ของพลังฟ้าประทานได้ชัดเจนยิ่งขึ้นก็เถอะ แต่คงเอาชีวิตไปทิ้งจริงๆ ไม่ได้
เขาฝืนดับความคิดที่น่ากลัวของตัวเองทันที
ทุกสิ่งในวันนี้ เขารู้สึกว่าการกระทำของตนค่อนข้างเหมือนคนบ้าคลั่ง
จัดการธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์ก่อนแล้วค่อยว่ากันดีกว่า
หลี่มู่ย่อตัวลงช้าๆ ยังคงตั้งท่าเริ่มต้นของ ‘หมัดยุทธ์แท้’ แต่เอวย่อต่ำลงไปกว่าเดิมมาก ในขณะเดียวกันก็ดึงสองหมัดขึ้น เก็บข้อศอก แขนแนบบริเวณเอว ระหว่างหายใจก็โคจร ‘วิชาก่อนกำเนิด’ ร่วมด้วย พลังพิสดารในกายถูกปลดปล่อยออกมาทั้งหมด กระดูกทั่วร่างราวกำกำลังแผดคำราม โดยเฉพาะกระดูกก้นกบ กระดูกสันหลัง และกระดูกคอ เส้นแนวกลางเส้นนี้มีพลังทะลักมาดุจมังกรคำราม
อากาศรอบๆ เหมือนจับตัวแข็ง ก่อเป็นระลอกคลื่นกระเพื่อมรวมไปยังหลี่มู่
“ฟ้าประทานแล้วจะอย่างไร หากข้าอยากจะฆ่า หมัดเดียวก็ชกจนเป็นเศษซากได้แล้ว ศึกนี้จบลงแค่นี้แหละ”
หลี่มู่แยกเขี้ยว ฟันขาววาววับราวกับดาบคมกริบ
ร่างของเขาราวกับคันธนู แขนทั้งสองออกหมัดเปรียบดั่งลูกธนูใหญ่ขึ้นสาย
“หมัดยุทธ์แท้กระบวนท่าที่สาม…ทลายฟ้า!”
ท่ามกลางเสียงคำราม หลี่มู่ส่งหมัดออกไป
ท่วงท่างดงาม การเคลื่อนไหวเรียบง่าย
เสมือนว่า…ไม่มีพลังอะไร
และในขณะเดียวกัน ธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์สะสมพลังเสร็จสิ้น กระตุ้นกระบวนท่าสุดยอดแล้วลงมือเช่นกัน
“ฮ่าๆ ผู้เยาว์ ชาติหน้าตอนเลือกเกิดก็เลือกให้ดีๆ เล่า อย่าได้มาเจอข้าอีก…กระบี่สวรรค์สิบหกท่า…ท่ากระบี่ทิ่มแทง!”
หว่างคิ้วของเขามีจิตสังหารเอ่อล้น มือทั้งสองผลักออกไป เปลี่ยนพลังฟ้าประทานสีแดงสดวาววับกลุ่มนั้นให้เป็นกระบี่ยาวก่อนจะแทงโจมตี นี่ก็คือ ‘ท่ากระบี่ทิ่มแทง’ หนึ่งในท่าของ ‘กระบี่สวรรค์สิบหกท่า’ นั่นเอง…เขาเพิ่งจะฝึกฝนพลังฟ้าประทานออกมาได้แค่เล็กน้อย ดังนั้นจึงเหมาะที่จะสำแดงท่านี้ที่สุด
ธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์มั่นใจอย่างยิ่งยวด ทุกอย่างอยู่ในการควบคุมของเขา
เขาสัมผัสได้ถึงความน่าครั่นคร้ามของพลังฟ้าประทานที่มากพอจะบดขยี้ศาสตราวุธใดๆ ‘ท่ากระบี่ทิ่มแทง’ ก่อนหน้านี้ หลี่มู่ทำลายไปไม่รู้ต่อกี่ครั้ง แต่ครั้งนี้มันจะแข็งแกร่งไร้เทียมทาน
แสงกระบี่พราวพร่างราวอาทิตย์แดงก่ำ
เพียงชั่วพริบตา ประหนึ่งแสงกระบี่ที่แปลงมาจากพลังฟ้าประทานสายนี้บดบังแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ทั้งสองจนมิด
ทุกคนตรงนั้นสัมผัสได้ถึงความน่ากลัวของแสงกระบี่สายนี้ ราวกับว่ามันสามารถสังหารวิญญาณได้อย่างไรอย่างนั้น ทำให้พวกเขาใจเต้นระรัว วิญญาณสั่นสะท้าน…นี่เป็นกระบี่ที่พลังของมนุษย์ไม่อาจต้านทานได้
หลี่มู่จบเห่แล้ว
ในชั่วขณะนี้ ความคิดเช่นนี้ผุดขึ้นมาในใจของแทบทุกคน
ทว่าก็ในพริบเดียวกัน หมัดทั้งสองของหลี่มู่โจมตีออกมาอย่างทรงพลังที่สุด
การเปลี่ยนแปลงของกระบวนท่าเกิดขึ้น
สองหมัดพลันผสานเป็นหนึ่ง กำปั้นหันเข้าหากันแล้วแผ่ระลอกเบาๆ
ครืน!
แรงสะเทือนประหลาดกลุ่มหนึ่งปะทุออกมาจากหมัดทั้งสองของเขา
แรงแปลกประหลาดนี้คล้ายทำให้ผืนฟ้าสั่นไหวตามไปด้วย
เหล่าผู้ชมยังไม่ทันได้ตั้งตัว หมัดทั้งสองของหลี่มู่ก็แผ่ระลอกสั่นสะเทือนอีกครั้ง
ครืน!
ผืนฟ้าสั่นไหวอีกรอบ
ครั้งนี้ทุกสิ่งในสายตาทุกคนเหมือนสั่นไหวอย่างรุนแรง
จากนั้น…
ครืน ครืน ครืน!
เกิดแรงสั่นสะเทือนไม่ขาดสาย เสียงดังสนั่นหวั่นไหวราวอสุนีฟาดผ่าปะทุออกมาจากสองหมัดของหลี่มู่ไม่หยุด
เสี้ยวขณะนั้น พลังสั่นสะเทือนเป็นพันสายพลันทับซ้อนกันถึงขั้นสูงสุด หมัดทั้งสองก็เลือนราง ลำแสงประกายหมัดที่รวมตัวกันราวกับแสงเงินระยิบระยับ ระเบิดพุ่งออกไปจากสองหมัด ต้านรับ ‘ท่ากระบี่ทิ่มแทง’ จากพลังฟ้าประทานของธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์เอาไว้
ท่ามกลางการสั่นไหวรุนแรงบนท้องฟ้า ภายใต้การจับจ้องจากสายตานับไม่ถ้วน แสงหมัดทำลายกระบี่แสงของ ‘ท่ากระบี่ทิ่มแทง’ จากพลังฟ้าประทานสีแดงสดจนสิ้น ภาพนั้นเหมือนกับกิ่งไม้สีแดงปักลงในหินหนืดร้อนระอุอย่างไรอย่างนั้น เพียงพริบตาก็หลอมละลายหายไป
ใช่แล้ว มันคือการหลอมละลาย
อีกทั้งสิ่งที่ยิ่งน่ากลัวก็คือ ลำแสงหมัดสั่นสะเทือนไม่ลดลงพลังเลย กลับโจมตีปะทะยังร่างของธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์แล้วพุ่งเฉียงผ่านขึ้นไป ซัดจนท้องฟ้าเกิดเป็นรอยหมัดที่ตาเปล่ามองเห็นได้ จากนั้นทะลุผ่านชั้นเมฆกลายเป็นรูโหว่อันน่าตกใจ แล้วพุ่งไปไกลออกไปอีก ประหนึ่งจะยิงไปจนถึงดวงดาราก็ไม่ปาน
ภาพเช่นนี้ช่างยากจะใช้คำบรรยายได้
ในสายตาของทุกคน ทุกที่ที่รอยหมัดผ่านไป ทุกสิ่งในนั้นราวกับกระจกที่ถูกเช็ดจนสะอาด ชัดเจนแจ่มแจ้งยิ่งกว่าทุกสิ่งในครรลองสายตายามปกติ รวมถึงธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์ที่โดนลมหมัดพัดผ่านร่าง และรอยทางอากาศยาวหลายร้อยจั้งที่พุ่งเฉียงขึ้นไปข้างหลังเขา
แปลกประหลาด เงียบสงัด
ทั่วทั้งสนามของโรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์และทุกคนบนเวทีชมการต่อสู้ต่อตกอยู่ในความเงียบงัน
ภาพการต่อสู้บนเวทีหยุดนิ่ง
ธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์มีสีหน้างุนงง
ทั่วร่างเขาไม่มีร่องรอยบาดแผลแม้แต่น้อย แต่ร่างกลับค้างแข็งไปมาก เขาก้มหน้ามองร่างของตัวเองด้วยสีหน้างุนงง จากนั้นมองไปยังหลี่มู่อีกครั้ง เอ่ยอย่างไม่อยากจะเชื่อว่า “เจ้า…นี่…มันคือวิชาหมัดอะไร?”
หลี่มู่เก็บกระบวนท่า
“หมัดยุทธ์แท้ หมัดเซียน”
เขาเอ่ย
‘ทลายฟ้า’ ท่าที่สามของหมัดยุทธ์แท้
ตอนที่หลี่มู่เพิ่งมาถึงโลกใบนี้เคยคิดว่า ‘หมัดยุทธ์แท้’ เป็นแค่วิชาฝึกฝนร่างกายเท่านั้น ไม่ได้มีกำลังรบที่ชัดเจน แต่แท้จริงแล้ว วิชาหมัดชุดนี้ต่างหากถึงจะเป็นวิชาหมัดแข็งแกร่งที่สุดที่สามารถดึงศักยภาพพลังอันน่าพรั่นพรึงของกายเนื้อไปถึงจุดสูงสุด ทั้งยังเพิ่มพลังได้อีกด้วย
หลี่มู่สำแดงท่าที่สามไปเลยทันทีเพื่อให้เกิดผลสังหารดับดิ้นในหมัดเดียว ซึ่งก็เป็นหนึ่งในท่าแข็งแกร่งที่สุดใน ‘หมัดยุทธ์แท้’ ซึ่งเขาสามารถควบคุมได้ในตอนนี้
“ซะ…เซียน…วิชาหมัดเซียน? เป็นไปไม่ได้ โลกนี้ไม่มีวิชาหมัดนี้”
สีหน้าของธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์น่าเวทนา
“ข้าไม่ยอม ข้าไม่ยอม ข้าทะลวงขั้นฟ้าประทานแล้ว ทำไม…ทำไมกัน?”
เขาอาละวาดคลุ้มคลั่ง
ทั่วร่างของหลี่มู่มีเมฆหมอกเลือนรางลมพัดเบา ไร้ซึ่งรอยบาดแผล ไม่มีท่าทีอ่อนล้าใดๆ
เขายิ้มเหมือนย่อมเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว กล่าวอย่างวางท่ายิ่ง “มีอะไรยอมไม่ได้เล่า เพราะเจ้ามันแค่ตัวประกอบนี่ ควรมีจิตสำนึกของตัวประกอบหน่อย เมื่อทำหน้าที่จบก็ควรตายได้แล้ว…ชาติหน้าเลือกเกิดให้ดีๆ อย่ามาเจอข้าอีกเล่า…วันนี้พอแค่นี้ ไปให้สบายเถอะ”
พูดจบ เขาก็ใช้ท่าทางอวดเบ่งกว่าเดิมดีดนิ้วแบบที่คิดว่าเท่ที่สุด…
แกรก
เสียงดังกังวานเหมือนหยกชั้นดีแตกดังขึ้นมา
สุดท้ายคลื่นสั่นสะเทือนแผ่วเบาก็เกิดขึ้นจากเสียงดีดนิ้วนี้
จากนั้นเสมือนเสียงเศษใบไม้แห้งใบหนึ่งแตกทำให้หิมะถล่มล้างโลก ทางที่รอยหมัดสีเงินยาวหลายหลายร้อยจั้งพาดผ่านเหมือนกระจกแผ่นใหญ่มีคนทุบจนแหลกลาญ แตกละเอียดกลายเป็นเศษสีเงินนับพันนับหมื่นชิ้น…
ท้องฟ้าแหลกเป็นเสี่ยง!
ชั้นเมฆ แสงแดด ท้องฟ้าสีครามภายในนั้น…แล้วยังมีร่างของธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์ ทุกอย่างแตกละเอียด
ไม่มีเลือด ไม่มีเสียงร่ำไห้น่าเวทนา ไม่มีกระดูกขาว และไม่มีเศษอวัยวะ
ธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์ผู้แข็งแกร่งไร้เทียมทานที่เพิ่งก้าวสู่ขั้นฟ้าประทานผู้นี้ ร่างของเขาดุจรูปเหมือนที่วาดไว้บนกระจก แตกร้าวไปตามการแตกสลายเป็นเศษพันหมื่นชิ้น จากนั้นก็สลายหายไปอย่างไร้ร่องรอยท่ามกลางฟ้าดินราวเกล็ดน้ำแข็งบางๆ ที่ละลายท่ามกลางแสงตะวัน
หลังจากแหลกเป็นเสี่ยง ทุกสิ่งกลับคืนสู่ปกติ
รอยหมัดหายไป
ฟ้ายังคงเป็นฟ้า เมฆยังคงเป็นเมฆ ลมยังคงเป็นลม แสงอาทิตย์ยังคงเป็นแสงอาทิตย์
มีเพียงธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์ที่หายไปตามรอยหมัด
หายไปตลอดกาล
ร่าง เลือดเนื้อกระดูก ความคิดจิตวิญญาณ เจตจำนงต่างๆ ของเขา…
ทุกสิ่งทุกอย่างของเขาถูกสะเทือนจากพลังหมัดที่น่าสะพรึงกลัว กลายเป็นผุยผง กลายเป็นสสารดั้งเดิมในฟ้าดินที่ตาเปล่าไม่อาจมองเห็น สลายหายไปจากโลกนี้ ถูกลบร่องรอยทุกสิ่งทิ้งไป
นี่ก็คือวิชาหมัด ‘ทลายฟ้า’
นี่ก็คือพลังของหมัดเซียน
นี่ก็คือกำลังรบที่แข็งแกร่งที่สุดซึ่งหลี่มู่ควบคุมได้ในตอนนี้
“โอ้ ศึกนี้ได้ผลเก็บเกี่ยวไม่น้อยจริงๆ” หลี่มู่ยืดตัวบิดขี้เกียจด้วยท่าเกินงาม
โครม
ในที่สุดเวทีประลองหินดำก็ไม่อาจทนแรงกดดันจากการต่อสู้ได้อีก แปรเปลี่ยนเป็นเศษหินถล่มลงมาไม่ต่างจากประติมากรรมทรายที่แห้งแล้วท่ามกลางสายลม ทั้งหมดล้วนเป็นเศษหินขนาดกำปั้นเท่าๆ กันกลิ้งตุบๆ ลงมากลายเป็นซากปรักหักพัง
เสียงนั้นทำให้คนทั้งหมดที่อึ้งตะลึงเหม่อลอยสะดุ้งตื่น
สายตาทุกคู่จ้องไปยังหลี่มู่
นั่นเป็นสายตาที่ตื่นตะลึง
สายตาที่หวาดกลัว
สายตาที่ยากจะเชื่อ
และสายตาที่งุนงง
ธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์พลังฝึกขั้นฟ้าประทาน เพิ่งก้าวสู่ขั้นฟ้าประทานและฝึกฝนพลังฟ้าประทานเสี้ยวหนึ่งได้ ก็ถูกคนรุ่นหลังที่ยังไม่ถึงขั้นฟ้าประทานใช้วิชาหมัดพลังกายโจมตีหมัดเดียวจนสลายไปทั้งเป็น? หายไปในอากาศเหมือนกับผายลมแบบนี้?
หากไม่ได้เห็นภาพนี้เองกับตา เกรงว่าทุกคนที่ได้ยินเรื่องเช่นนี้ต้องคิดว่าเป็นเรื่องโกหกที่ห่วยแตกไร้สาระที่สุดในโลกแน่
ขั้นฟ้าประทาน นั่นเป็นขั้นฟ้าประทานคนหนึ่งเชียวนะ
ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ได้?
หมัดสุดท้ายหมัดนั้นเหมือนจะชื่อว่า ‘หมัดยุทธ์แท้’ เป็นวิชาหมัดเซียนจริงๆ หรือ?
น่าจะใช่
เพราะนอกจากวิชาหมัดที่เซียนใช้ จะมีพลังอะไรสามารถใช้เพียงแรงกายก็ซัดจนขั้นฟ้าประทานเป็นผุยผงได้?
เหนือใต้ออกตกของสนาม คนหลายหมื่นคนนิ่งอึ้ง เงียบจนเข็มตกพื้นก็ยังได้ยิน
บนเวทีชมการประลอง สีหน้าของบุคลผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายต่างค้างแข็งในพริบตานี้
เจ้าเมืองหลี่กังตอนนี้ก็ไม่ได้นิ่งเฉยเหมือนก่อนหน้าอีก ในดวงตาของเขายากจะปกปิดความเหลือเชื่อ เขาม้วนหนวดตัวเองอย่างเสียกิริยาจนขาดไปหลายเส้นก็ยังไม่รู้ตัว พร้อมชะโงกตัวเล็กน้อยมองไปยังเวทีประลองที่พังทลาย
ส่วนเจิ้งฉุนเจี้ยนที่ยืนอยู่ข้างหลัง นัยน์ตาเต็มไปด้วยความงุนงง
ท่ามกลางคนทั้งหมด ผู้ที่มีสีหน้าหลากหลายที่สุดก็ต้องเป็น ‘กระบี่เทพเบิกฟ้า’ จางเฉิงเฟิงแล้ว
……………………