ก่อนหน้านี้ ‘กระบี่เทพเบิกฟ้า’ จางเฉิงเฟิงยังดีใจจนแทบล้มประดาตาย มาตอนนี้กลับหมองหม่นระทมทุกข์
ใจของเขาเย็นเยียบ ไอเย็นแผ่ซ่าน
บรรพชนเหมือนจะ…แพ้แล้ว?
ไม่ใช่แค่แพ้ แต่ยัง…ตายแล้วด้วย?
เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด บรรพชนคือขั้นฟ้าประทาน เข้าสู่ขั้นฟ้าประทานแล้วเชียวนะ
จางเฉิงเฟิงรู้สึกซวยบรรลัยอยู่ในใจ
เขามองเหล่าผู้ชมซ้ายขวาทันที เหล่าผู้ยิ่งใหญ่ที่ก่อนหน้านี้ยิ้มหัวเราะเรียกพี่เรียกน้องอยู่ใกล้ๆ ตอนนี้ยืนห่างออกไปไกล รักษาระยะห่างกับเขา รอยยิ้มบนใบหน้าไม่มีให้เห็นอีก สิ่งที่เข้ามาแทนคือสีหน้าเหยียดหยาม สงสาร และมีความสุขบนความทุกข์ผู้อื่น
ใช่แล้ว คนใหญ่คนโตทุกท่าน ตอนนี้ตั้งตัวกลับมาได้แล้ว
ต่อให้เป็นไปไม่ได้อย่างไร แต่ธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์ก็ตายแล้วจริงๆ
เมื่อธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์ตาย เช่นนั้นโรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์ก็เผชิญกับมหัตภัยแล้ว
เพราะหลี่มู่ยังมีชีวิตอยู่
ความขัดแย้งระหว่างหลี่มู่ที่สังหารผู้แข็งแกร่งไร้เทียมทานขั้นฟ้าประทานได้ในหมัดเดียวกับโรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์ไม่อาจปรับความเข้าใจเข้ากันได้อีกแล้ว ตอนนี้หากใครยังกล้าแสดงท่าทีใกล้ชิดสนิทสนมกับจางเฉิงเฟิง นอกจากเป็นรักแท้แล้ว ก็ต้องเป็นพวกสมองถูกลาเตะแน่
จางเฉิงเฟิงก่อนหน้ายังเนื้อหอม ตอนนี้กลายเป็นตัวซวยที่ใครๆ ต่างพากันหนีแทบไม่ทัน
เหล่าศิษย์โรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์ที่เคยลิงโลด ยามนี้เหมือนมะเขือมีเกล็ดน้ำแข็งเกาะ ห่อเหี่ยวกันไปหมด ก้มหน้าก้มตาถอยไปหลบตามหลืบมุม ฝูงชน หรือเงามืดอยู่เงียบๆ ด้วยกลัวใครจะสังเกตเห็น ลูกศิษย์ที่หัวไวบางคนยิ่งถอดเกราะสีแดงเพลิงบนร่างทิ้ง แล้วเดินออกไปจากโรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์
ต้นไม้ล้ม ฝูงลิงค่างต่างหนี
จากศึกครั้งนี้ ความตกต่ำของโรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์ถูกกำหนดไว้แล้ว
จางเฉิงเฟิงหน้าตาตื่นตกใจและซึมเซา สายตามองไปทันใด พลังทั่วร่างเหมือนโดนสูบออกไปจนหมด โซเซโงนเงนจนเกือบล้มอยู่บนเวทีชมการประลอง แต่ในเวลานี้กลับไม่มีใครมาพยุงเขาเลยสักคน
ตำแหน่งที่นั่งของผู้อาวุโสโรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์ว่างโล่ง ผู้อาวุโสเหล่านั้นไม่รู้ว่าเผ่นหนีไปตั้งแต่เมื่อไหร่
ลมเย็นพัดมา จางเฉิงเฟิงหัวไว
เขามองไปยังเจ้าเมืองหลี่กัง
เวลานี้มีเพียงท่านเจ้าเมืองเท่านั้นถึงจะปกป้องโรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์ได้
ในเมื่อเจ้าเมืองนั้นเป็นตัวแทนของอำนาจและความน่าเกรงขามของจักรวรรดิ หากเจ้าเมืองยอมเอ่ยปาก เช่นนั้นก็น่าจะบังคับหลี่มู่ได้กระมัง อย่างน้อยก็ปกป้องโรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์ไม่ให้โดนสังหารล้างบางได้
“ท่านเจ้าเมือง…” จางเฉิงเฟิงสีหน้าย่ำแย่กว่าร้องไห้เสียอีก หันหน้ามายังหลี่กัง คิดจะทำความเคารพ
หลี่กังลุกยืน ท่วงท่าของชายผู้งดงามเฉิดฉาย บุคลิกอบอุ่นอ่อนโยน หัวเราะก่อนกล่าว “หัวหน้าโรงฝึกจาง ข้อเสนอที่ท่านเอ่ยมาเมื่อครู่ ข้าคิดดูแล้วรู้สึกว่ามีเหตุผลมาก หากท่านยืนยันจะฆ่าสาวใช้ทั้งสอง ใช้หัวของพวกนางเซ่นบูชาบุตรชายของท่าน เช่นนั้นก็ไปเสียเถิด ข้าจะไม่แทรกแซงเด็ดขาด”
จางเฉิงเฟิงอึ้งไปทันใด
“ไม่ ท่านเจ้าเมือง ข้าจะกล้าได้อย่างไร…” เขาฝืนฉีกยิ้มออกมา คิดอยากจะพูดอะไรอีก
ทว่าหลี่กังกลับยืดตัวขึ้น และเดินลงไปจากเวทีชมการตอสู้ทันที “การต่อสู้ยุติลงแล้ว ข้ายังมีงานราชการอีก ขอตัวก่อน” ผู้ที่ปกครองเมืองฉางอันอย่างแท้จริงผู้นี้เดินลงไปโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามองโดยมีองครักษ์ติตตาม
จางเฉิงเฟิงตัวแข็งทื่ออยู่กับที่
ตอนนี้เขาถึงสัมผัสได้ว่าอะไรคือความสิ้นหวังที่แท้จริง
ในตอนนี้เองเขาถึงเพิ่งตระหนักได้ว่า การกระทำของตนก่อนหน้านี้ไร้สาระและโง่เง่าเพียงใด ถึงกับกล้าใช้คำพูดหาเรื่องหลี่กัง นี่ไม่ใช่การรนหาที่ตายหรืออย่างไร? ต่อให้สกุลจางมีขั้นฟ้าประทานปรากฏขึ้น ก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีสิทธิ์กระตุกหนวดเสือขุนนางที่มีอำนาจบริหารปกครองเต็มที่ผู้นี้ อย่างไรเสียจักรวรรดิฉินตะวันตกก็ไม่ได้มีขั้นฟ้าประทานแค่คนเดียว และในเมืองฉางอันไม่ได้มีขั้นฟ้าประทานแค่คนเดียวเช่นกัน ขุนนางที่กุมพลังขั้นฟ้าประทานเอาไว้น่ากลัวอย่างยิ่ง
น่าเสียดายที่ตอนนั้นเขาดีใจจนลืมตัว ถึงกับกล้าพูดแบบนั้นออกไป
ยามนี้จางเฉิงเฟิงสายเกินไปที่จะเสียใจแล้ว
เจิ้งฉุนเจี้ยนก็ตามหลังหลี่กังเดินลงไปจากเวที
ตอนนี้ในใจของเขาซับซ้อนมาก ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี
ทางเลือกที่เขาเลือกไปตอนแรกสุด เขาเลือกผิดไปแล้วใช่หรือไม่?
อีกทั้งพลังแท้จริงของหลี่มู่ไปถึงขั้นไหนแล้วกันแน่? ทำไมจึงมองไม่ออกขึ้นทุกที ต่อให้วันนี้มีขั้นฟ้าประทานอยู่ สุดท้ายแล้วก็เหมือนจะบีบให้เด็กหนุ่มนำไพ่ตายออกมาไม่ได้กระมัง?
“เจ้าอยู่ที่นี่” หลี่กังพลันหันมาพูดกับเจิ้งฉุนเจี้ยน
เจิ้งฉุนเจี้ยนอึ้งไปเล็กน้อย จากนั้นเข้าใจทันที ใต้เท้าเจ้าเมืองในที่สุดก็ตัดสินใจแสดงท่าทีที่เป็นมิตรแล้ว
คิดๆ ดูแล้วก็ใช่ ผู้ที่สังหารผู้แข็งแกร่งไร้พ่ายขั้นฟ้าประทานได้ในชั่วพริบตา ทั้งยังมีความสัมพันธ์ทางสายเลือดด้วย หากไม่ดึงมาเป็นพวกเช่นนั้นก็โง่แล้ว ถึงอย่างไรก็เป็นพ่อลูกกัน จะมีความแค้นอะไรที่แก้ไขไม่ได้เล่า ความสัมพันธ์ทางสายเลือดใช่ว่าจะตบมือสามครั้งก็ตัดขาดกันได้จริงๆ เสียที่ไหน?
“ใต้เท้าโปรดวางใจ” เจิ้งฉุนเจี้ยนเอ่ยพร้อมทำความเคารพ
“น้อมส่งใต้เท้า”
“น้อมส่งท่านเจ้าเมือง”
ไช่จือเจี๋ย โจวอีหลิง และขุนนางยอดฝีมือคนอื่นๆ ต่างทำคารวะน้อมส่ง
……
บนป้ายโรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์
เงาร่างของผู้ชมที่กินแตงโมแทะเมล็ดแตงโมทั้งสองคนราวโดนฟ้าผ่า
“ข้าไม่ได้ฝันไปใช่ไหม?” เทพพยากรณ์อึ้งตะลึง พูดกับหัวหน้าโรงฝึกยุทธ์พลังพายุที่อยู่ข้างๆ “ลูกพี่ ท่านชกข้าหน่อย ดูสิว่าเจ็บหรือไม่”
ผัวะ!
หัวหน้าโรงฝึกยุทธ์พลังพายุชกออกไป เทพพยากรณ์ลอยกระเด็น กลายเป็นจุดดำหายลับไปที่ไกลๆ
“ท่าทางจะไม่ใช่ฝัน” หัวหน้าโรงฝึกยุทธ์เหวี่ยงหมัดของตน “สัมผัสเหมือนจริงมาก สวรรค์ มู่มู่น้อยสังหารธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์ที่เพิ่งทะลวงขั้นฟ้าประทานจริงๆ…ไม่สนแล้ว ต่อให้ต้องพลีกายก็จะต้องดึงมู่มู่น้อยมาเป็นพวกให้ได้”
“หลี่มู่กลายเป็นมู่มู่น้อยตั้งแต่เมื่อใดกัน?” เทพพยากรณ์ที่หน้าบวมจมูกเขียวปรากฏขึ้นข้างกายนางราวภูตผี
เขากลับมาแล้ว
หัวหน้าโรงฝึกยุทธ์พลังพายุถลึงตามอง “ใช่เรื่องอะไรของเจ้า?”
“อ๊ะ ท่าทางแบบนี้…” เทพพยากรณ์ลูบคาง “หรือว่าท่านสองคนจะมีลับลมคมในอะไรกัน? ไม่สิ ปกติท่านมักจะเที่ยวหอนางโลมนี่นา โรงฝึกยุทธ์พลังพายุเราจนกรอบก็เพราะท่านเที่ยวหอนางโลม ลูกพี่ชอบผู้หญิง สนใจผู้ชายด้วยตั้งแต่เมื่อใด?”
ผัวะ!
เขาถูกชกปลิวไปอีกแล้ว
“แล้วข้าจะกลับมาอีก”
เสียงลากยาวของเทพพยากรณ์ดังมากลางอากาศ
……
ตอนนี้ ในที่สุดผู้ชมในสนามประลองก็ตั้งตัวได้
ตอนแรกเหมือนสายน้ำไหลเร็วรี่ จากนั้นเหมือนแม่น้ำไหลบ่า สุดท้ายกลายเป็นคลื่นถาโถมในมหาสมุทร เสียงตกตะลึง กรีดร้อง และโห่ยินดีต่างๆ นับไม่ถ้วน…เสียงคนนับหมื่นจากเงียบงันกลับดังขึ้น จากเสียงเบากลายเป็นฮือฮา เพียงชั่วเวลาสั้นๆ แค่สิบกว่าอึดใจก็ดังเกรียวกราวไปทั่วสนาม
“สวรรค์ ข้าต้องฝันไปแน่นอน”
“ไม่มีทาง นี่ไม่มีทาง เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด”
“เหตุใดผู้แข็งแกร่งไร้พ่ายขั้นฟ้าประทานจึงแพ้ได้?”
“ผู้แข็งแกร่งไร้พ่ายที่ฝึกฝนพลังฟ้าประทานเสี้ยวหนึ่งได้ เมื่ออยู่ภายใต้หมัดของยอดปรมาจารย์หนุ่มหลี่มู่กลับรับไม่ได้แม้กระบวนท่าเดียว”
“เจ้าโง่หรือไร ยังเรียกยอดปรมาจารย์หนุ่มหลี่มู่อีก ยอดปรมาจารย์สังหารขั้นฟ้าประทานได้ในชั่วพริบตารึ? หลี่มู่จะต้องซ่อนพลังไว้แน่นอน เขาเป็นผู้แข็งแกร่งไร้พ่ายขั้นฟ้าประทานตั้งนานแล้ว”
“มิน่าเล่า เหตุการณ์ทุกอย่างในเวทีประลอง ต่อให้ธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์เลื่อนขั้นสู่ฟ้าประทาน ฝึกปราณแท้ฟ้าประทานได้ ตั้งแต่ต้นเขาก็ไม่ลนลานใดๆ เลย ที่แท้ทุกอย่างอยู่ในการควบคุมของเขาแล้ว”
คำวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ ดังอื้ออึงขึ้นทั้งสนาม
เหลยอินอินสาวกที่ก่อนหน้านี้ตะโกนเสียงดังที่สุด ตอนนี้กลับไม่พูดอะไร
ก่อนหน้านี้นางตะโกนให้กำลังใจ ต่อให้เป็นยามที่คนอื่นไม่คาดหวังในตัวหลี่มู่ถึงเพียงใด นางก็ไม่โอนอ่อนและท้อใจเลย ตอนนี้เสียงแหบเสียงแห้ง คอแสบราวกับมีไฟเผา
แต่สาวน้อยก็เหมือนยังไม่รู้สึก
นางมองร่างเปลือยท่อนบนที่ยืนอยู่นิ่งๆ บนซากเวทีประลองอย่างเหม่อลอย จู่ๆ ในใจก็ไม่ได้ตื่นเต้นดีใจเท่าไหร่ นางพลันรู้สึกว่าเขาทำทุกอย่างนี้ได้ อันที่จริงสำหรับยอดปรมาจารย์รุ่นเยาว์แล้วก็เป็นเรื่องสมเหตุสมผล สำเร็จตามเงื่อนไข ไม่ใช่ปาฏิหาริย์ที่ควรค่าให้ตื่นเต้นอะไร
เพราะเดิมเขาก็คือยอดปรมาจารย์รุ่นเยาว์ที่เป็นตัวแทนของปาฏิหาริย์ในใจของนางนี่
ต่อให้สังหารขั้นฟ้าประทานได้ในชั่วพริบตา ก็เป็นยอดปรมาจารย์รุ่นเยาว์คนนั้น
เป็นยอดปรมาจารย์หนุ่มน้อยตลอดกาล
นั่นเป็นตำนานแล้วแน่นอน
……
หลี่มู่เหมือนกำลังเหม่อลอย ยืนอยู่บนก้อนหินแตกก้อนหนึ่ง สัมผัสอย่างละเอียดสักครู่ ทบทวนเหตุการณ์ทั้งหมดในการต่อสู้วันนี้ นี่ถึงจะนับว่าจบสิ้นศึกนี้อย่างสมบูรณ์
ใส่เสื้อก่อนจะดีกว่า
เขากระโดดลงมาจากก้อนหินไปยังฝูงชน
“ม้าว…” เสือดาวเบญจมาศคำรามเสียงต่ำ เดินมาด้านหน้าหลี่มู่ราวสายฟ้า แล้วใช้หัวคลอเคลียแขนของเขาอย่างสนิทสนม เชื่องปานแมวบ้านตัวหนึ่ง
“ฮ่าๆ” หลี่มู่ลูบหัวของมัน คลอเคลียเสือดาวตามกิจวัตรประจำวัน
ฝูงชนแตกตื่นวุ่นวาย
หลายคนเบียดเข้ามาหา ใบหน้ามีรอยยิ้มประจบ ต่างลืมไปแล้วว่าไม่นานก่อนหน้านี้พวกเขายังประจบโรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์ ตะโกนให้กำลังใจธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์ ทั้งยังหัวเราะเยาะ เสียดสีหลี่มู่
“ใต้เท้าหลี่…”
“ข้าคือผู้คุมกฎของพรรคเงินตราเขตตะวันออก ใต้เท้าหลี่พลังไร้เทียมทาน…”
“ข้าน้อยได้ยินชื่อเสียงของใต้เท้าหลี่มานาน เป็นผู้เลื่อมใสชื่นชมที่ซื่อสัตย์ที่สุดของท่านมาโดยตลอด…”
“ข้าอ่านบทกวีของใต้เท้าทั้งวันทั้งคืน ใต้เท้ารับข้าเป็นศิษย์ได้หรือไม่?”
คนแต่ละคนที่ทั้งดีใจและตื่นเต้น เบียดกันมาหาหลี่มู่ด้วยใบหน้าแฝงด้วยอารมณ์ต่างกัน
แน่นอนว่าไม่กล้าเบียดใกล้มากเกินแล้วไปปะทะกับความน่าเกรงขามของหลี่มู่เข้า ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนที่สังหารขั้นฟ้าประทาน เท่ากับเป็นขั้นฟ้าประทานแล้ว…
แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ กลุ่มคนที่ตื่นเต้นและบ้าคลั่งกลับเบียดพวกเหลยอินอินและเหล่านักเรียนของสำนักบัณฑิตเสียงวิหคสวรรค์ไปข้างหลังจนขาแทบลอยจากพื้น หลายคนร้อนใจจนแทบเต้นแต่ก็ทำอะไรไม่ได้
“ทุกท่าน หลีกทางหน่อย” หลี่มู่ยิ้มพูด รักษาท่าทีชนะไม่ลำพองแพ้ไม่ท้อถอยเอาไว้ เวลานี้ย่อมเป็นโอกาสดีที่สุดที่จะวางมาดสร้างชื่อเสียง
ฝูงชนหลีกทางให้
หลี่มู่มาถึงเบื้องหน้าของเหลยอินอินผู้เป็นแฟนคลับ ยิ้มเอ่ยว่า “สู้เสร็จแล้ว นับว่าราบรื่นดี ฮ่าๆ ขอบคุณที่ช่วยเก็บเสื้อให้ข้า” หลี่มู่ทักทายราวกับสหายเก่า เขาที่สุดท้ายสังหารขั้นฟ้าประทานได้ในชั่วพริบตา รอยยิ้มไม่เปลี่ยนไปจากเด็กหนุ่มแปลกหน้าที่คุยโม้อย่างบ้าคลั่งกับเหลยอินอินก่อนการต่อสู้เลยแม้แต่นิดเดียว
…………………