ภาค 2 ไร้เทียมทานเย้ยยุทธจักร บทที่ 179 ตำราลับมาถึงมือ

จอมศาสตราพลิกดารา

ในใจเหลยอินอินตื่นเต้นสุดขีด

 

ยามหลี่มู่มายืนอยู่เบื้องหน้านาง ในสมองของนางว่างเปล่า กระทั่งว่าลืมหายใจด้วยซ้ำ

 

“หา?” ครั้นนางตั้งตัวกลับมาได้ก็รีบยื่นเสื้อในมือออกไป เดิมทีคิดว่าจะพูดอะไรแต่ลืมจนหมดสิ้น

 

หลี่มู่ยิ้มตบไหล่ของนาง พูดล้อเล่นว่า “เป็นอย่างไร ไม่ได้ทำให้เจ้าผิดหวังกระมัง?”

 

เหลยอินอินร้องขึ้นอีกครั้ง ประสานกับสายตายิ้มอบอุ่นของหลี่มู่โดยไม่รู้ตัว ไม่รู้ทำไม นางพลันไม่ตื่นเต้นอีกแล้ว พูดโพล่งออกไป “พอใช้ได้ พอได้กระมัง” พูดจบนางก็เสียใจ ทำไมถึงพูดจาอวดดีออกไปราวผีสิงแบบนี้

 

เพื่อนนักเรียนหลายคนข้างกายนางต่างร้อนใจ

 

เหลยอินอินเป็นบ้าไปแล้วกระมัง กล้าพูดจากับใต้เท้าท่านนี้แบบนั้น

 

ผู้ที่เป็นขั้นฟ้าประทาน สามารถเรียกว่าใต้เท้าได้แล้ว

 

หลี่มู่หัวเราะลั่นขึ้นมา

 

“ก็ได้ งั้นครั้งหน้าข้าจะทำให้ดี” เขาพูดยิ้มๆ “ในวันข้างหน้าถ้าเจอเรื่องลำบากอะไรก็มาหาข้าได้”

 

เมื่อได้ยินเช่นนี้ เหลยอินอินอึ้งไปอีกครั้ง

 

ส่วนคนอื่นๆ รอบกายต่างมองสาวน้อยคนนี้อย่างอิจฉาตาร้อน

 

เพราะเหตุการณ์ในศึกประลอง ชูธงตะโกนสามสี่ประโยค ก็ได้มิตรภาพจากผู้แข็งแกร่งไร้เทียมทานที่สังหารขั้นฟ้าประทานได้ อีกทั้งยังเอ่ยปากให้คำสัญญา นี่มันช่างเป็นโชคพลิกชะตาจริงๆ รู้อย่างนี้ตอนที่ประลองพวกเขาช่วยตะโกนให้หลี่มู่ดีกว่า เช่นนั้นตอนนี้ไม่แน่ว่าพวกเขาอาจจะได้มิตรภาพของเด็กหนุ่มเช่นกัน

 

แต่คิดกลับไปอีกที พวกเขากล้าหรือไม่?

 

ธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์เลื่อนขั้นสู่ขั้นฟ้าประทาน ใครต่างก็คิดว่าเขาต้องเป็นผู้ชนะแน่นอน ภายใต้เงื่อนไขเช่นนี้พวกเขากล้าให้กำลังใจหลี่มู่ที่ ‘ตายแน่’ เสียที่ไหนกัน? ในนี้มีผลประโยชน์พัวพันอยู่ด้วยย มีแค่สาวกไร้สมองแบบเหลยอินอินเท่านั้นถึงจะกล้าตะโกนสุดเสียงอย่างไม่เกรงกลัวอะไรและไม่หวังอะไร

 

นี่คือสิ่งที่นางควรได้รับแล้ว

 

คำพูดประโยคเดียวจากผู้แข็งแกร่งขั้นฟ้าประทานสามารถทำให้ตระกูลเล็กๆ รุ่งเรือง สามารถปกป้องคนคนหนึ่งไปชั่วชีวิต

 

ได้รับคำสัญญาจากบุคคลเช่นนี้ นับเป็นโชคถึงขนาดไหนกัน

 

หลายคนลอบวางแผนในใจเรียบร้อย หากไม่อาจคบค้ากับบุคคลยิ่งใหญ่อย่างหลี่มู่ได้ สร้างสัมพันธ์กับบัณฑิตสาวของสำนักบัณฑิตเสียงวิหคสวรรค์ไว้ก็เป็นทางเลือกที่ไม่เลว เท่ากับมีความสัมพันธ์กับหลี่มู่แบบอ้อมๆ

 

หลี่มู่มองไปยังสหายทั้งหลายของเหลยอินอิน หัวเราะและพูดขึ้นว่า “ขอบคุณพวกเจ้าด้วย”

 

เหล่าคนหนุ่มสาวต่างดีอกดีใจ

 

หลี่มู่พูดจบ ก็สวมเสื้อคลุมตัวนอกแล้วเดินลงไปจากเวทีชมการประลอง

 

และในตอนนี้ ผู้ชมบนเวทีชมการประลองก็ไม่กล้าเมินเฉย ลงจากเวทีมาต้อนรับหลี่มู่อย่างนอบน้อม

 

เจ้าเมืองหลี่กังจากไปก่อนแล้ว คนที่เหลือ นอกจากผู้แข็งแกร่งขั้นฟ้าประทาน ในยามนี้ก็ไม่มีใครกล้าอวดดีต่อหน้าหลี่มู่ ส่วนผู้แข็งแกร่งขั้นฟ้าประทานที่แท้จริงแน่นอนว่าไม่สนใจการต่อสู้ระหว่างยอดปรมาจารย์ทั้งสอง ดังนั้นไม่มีทางมาปรากฏตัวบนเวทีประลองวันนี้แน่ ในบรรดาผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายอย่างมากก็เป็นขั้นยอดปรมาจารย์สามสี่คนเท่านั้น ในตอนนี้เผชิญหน้ากับหลี่มู่ต้องก้มหัวให้หลายส่วน

 

“ขุนนางเมืองหลี่ ยินดีด้วย” ร่างราวเจดีย์เหล็กของไช่จือเจี๋ยเดินมา

 

หลี่มู่เอ่ย “ก็แค่การต่อสู้ทั่วไปเท่านั้น มีอะไรน่ายินดีกัน”

 

ไช่จือเจี๋ย โจวอีหลิง และคนอื่นๆ หลังจากอึ้งไปก็หัวเราะออกมา

 

มนุษย์ล้วนเกลียดชังคนอวดดี แต่หากคนที่มีความสามารถจริงอวดดีกลับรู้สึกว่าสมเหตุสมผลแล้ว

 

หลี่มู่คือคนที่ไม่ว่าจะอวดดีอย่างไรก็สมเหตุสมผลอย่างไม่ต้องสงสัย

 

“คุณชาย” เจิ้งฉุนเจี้ยนก็ทำความเคารพเช่นกัน

 

หลี่มู่พยักหน้าให้

 

แล้วยังมีคนบางคนที่รู้จักบ้างไม่รู้จักบ้างล้วนมาทักทาย ส่วนใหญ่เป็นคนใหญ่คนโตมีหน้ามีตาอยู่บ้างในเมืองฉางอัน แนวหน้าด้านการเมืองการปกครอง พ่อค้าคหบดี เจิ้งฉุนเจี้ยนแนะนำให้หลี่มู่รู้จักทีละคน หลี่มู่ไม่สนใจอยากคบค้ากับคนพวกนี้เท่าไหร่ ทักทายไปอย่างนั้น

 

มีแค่ตอนที่แนะนำให้รู้จักกับขุนพลใหญ่หนิงหรูซาน แล้วหลี่มู่เห็นคู่สามีภรรยาหนิงจิ้งและตงเสวี่ยที่อยู่ข้างหลังหนิงหรูซาน ถึงได้เผยรอยยิ้มและทักทายก่อนเลย

 

หนิงหรูซานได้เห็นก็รู้แล้วว่าวันนี้พาบุตรอนุออกมาชมการต่อสู้นับว่าทำถูกแล้ว อีกทั้งยังเก็บเกี่ยวอะไรไปได้อย่างมหาศาล แต่เดิมคิดว่าหลี่มู่ก็แค่ยอดปรมาจารย์ คิดไม่ถึงว่าตอนนี้เด็กหนุ่มจะสังหารได้กระทั่งขั้นฟ้าประทาน เป็นเรื่องน่ายินดีที่ไม่คาดคิดโดยแท้

 

เจิ้งฉุนเจี้ยนพูดถึงความขัดแย้งระหว่างศึกประลองของหนิงหรูซานและจางเฉิงเฟิงโดยไม่พลาดโอกาส ซ้ำพูดเพื่อหนิงหรูซานหลายประโยค

 

“คารวะขุนพลหนิง” หลี่มู่ทักทายเช่นกัน

 

หนิงหรูซานยิ้มแย้ม “วีรบุรุษฉายแววแต่วัยเยาว์”

 

สุดท้าย สายตาของหลี่มู่ก็หยุดลงที่ ‘กระบี่เบิกฟ้า’ จางเฉิงเฟิง

 

จางเฉิงเฟิงตอนนี้ยังจะมีท่าทางจิตใจฮึกเหิมกำแหงอวดดีแบบก่อนหน้าเสียที่ไหน หน้างอคอตกเหมือนมะเขือมีน้ำค้างแข็งเกาะ เขารู้ว่าหลังผ่านศึกครั้งนี้โรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์เคราะห์ร้ายมากกว่าดี แต่เขาก็ไม่กล้าหนีไป เพราะหนีไม่รอดเช่นกัน ด้วยชื่อเสียงและตำแหน่งที่หลี่มู่สร้างขึ้นมาจากศึกนี้ ขอแค่หลี่มู่อยากหาตัวเขา เกรงว่าทางการต้องช่วยเด็กหนุ่มแน่นอน

 

“ขุนนางเมืองหลี่ โรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์…แพ้แล้ว” จางเฉิงเฟิงเอ่ยด้วยสีหน้าน่าสังเวช “นับจากวันนี้เป็นต้นไป สกุลจางของข้า…ไม่กล้าเป็นศัตรูกับท่านอีกแล้ว ทุกที่ที่ขุนนางเมืองไป สกุลจางยินดีหลีกทางให้ ขุนนางเมืองหลี่โปรดยั้งมือ อย่าได้สังหารล้างบางเลย”

 

หลี่มู่หัวเราะเสียงเย็น

 

ตอนนี้มาแสดงบทน่าสงสาร?

 

เมื่อครู่ยังมีความคิดชั่วร้าย คิดจะสังหารชุนเฉ่าและเซี่ยจวี๋อย่างไม่ลดราวาศอกอยู่เลย คนแบบนี้ปล่อยไปไม่ได้

 

หลี่มู่ชกออกไปหมัดหนึ่ง โจมตีจนจางเฉิงเฟิงลอยออกไป ทำลายกำลังภายในที่เขาลำบากฝึกมา

 

“เจ้า…อำมหิตยิ่งนัก” จางเฉิงเฟิงกระอักเลือด อ่อนเปลี้ยไร้กำลัง มองหลี่มู่ด้วยสายตาเคียดแค้นอาฆาต

 

“ทุกอย่างในวันนี้เป็นเจ้าที่หาเรื่องใส่ตัวเอง ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องใช้คนหรือสัตว์เป็นๆ ฝึกกระบี่ วันนั้นข้าสังหารจางชุยเสวี่ยเพราะมันฆ่าชิวอี้ลูกบุญธรรมของมารดาข้า ชีวิตชดใช้ด้วยชีวิต ไม่ได้มีใจคิดจะสืบสาวราวเรื่อง เจ้ากลับไม่รู้สำนึก ยุยงธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์ให้นัดท้าประลอง ทั้งยิ่งคิดจะสังหารชุนเฉ่ากับเซี่ยจวี๋อีก ลองคิดดู หากวันนี้ข้าแพ้ มิตรสหายของข้าจะลงเอยอย่างไร? หากพูดว่าเหี้ยมโหด ข้าก็สู้เจ้าไม่ได้ หากเจ้ายังไม่ยอมอีก ก็ใช่ว่าข้าจะไม่เคยฆ่าคน”

 

จางเฉิงเฟิงก้มหน้าลง ไม่กล้าพูดอะไรอีกแม้แต่ประโยคเดียว

 

เขากลัวตาย

 

ตายแล้วก็ไม่เหลืออะไร

 

หลี่มู่ยื่นมืออกมา ก่อนจะเอ่ย “ตำราลับ ‘กระบี่สวรรค์สิบหกท่า’ เอามาเสีย”

 

ก่อนหน้านี้ หลี่มู่ซัดธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์กลายเป็นผุยผงในหมัดเดียว ตำรากระบี่ในร่างของเขาก็หายไปเช่นกัน ดังนั้นจึงได้แค่เค้นเอาจากจางเฉิงเฟิงแล้ว

 

จางเฉิงเฟิงล้วงเอาตำราลับจากอกแล้วยื่นออกไป

 

หลี่มู่เปิดอ่านดู เนื้อหาข้างในเป็น ‘กระบี่สวรรค์สิบหกท่า’ ไม่ผิดแน่ จึงพยักหน้าแล้วเก็บเอาไว้

 

เวลานี้ โจวเต๋อเต้าแห่งสมาพันธ์การค้าสมบูรณ์ผลเผยยิ้มประจบเอาใจ “ขุนนางเมืองหลี่ ข้าเตรียมเงินหนึ่งล้านตำลึงทองเอาไว้แล้ว จะสั่งให้คนนำไปให้ที่ตรอกไล่หมู่เดี๋ยวนี้เลย ขุนนางเมืองหลี่ ลูกชายข้า…”

 

หลี่มู่ตัดบทอย่างไร้จิตใจ “หนึ่งล้านตำลึงทอง? ประธานโจว เกรงว่าเจ้าจะจำผิดแล้วกระมัง ทำไมข้าถึงจำได้ว่าเป็นหนึ่งล้านห้าแสนตำลึงทองเล่า?”

 

“หา?” โจวเต๋อเต้าอึ้ง จากนั้นเอ่ยขึ้นอย่างร้อนรน “ขุนนางเมือง แต่ท่านพูดว่าหนึ่งล้านตำลึงทองชัดๆ ท่านรับปากข้าแล้วว่ายืดเวลาออกไปได้ ข้า…”

 

“เหอะๆ แผนของเจ้าคิดว่าข้าไม่รู้หรือ?” หลี่มู่บอก “ข้าตกลงรับปากยืดเวลาออกไปได้ แต่ยืดเวลาใช่ว่าจะยืดออกไปได้เฉยๆ ต้องการชีวิตลูกชายเจ้าหรือเงิน เจ้าเลือกเอาเองก็แล้วกัน”

 

หลี่มู่ขี้เกียจจะพูดกับคนถ่อยแบบนี้ให้มากความอีก

 

“ขุนนางเมืองหลี่อายุน้อยสง่างาม ชวนให้คนนับถือ” ชายแก่ผมบางฟันเหลืองทั้งปากหน้าตาอัปลักษณ์รุดหน้าขึ้นมา หัวเราะพูดขึ้น “ข้า คณะเจ้าสำนักบัณฑิตเสียงวิหคสวรรค์ชวีจิ่วเกอ หลายวันก่อนหน้านี้อาจารย์สำนักบัณฑิตของข้าเจี่ยจั้วเหรินโป้ปดมดเท็จ ถูกขุนนางเมืองหลี่ลงโทษ ข้าละอายใจนัก ได้ยินว่าขุนนางเมืองหลี่อยากมา ‘คลังคัมภีร์เสียงวิหคสวรรค์’ ข้าก็ยินดีต้อนรับ ฮ่าๆ นับจากวันนี้ไป ประตูของ ‘คลังคัมภีร์เสียงวิหคสวรรค์’ เปิดรอต้อนรับท่านตลอด ท่านสามารถมาได้ทุกเมื่อ”

 

มีคำกล่าวไว้ว่าไม่ลงมือกับผู้ที่หยิบยื่นไมตรีให้ หลี่มู่เห็นเจ้าสำนักบัณฑิตเสียงวิหคสวรรค์พูดจนถึงขั้นนี้แล้ว ก็ไม่รู้จะพูดอะไรอีก เอ่ยไปว่า “เช่นนั้นต้องขอบคุณเจ้าสำนักชวีแล้ว”

 

“ฮ่าๆ ไม่มีปัญหา” ชวีจิ่วเกอพูดพลางยิ้มยิงฟันเหลืองทั้งปาก

 

ผู้อื่นเห็นท่าทางอัปลักษณ์ของเขาก็ต่างส่ายหัวในใจ ชวีจิ่วเกอเคยเป็นชายรูปงามแห่งยุค งดงามเลื่องลือทั่วฉางอัน ระหว่างนั้นเกิดอะไรขึ้นถึงให้เขากลายเป็นแบบนี้ไปได้

 

ส่วนเจ้าสำนักบัณฑิตเขาเหมันต์เถี่ยจ้านที่อยู่ข้างๆ มีสีหน้ากระอักกระอ่วน

 

เขาก็อยากเลียนแบบชวีจิ่วเกอ เปลี่ยนศัตรูให้เป็นมิตร แต่เขาส่ง ‘เทียบเชิญศิษย์เก่าสำนักบัณฑิตเขาเหมันต์’ ออกไปแล้วอย่างเอิกเกริก ออกตัวว่าจะปะทะกับหลี่มู่ซึ่งหน้าหลายต่อหลายครั้ง ตอนนี้จะเสนอหน้าได้อย่างไร?

 

อีกทั้งตอนนี้เขาก็ไม่รู้ว่างานเลี้ยงศิษย์เก่าเขาเหมันต์ที่ว่าครั้งนี้จะจบอย่างไร

 

หากหลี่มู่เป็นแค่ขั้นยอดปรมาจารย์ เช่นนั้นสำนักบัณฑิตเขาเหมันต์ยังพอต่อกรได้ แต่ตอนนี้หลี่มู่เป็นตัวประหลาดที่สามารถสังหารขั้นฟ้าประทานได้ในชั่วพริบตา สำนักบัณฑิตเขาเหมันต์ไม่มีสิทธิ์ที่จะต่อกรกับเขาเลย พวกเขาท่าดีทีเหลว กลายเป็นตัวตลกของเมืองฉางอันแล้วแน่นอน

 

หลี่มู่ไม่ได้สังเกตเห็นเถี่ยจ้านเลย

 

เมื่อได้ตำราลับมาเขาก็เตรียมตัวจากไป จู่ๆ ก็พลันนึกอะไรขึ้นได้ จึงประสานมือต่อฝูงชน เอ่ยขึ้นว่า “ทุกท่าน ข้ามีเรื่องหนึ่งอยากจะขอให้ทุกท่านช่วย หากใครทำได้ข้าจะตอบแทนอย่างงาม หรือยินดีที่จะช่วยเหลือครั้งหนึ่ง ไม่ทราบว่าทุกท่านคิดเห็นอย่างไร?”

 

เมื่อทุกคนได้ฟัง จิตใจก็ต่างสั่นไหว

 

นี่คือโอกาสครั้งหนึ่ง

 

“ขุนนางเมืองหลี่โปรดกล่าวมา”

 

“ฮ่าๆ ได้รับใช้ขุนนางเมืองหลี่ถือเป็นเกียรติของพวกเรา”

 

“ขุนนางเมืองหลี่โปรดบัญชา ข้าน้อยจะทุ่มสุดกำลังแน่นอน”

 

สีหน้าท่าทางของเหล่าผู้ยิ่งใหญ่กระตือรือร้นกันมาก

 

หลี่มู่เอ่ย “ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร สาวใช้ข้าชื่อหมิงเยวี่ย ช่วงก่อนหน้านี้ถูกขอทานเฒ่าที่เรียกตัวเองว่าจั่วลู่อี้ลักพาตัวไป ข้าตามหานางแต่ก็ไม่มีวี่แวว หากทุกท่านช่วยข้าตามหาสาวใช้คนนี้กลับมาได้ ข้าจะตอบแทนอย่างงามแน่นอน”

 

ตามหาคน?

 

เรื่องนี้ง่ายนัก

 

“ขุนนางเมืองโปรดวางใจ จะต้องทุ่มแรงหาสุดกำลังแน่นอน”

 

“ฮ่าๆ พรรคท่องแดนเซียนหูไวตาไว หาคนเรื่องนี้ไม่ยาก ขอแค่นางยังอยู่ในเมืองฉางอัน จะต้องหาเจอแน่”

 

ทุกคนได้ยินแล้วต่างรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ยากเย็น การหาคนสำหรับพวกเขาแล้วง่ายเหลือหลาย จึงต่างตกปากรับคำ ได้มิตรภาพและคำสัญญาจากผู้แข็งแกร่งไร้พ่ายขั้นฟ้าประทานมาง่ายดายเช่นนี้ ช่างเป็นโอกาสที่หายากยิ่ง

 

หลี่มู่บรรยายหน้าตาของหมิงเยวี่ยกับขอทานเฒ่า แล้วเสริมขึ้นอีกประโยค “ใช่แล้ว ข้างกายขอทานเฒ่านั่นยังมีหมาอ้วนสีน้ำตาลอยู่อีกตัวหนึ่ง ตัวล่ำสันนัก”

 

พูดจบก็ขอตัวลา

 

หลังออกจากโรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์ หลี่มู่ขี่ม้าโดยมีเจิ้งฉุนเจี้ยนตามอยู่ข้างหลัง

 

จะแก้ไขความสัมพันธ์ระหว่างหลี่มู่และหลี่กังอย่างไร เจิ้งฉุนเจี้ยนยังไม่แน่ใจ เขากำลังขบคิดหาวิธี

 

“ข้าน้อยส่งคนไปแจ้งฮูหยินที่ตรอกไล่หมูแล้ว” เจิ้งฉุนเจี้ยนรายงาน

 

หลี่มู่พยักหน้า พูดขึ้นว่า “ก็ดี ในเมื่อเป็นเช่นนี้ยังไม่กลับไปแล้วกัน ไปหน่วยเลี้ยงรับรองเลย”

 

เขาอยากจะไปเจอฮวาเสี่ยงหรงสักหน่อย

 

……………………