ตอนที่ 238 เจ้าพ่อกำลังมา! อยู่นิ่งไม่ได้แล้ว!

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

“เธอมองฉันทำไม?” กู้ซีฉือเลิกคิ้วถามอย่างใคร่รู้

 

 

ขณะที่รถยนต์เคลื่อนที่เข้าสู่คฤหาสน์อย่างช้าๆ

 

 

ไม่นานหลังจากนั้นเวลาได้ล่วงเลยมาถึงหนึ่งทุ่ม ท้องฟ้ามืดครึ้มแต่หัววัน

 

 

กู้ซีฉือที่นอนไม่เต็มอิ่มมาหลายวัน ตลอดทางก็อยู่ในอาการง่วงซึม ไม่ได้สนใจมองเส้นทางด้านนอก

 

 

เมื่อมาถึงที่หมายก็ถูกเจียงตงเยี่ยสะกิดเรียก

 

 

“ไม่มีอะไร” ฉินหร่านละสายตา ยื่นมือปลดสายรัดเข็มขัด ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงคลุมเครือ “เชิญตามสบาย”

 

 

กู้ซีฉือรู้สึกว่าฉินหร่านมีท่าทีที่แปลกจากเดิม แต่ในตอนนั้นก็ดูไม่ออกว่ามีอะไรไม่ถูกต้อง “เสี่ยวหร่าน บ้านของรุ่นพี่มีห้องพอสำหรับพวกเราไหม?”

 

 

“ก็พอมีนะ พอให้พวกพี่อยู่พอดี” ฉินหร่านกระแอมทีหนึ่ง

 

 

เมื่อได้ยินฉินหร่านพูดแบบนี้ กู้ซีฉือก็พยักหน้าตอบรับ “มีที่พักพอก็ดีแล้ว”

 

 

ระหว่างสนทนากัน รถยนต์ได้เคลื่อนที่เข้าสู่คฤหาสน์ด้านใน ในขณะที่ทุกคนกำลังเตรียมตัวลงจากรถ

 

 

รถเพิ่งหยุดจอด ก็มีเด็กรับใช้เดินเข้ามารับกุญแจรถกับเฉิงเจวี้ยน ก่อนนำรถของเขาไปจอดในโรงรถ

 

 

วิสัยทัศน์ด้านในรถมองออกไปไม่ชัดเจนนัก

 

 

แต่กู้ซีฉือรู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่า เฉิงเจวี้ยนน่าจะซื้อบ้านสไตล์ตะวันตกหลังเล็กๆ ไว้ที่นี่ ตามสไตล์ที่มีระดับของเขา ไม่แน่ว่าอาจจะมีแปลงสวนดอกไม้ด้วย

 

 

หลังจากลงจากรถก็ได้เห็นคฤหาสน์ที่ไม่คาดฝันไว้ ทั้งยังมีถนนปูนซีเมนต์ราดยาวขนาดใหญ่อยู่หลายเส้น

 

 

ถึงแม้จะเป็นช่วงเย็น แต่ดวงไฟในคฤหาสน์กลับสว่างไสว ทั้งได้ยินเสียงร้องตะโกนและเสียงต้อนรับจากคนรับใช้และบอดี้การ์ดที่กำลังมุ่งหน้ามาทางนี้

 

 

กู้ซีฉือและเจียงตงเยี่ยล้วนพบเจอสถานที่มากหน้าหลายตามาก่อน แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่ก็อดไม่ได้ที่ทั้งสองจะตกตะลึงกับปราสาทและหอคอยเก่าแก่

 

 

“ไปเถอะ” ฉินหร่านสวมเสื้อโค้ตเสร็จสรรพ

 

 

เมื่อเห็นทั้งสองคนยังคงยืนตะลึงค้างอยู่กับที่จึงหันไปเอ่ยปากเรียก

 

 

กู้ซีฉือพลันรู้สึกตัว เดินตามฉินหร่านด้านหลังก่อนถามด้วยเสียงอันเบาว่า “เสี่ยวหร่าน เป็นที่นี่จริงๆ เหรอ?”

 

 

“หรือที่นี่ไม่โอเคเหรอ?” ฉินหร่านเลิกคิ้วถาม

 

 

กู้ซีฉือกระชับเสื้อโค้ต ไม่ได้อธิบายอะไรต่อ

 

 

พวกเขาเดินอยู่บนทางหินกรวดราดตรงไปยังปราสาทเก่า ระหว่างทางพบกับเหล่าคนรับใช้และสมาชิกของแต่ละหน่วย เมื่อเห็นเฉิงเจวี้ยนและฉินหร่าน ก็ยืนทักทายอีกฝั่งตามมารยาท พลางเรียก “นายท่าน” “คุณหนูฉิน”

 

 

ไม่มีอะไรชัดไปกว่านี้อีกแล้วว่าเฉิงเจวี้ยนมีตำแหน่งเป็นนายใหญ่ของคฤหาสน์หลังนี้

 

 

“นายกับรุ่นพี่โตมาด้วยกัน” กู้ซีฉือที่เดินรั้งท้ายฉินหร่านกับเฉิงเจวี้ยนก้าวหนึ่ง พลางกดเสียงต่ำถามเจียงตงเยี่ย “ทำไมเขาถึงมีคฤหาสน์ใหญ่ขนาดนี้ในรัฐ M ได้เล่า?”

 

 

เจียงตงเยี่ยเพิ่งรู้สึกตัว เมื่อได้ยินดังนั้นจึงได้แต่ส่ายหัว ชายหน้าตาอ่อนโยนกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มลึกเบาๆ ว่า “ผมก็พึ่งรู้เหมือนกัน พูดอย่างไม่ปิดบัง คนในเมืองหลวงส่วนใหญ่รับรู้ว่าคุณชายเจวี้ยนเป็นคนไม่เอาไหน หากพวกสกุลเฉิงรู้เข้าว่าเขามีคฤหาสน์หนึ่งหลังที่ใหญ่โตมโหฬารขนาดนี้ที่รัฐ M …ก็อาจจะหวาดกลัวจนขำไม่ออกเลยก็ได้”

 

 

แม้ว่าไม่มีสายเลือดของรัฐ M เจียงตงเยี่ยก็รู้ดีว่าที่รัฐ M มีพวกคนใหญ่คนโตอยู่มาก ในประเทศเองก็มีผู้มีอำนาจหลายคนที่มีชื่อเสียงประจำการอยู่ที่รัฐ M

 

 

หากต้องการคฤหาสน์สักหลังหนึ่งในรัฐ M ไม่เพียงต้องมีเงินอย่างเดียวเท่านั้น แต่ต้องมีอำนาจด้วย

 

 

รัฐ M เป็นที่ที่ซับซ้อน หากมีอำนาจไม่มากพอ ก็ไม่มีใครกล้าครอบครองคฤหาสน์หลังใหญ่เช่นนี้

 

 

“น่าแปลก” กู้ซีฉือมองดูรอบๆ พลันเหลือบเห็นสนามฝึกซ้อมที่อยู่ไม่ไกล หน้าตาหล่อเหลาของเขาค่อยๆ หรี่ตาลง “ฉันรู้สึกตลอดว่าสถานที่แห่งนี้ดูคุ้นตามาก”

 

 

“อาจจะเป็นเพราะช่วงนี้นอนน้อยก็ได้พี่กู้” เจียงตงเยี่ยช่วยเขาเหตุผลทันที “บางทีผมก็เป็นแบบนี้”

 

 

“งั้นเหรอ?” กู้ซีฉือรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องอยู่ตลอดเวลา

 

 

แต่ตอนนี้กลับคิดไม่ออก

 

 

ขณะที่พวกเขากำลังพูดคุยกันก็เดินมาถึงชั้นหนึ่งของตัวปราสาทแล้ว

 

 

ด้านในปราสาท คนรับใช้ได้จัดวางอาหารบนโต๊ะกลมเรียบร้อย

 

 

บนโต๊ะยังไม่มีใครเข้าไปนั่ง แต่ในมื้อเย็นนี้ เห็นได้ชัดว่ามีชามและตะเกียบจัดวางมากกว่าสองชุด ก่อนเฉิงเจวี้ยนจะกลับมาก็ได้บอกกับเฉิงสุ่ยแล้ว

 

 

แต่ยังไม่เห็นเฉิงสุ่ยและเฉิงหั่ว

 

 

กลับเป็นเฉิงมู่ที่ปรากฏตัว เมื่อพวกเขากลับมาถึง เฉิงมู่ก็เพิ่งออกจากห้องฝึกซ้อม

 

 

วันนี้ใบหน้าของเขาไม่บวมเหมือนที่เคยเป็น เพียงแต่มีรอยเขียวจ้ำจุดหนึ่งเท่านั้น

 

 

หลายคนล้วนรู้จักเฉิงมู่ เมื่อเฉิงมู่ทักทายพวกเขาเสร็จทีละคนก็เห็นฉินหร่าน เขารู้สึกแปลกใจยิ่ง “คุณหนูฉิน คุณไม่ได้บอกว่าจะกลับมาพรุ่งนี้บ่ายเหรอครับ?”

 

 

ฉินหร่านลากเก้าอี้นั่ง คนอื่นยังไม่ทันนั่งลง เธอจึงไม่ได้จับตะเกียบ เพียงวางมือบนโต๊ะสบายๆ “มีเรื่องเกิดขึ้นนิดหน่อย ก็เลยกลับมาก่อน”

 

 

เฉิงมู่ผงกหัว ไม่ได้ถามอะไรมาก

 

 

เจียงตงเยี่ยวางโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะ จากนั้นมองไปยังเฉิงมู่ เลิกคิ้วด้วยความสงสัย “เฉิงมู่ นายถูกคนต่อยมาเหรอ?”

 

 

ไม่นานเจียงตงเยี่ยก็รู้สึกประหลาดใจ เขาจำได้ว่าไม่ได้พบกันเดือนกว่า ทำไมรู้สึกว่าเฉิงมู่ดูๆ แล้วเหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ราวกับทั้งเนื้อทั้งตัวอัดแน่นไปด้วยแรงระเบิด

 

 

เพราะกู้ซีฉือหลับตลอดทางที่อยู่ในรถ ตอนนี้จึงไม่รู้สึกง่วงแล้ว กำลังก้มหน้าเล่นโทรศัพท์

 

 

เมื่อได้ยินประโยคเมื่อครู่จึงเงยหน้ามอง ก่อนหัวเราะออกมา “เฉิงมู่ นายเข้าฝึกซ้อมพิเศษแล้วเหรอ?”

 

 

สีหน้าไร้ความรู้สึกของเฉิงมู่มองมายังทั้งสองพลางพยักหน้าตอบรับ “ใช่แล้วครับ”

 

 

“นับว่าโชคดี” กู้ซีฉือเอนตัวพิงเก้าอี้ ก่อนโยนโทรศัพท์ลงบนโต๊ะ “นายรู้ไหมว่ายาทดลองจากระดับผู้เชี่ยวชาญที่นายกิน มันคุ้มค่ากับเงินที่เสียไปเท่าไหร่?”

 

 

เฉิงมู่รู้นานแล้วว่ายาที่ฉินหร่านให้ตัวเองกินนั้นไม่ใช่ยาธรรมดา เมื่อได้ยินประโยคนี้ จึงเงยหน้ามองกู้ซีฉืออย่างรวดเร็ว

 

 

เขามีความคิดอยากจ่ายเงินคืนให้คุณหนูฉิน

 

 

“นายถามรุ่นพี่ฉันดูสิ” กู้ซีฉือยิ้มให้เขา

 

 

เฉิงมู่ก็มองไปยังเฉิงเจวี้ยน

 

 

ในเวลานี้เฉิงเจวี้ยนกำลังรินชาให้ฉินหร่าน ก่อนทิ้งตัวลงนั่งด้วยท่าทีสบายตัวไม่ได้ถือสาเรื่องภาพลักษณ์แต่อย่างใด ใบหน้าที่ดูกังวลเล็กน้อย พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “การลงทุนด้านวิจัยและพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เกือบจะได้ยอดสรุปแล้ว เมื่อนำมารวมกันหักกับส่วนลดห้าสิบเปอร์เซ็นต์อยู่ที่ร้อยสิบ”

 

 

เขาวางกาน้ำชาลง ใคร่ครวญอยู่สักพัก ก่อนพูดเสริมว่า “ล้านหยวน”

 

 

ทางคณะศาสตราจารย์ได้ผลิตเอนไซต์ชีวเคมีที่ช่วยชะลอความแก่ ตอนนี้ยังเป็นเพียงรูปแบบกึ่งสำเร็จเท่านั้น แต่ผลิตภัณฑ์ทดสอบชนิดนี้ใช้คนทดลองสองถึงสามล้านคนต่อเข็ม ทุกคนต่างล้วนมีคนสนใจเข้ารับการฉีด

 

 

กู้ซีฉือรวบรวมบุคลากรการแพทย์ที่หมกมุ่นกับการวิจัยระดับสูงกลุ่มหนึ่งจากทั่วมุมโลกเพื่อวิจัยและผลิตตัวยาออกมา ไม่ต้องพูดถึงการลงทุนในช่วงแรก หากทำให้ยาพวกนี้ขายให้กับเหล่าผู้มีอำนาจคนสำคัญ ในเรื่องของราคาอาจจะเกินจริงกว่าที่เฉิงเจวี้ยนประมาณการไว้มาก

 

 

“อะแฮ่ม…” เจียงตงเยี่ยที่นั่งข้างกู้ซีฉือกระแอมขึ้น

 

 

ราคาสูงขนาดนั้นเชียว?

 

 

เฉิงมู่ “…”

 

 

คืนเงินคืออะไร? เขาไม่รู้ เขาไม่เคยพูด

 

 

**

 

 

“รุ่นพี่ นักศึกษาที่วิจัยเรื่องการโคลนนิ่งหัวใจคนนั้น เดิมเขาได้แรงบันดาลใจมาจากวิทยานิพนธ์ของพี่” กู้ซีฉือพิจารณา ทั้งกล่าวเสริมด้วยว่า “ก่อนหน้านี้อาจารย์ก็ให้เขาเข้าไปดูข้อมูลของพี่แล้ว เขายังทำความสะอาดชั้นสิบสองให้ด้วย”

 

 

ตั้งแต่รู้จักกับเฉิงเจวี้ยนมา ดูเหมือนกู้ซีฉือก็รู้เรื่องเฉิงเจวี้ยนมาไม่น้อย

 

 

ไม่เพียงแต่การโคลนนิ่งหัวใจ หรือเอนไซต์ชีวเคมีที่ช่วยชะลอความแก่ ยายื้อชีวิตต่างๆ…ในตอนแรกเฉิงเจวี้ยนเขียนวิทยานิพนธ์วิชาการขึ้นมาหลายเล่ม ล้วนเก็บไว้ในองค์กรการแพทย์โดยมีลั่วจิงเป็นผู้เก็บรวบรวมทั้งสิ้น

 

 

หากศาสตราจารย์ท่านอื่นอยากอ่าน ก็ไปยืมกุญแจที่ลั่วจิงได้

 

 

ในสายตาของกู้ซีฉือ เทคนิคการแพทย์เหล่านี้อาจจะกลายเป็นอารยธรรมที่สำคัญในอีกหนึ่งร้อยปีข้างหน้า

 

 

กู้ซีฉือไม่รู้ว่าเฉิงเจวี้ยนสามารถคิดค้นไอเดียพวกนี้มาจากไหน ก็เหมือนกับที่กู้ซีฉือไม่รู้ว่าเหตุใดฉินหร่านถึงสามารถส่งหุ่นยนต์ที่เหมือนกับAIในอีกห้าสิบปีข้างหน้ามาให้ได้

 

 

ดังนั้นการที่ทั้งสองสามารถไปในเส้นทางเดียวกันได้ กู้ซีฉือจึงไม่ได้รู้สึกแปลกใจแต่อย่างใด

 

 

เฉิงเจวี้ยนเพียงตอบ “อืม” ออกมาคำหนึ่งอย่างไม่ค่อยพอใจนัก และไม่พูดอะไรต่อ

 

 

กู้ซีฉือยังมีเรื่องอยากพูดต่อ

 

 

ในขณะเดียวกันมีเสียงจากไม่ไกลดังขึ้น “นายท่าน ห้องพักสองห้องนั้นผมเตรียมให้พร้อมแล้วครับ”

 

 

เฉิงสุ่ยที่เดินลงมาจากชั้นสอง ก่อนหน้านี้เขาไปจัดเตรียมเรื่องห้องพักของกู้ซีฉือและเจียงตงเยี่ย

 

 

เมื่อเดินมาถึงโต๊ะกินข้าว เขาไม่ได้นั่งลงทันที แต่ทักทายฉินหร่านกับเฉิงเจวี้ยนให้เสร็จเรียบร้อย ก่อนเอนตัวเล็กน้อยอย่างมีมารยาทและอ่อนน้อมถ่อมตนยิ่ง พลางกล่าวทักทายกู้ซีฉือและเจียงตงเยี่ย “นายน้อยเจียง คุณชายกู้”

 

 

เจียงตงเยี่ยรู้จักกับเฉิงสุ่ย พยักหน้ารับ “ไม่เจอกันนานเลยนะ”

 

 

พูดจบกลับไม่ได้ยินเสียงของกู้ซีฉือที่นั่งถัดไปแม้แต่น้อย

 

 

“ไม่เป็นไรใช่ไหม” ฉินหร่านที่เท้าคางอยู่ มองกู้ซีฉือด้วยความสงสัย

 

 

“คุณ คุณเฉิงสุ่ย?!” กู้ซีฉือที่ปกติเป็นคนพูดน้อย แต่ดูเหมือนว่าในเวลานี้ใบหน้าของเขาตกอยู่ในอาการเหยเก

 

 

เขามองเฉิงสุ่ย แล้วมองเฉิงเจวี้ยน “เมื่อกี้คุณเรียกรุ่นพี่ว่าอะไรนะ?”

 

 

ทุกคนต่างรู้ดีว่ากู้ซีฉือกับเจ้าพ่อค้าเพชรเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน และคนที่เขาคุ้นเคยมากที่สุดคือเฉิงสุ่ย

 

 

คืนครั้งสุดท้ายที่เขาอยู่ที่รัฐ M คือหนึ่งปีครึ่งที่แล้ว เป็นการเดินทางที่เร่งรีบไม่มีเวลาได้ตกตะลึง ดังนั้นจึงรับรู้ได้ว่าคฤหาสน์แห่งนี้ดูคุ้นตาอยู่บ้าง

 

 

เฉิงสุ่ยมองกู้ซีฉืออยู่พักหนึ่ง ก่อนพูดประโยคนั้นซ้ำว่า “พี่ใหญ่คนนั้นก็คือพี่ใหญ่คนเดียวกับที่นายคิดนั่นแหละ”

 

 

กู้ซีฉือเงยหน้า มองหน้าคนบนโต๊ะ นอกจากใบหน้าที่ไร้คำพูดของเจียงตงเยี่ย คนอื่นๆ ก็นิ่งเงียบเช่นเดียวกัน

 

 

“เสี่ยวหร่าน เธอรู้ตั้งนานแล้วเหรอ?” เขาพูดกับฉินหร่าน

 

 

ฉินหร่านหยิบตะเกียบ เธอมองกู้ซีฉือก่อนส่ายหน้า เปิดปากพูดอย่างไม่รีบร้อนว่า “ก็หนึ่งเดือนที่แล้วน่ะ”

 

 

เฉิงมู่มองใบหน้าของกู้ซีฉือที่เมื่อครู่ยังรักษาความเยือกเย็นอยู่ได้ แต่ตอนนี้มีอาการเกรงขึ้นหน้าเล็กน้อย ในเวลานี้รู้สึกเห็นอกเห็นใจเพราะเขาไม่ใช่คนเดียวที่ไม่รู้เรื่องนี้

 

 

“ไม่ถูกสิ พวกนายเป็นอะไรกัน” เจียงตงเยี่ยเงยหน้า

 

 

เฉิงมู่ถอนหายใจสุดแรง

 

 

เขารินน้ำแก้วหนึ่งส่งให้กู้ซีฉือ พูดอย่างคนมีประสบการณ์มาก่อนว่า “นายแพทย์กู้ รู้สึกแปลกใจก็ดีแล้ว”

 

 

เจียงตงเยี่ยนั่งไขว่ห้าง น้อยนักที่จะเห็นกู้ซีฉือมีใบหน้าเปลี่ยนสีเช่นนี้ เขารู้สึกน่าสนุกอย่างยิ่ง พลางยิ้มอย่างเก็บอาการ “เรื่องอะไรที่ทำให้นายตกใจได้ขนาดนี้ ใจเย็นก่อนๆ”

 

 

กู้ซีฉือก้มหน้า มองเจียงตงเยี่ยด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน “ไม่ใช่ว่านายสงสัยสถานะเจ้าพ่อใหญ่ทั้งสามคนที่อยู่เบื้องหลังฉันรึไง?”

 

 

เจียงตงเยี่ยพยักหน้า เขาเองก็แปลกใจเช่นเดียวกัน

 

 

“รู้รึเปล่าว่าคนขายหินคือใคร?” กู้ซีฉือยังคงยิ้มเยาะเย้ย

 

 

เจียงตงเยี่ยกำลังถามว่าอะไรเรียกว่าคนขายหินนั้น คนที่เป็นเจ้าพ่อค้าเพชรคนนั้น เป็นผู้ที่ร่ำรวยติดอันดับสามของโลก ร่ำรวย…

 

 

ยังไม่ทันได้คิด

 

 

เจียงตงเยี่ยก็กลายเป็นคนฉลาดขึ้นมา เขาคิดอะไรบางอย่างออกก่อนมองไปยังเฉิงเจวี้ยน: จริง จริงเหรอเนี่ย??