ตอนที่ 239 ทลายมิตรภาพแห่งเจ้าพ่อค้าเพชร

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

เฉิงเจวี้ยนยังถือตะเกียบในมือ ตั้งหน้าตั้งตามองเจียงตงเยี่ยอย่างเกียจคร้าน ก่อนพูดอย่างเนิบนาบว่า “กินข้าวก่อนเถอะ”

 

 

ทั้งเจียงตงเยี่ยและกู้ซีฉืออยากจะเอาแก้วที่อยู่ในมือทุบใส่หน้าเฉิงเจวี้ยน

 

 

ตอนนี้พวกเขายังมีกะจิตกะใจกินได้ลงหรือ?!

 

 

อย่างไรก็ตามนั่นเป็นแค่เพียงความคิดในใจเท่านั้น

 

 

กู้ซีฉือนำน้ำเย็นที่เฉิงมู่รินให้ส่งให้เขา บรรยากาศโดยรอบดีขึ้นเล็กน้อย เมื่อเห็นสมาชิกคนอื่นเริ่มกินข้าว เขาก็หยิบตะเกียบขึ้นมา

 

 

พวกเขาใช้เวลากินข้าวอยู่ครึ่งชั่วโมง

 

 

สิบนาทีก่อนหน้านี้เจียงตงเยี่ยก็วางตะเกียบลงแล้ว แต่ยังไม่ได้ลุกออกไปเพียงนั่งรอคนอื่นกินข้าว

 

 

“ค่อยไปคุยกันที่ห้องสมุดก็ได้” เฉิงเจวี้ยนกินเสร็จ ก่อนหยิบทิชชูที่อยู่ด้านข้างเช็ดมืออย่างเอื่อยเฉื่อย

 

 

เจียงตงเยี่ยและกู้ซีฉือต่างสบตากัน จากนั้นก็เดินตามหลังเฉิงเจวี้ยนไปห้องสมุด ส่วนฉินหร่านก็ถือกระบอกรดน้ำเดินไปที่สวนดอกไม้

 

 

“นายท่านเจวี้ยน เรื่องนี้เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไม…ถึงได้?” เจียงตงเยี่ยนั่งอยู่บนโซฟาในห้องสมุด ถามด้วยความร้อนใจ

 

 

ตั้งแต่เด็กนายเอาแต่ขอข้าวขอน้ำคนอื่นกินราวกับว่านายคือขอทาน แต่ความจริงแล้วนายคือราชัน!

 

 

นี่เป็นเรื่องจริงที่ไม่อาจจินตนาการได้ สกุลเฉิงและสกุลเจียงต่างเป็นตระกูลที่มีทั้งอำนาจและอิทธิพลมากที่สุดในเมืองหลวง โดยเฉพาะสกุลเฉิง

 

 

แม้ว่าเป็นเช่นนี้ แต่ก็มีช่องว่างเล็กน้อยระหว่างสกุลเฉิงกับเจ้าพ่อค้าเพชรที่มีชื่อเสียงโด่งดังเรื่องความสะพรึงกลัวในต่างประเทศแม้แต่เรื่องเงินก็ไม่อาจเทียบได้

 

 

อีกกลุ่มเป็นเจ้าถิ่นครองแคว้น อีกกลุ่มก็เป็นเจ้าถิ่นครองเมือง ถือว่าไม่ต่างกันเท่าไหร่

 

 

เฉิงสุ่ยรินชาส่งให้เจียงตงเยี่ย เจียงตงเยี่ยรับไว้

 

 

“เวลาผ่านไปนานแล้ว เรื่องนี้พูดแล้วก็ยาว” เฉิงเจวี้ยนพิงอยู่หลังหมอนบนโซฟา เลี่ยงที่จะพูดประเด็นสำคัญ “พวกคนในแถบนั้นถูกฉันอัดหน้าไปหมดแล้ว จากนั้นก็ไม่มีอะไรแล้ว”

 

 

เจียงตงเยี่ย “…”

 

 

กู้ซีฉือที่นั่งอยู่บนโซฟาเมื่อได้ยินเฉิงเจวี้ยนพูดเช่นนั้น ในหัวของเขาอยู่ๆ ก็คิดอะไรบางอย่างออกขึ้นมาแวบหนึ่ง

 

 

“ผมจำได้ว่า ไม่กี่ปีก่อนหน้านี้ ตอนที่ผมอยู่ที่ตะวันออกกลาง…” เขาหยิบแก้วน้ำ พลางหรี่ตา

 

 

กู้ซีฉือเป็นคนชอบท่องเที่ยวไปตามที่ต่างๆ เขาเรียนวิชาแพทย์แต่เด็ก เมื่ออายุได้สิบห้าปีก็หิ้วกระเป๋ายาช่วยเหลือผู้คนทุกที่บนโลก เขาช่วยชีวิตคนแทบไม่ถ้วน ทั้งนี้กลับจำตอนที่เขาช่วยเหลือคนกลุ่มหนึ่งที่เหมืองแร่แห่งหนึ่งขึ้นมาได้

 

 

เฉิงเจวี้ยนได้ยินดังนั้นจึงยิ้มขึ้น จากนั้นพยักหน้า “ถูกต้อง”

 

 

ปีนั้นเฉิงเจวี้ยนยังอายุไม่มาก เขาได้รับภารกิจเสี่ยงตายงานหนึ่งให้ออกนอกประเทศ มีศัตรูไม่น้อยรับรู้เรื่องนี้เข้า แม้ว่าไม่มีกู้ซีฉือคอยช่วยเหลือเขาก็รอดตายอยู่ดี แต่เมื่อมีคนยื่นมือช่วยเหลือ เขาย่อมจดจำไว้

 

 

“เดี๋ยวก่อน นายท่านเจวี้ยน เรื่องนี้…” เจียงตงเยี่ยดื่มชาก่อนกล่าวอย่างร้อนใจ “ในเมืองหลวงไม่มีใครรู้เรื่องนี้ใช่ไหมครับ?”

 

 

“นอกจากพวกของเฉิงสุ่ย ก็ไม่มีใครรู้แล้ว?” เฉิงเจวี้ยนดูนาฬิกาที่ข้อมือ ตอนนี้ใกล้สามทุ่มแล้ว ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่นว่า “มีคำถามอื่นอีกไหม?”

 

 

แน่นอนว่าเจียงตงเยี่ยและกู้ซีฉือยังมีคำถามอยากถามอยู่ แต่เวลานี้ก็ถามไม่ออกแล้ว ได้แต่ส่ายหัว เดินกลับห้องให้ท้องย่อยเรื่องพวกนี้ลงไปด้วย

 

 

**

 

 

เมื่อคืนทั้งสองคนต่างนอนไม่หลับ

 

 

วันนี้ตื่นขึ้นพบว่าใต้ตามีรอยดำคล้ำชัดเจน

 

 

กู้ซีฉือที่ยืนอยู่ฝั่งนี้ เห็นได้ชัดว่าฉินหร่านดูตื่นเต้นมากกว่าที่เคยเป็น เช้าวันที่สองก็พาทั้งสองคนเยี่ยมชมคฤหาสน์

 

 

“คนของที่นี่เก่งกันมาก” เจียงตงเยี่ยหยุดอยู่ที่ลานฝึกซ้อมขนาดเล็ก มองดูกลุ่มคนที่กำลังฝึกซ้อมกันอยู่ ก่อนพูดออกมาโดยไม่รู้ตัว

 

 

คนที่อยู่บนสนามฝึกซ้อมออกหมัดได้อย่างรวดเร็ว ความแข็งแรงเต็มเปี่ยม เป็นเรื่องที่พบได้ไม่กี่ที่ในรัฐ M เท่านั้น เจียงตงเยี่ยเองก็เป็นคนที่ชำนาญในด้านนี้ ย่อมสามารถสัมผัสได้ถึงพลังที่แข็งแกร่งของพวกเขา

 

 

กู้ซีฉือปีนขึ้นไปบนเสาไม้ เขามองดูอย่างเลื่อนลอย ไม่ได้สนใจเท่าไหร่นัก

 

 

เขาไม่เคยฝึกฝนเป็นจริงเป็นจัง หากต้องต่อสู้แบบตัวต่อตัว ก็คงไม่มีเคล็ดลับร้ายกาจอะไรจะไปสู้ หากใครที่ไหนอยากมาสู้กับเขา เขาคงสู้ไม่ไหว แน่นอนว่าก็ไม่อาจมองออกว่าคนบนสนามฝึกซ้อมขนาดเล็กนี้มีฝีมือร้ายกาจระดับไหน

 

 

“เสี่ยวหร่าน อันนั้นคืออะไรน่ะ?” เขายื่นมือชี้ออกไปยังเครื่องวัดค่าแรงหมัดที่อยู่บนสนามประลองเล็ก

 

 

เสี่ยวหร่านนั่งพิงอยู่บนเสาไม้ถัดไปจากเขา ในขณะเดียวกันก็จะมีคนเขามาทักทายเธออยู่ต่อเนื่อง เธอทักทายตอบทีละคน จากนั้นหันมากตอบคำถามเขา “เครื่องวัดแรงหมัดน่ะ สามารถวัดแรงหมัดของแต่ละคนว่าได้เท่าไหร่”

 

 

“น่าทึ่งขนาดนั้นเชียว?” เจียงตงเยี่ยประหลาดใจอย่างมาก

 

 

ฉินหร่านพาทั้งสองคนลงไปดู

 

 

สองวันมานี้สนามฝึกซ้อมที่ใหญ่ที่สุดถูกปิด ดังนั้นจำนวนคนที่อยู่ลานฝึกซ้อมเล็กจึงค่อนข้างเยอะ

 

 

เมื่อเห็นฉินหร่าน ทุกคนจึงหยุดมือโดยอัตโนมัติ ก่อนเรียกเธอด้วยความเคารพ “คุณหนูฉิน”

 

 

กู้ซีฉือเลิกคิ้ว ก้มหน้ามองฉินหร่านที่กำลังยิ้มอยู่ “เสี่ยวหร่าน เธออยู่ที่นี่ดังใหญ่เลยนะ”

 

 

“ก็พอตัวมั้ง” เสี่ยวหร่านดึงหมวกเสื้อคลุมขนเป็ดใส่หัว ก่อนเดินไปยังเครื่องวัดแรงหมัดที่อยู่อีกฝั่ง “ตรงนี้แหละ”

 

 

ขณะเดียวกันผู้กองลั่วก็กำลังวัดแรงหมัดอยู่ที่เครื่องตรวจจับพอดี!

 

 

887!

 

 

ผู้คนรอบข้างกู่ร้องด้วยความยินดี “ผู้กองลั่ว นายก้าวหน้าขึ้นแล้ว?”

 

 

คะแนน 887 เป็นค่าที่สูงกว่าเล็กน้อยเมื่อเทียบกับบันทึกสถิติสูงสุดของเฉิงหั่ว หนึ่งเดือนก่อนหน้านี้วัดได้แค่ประมาณ860ถึง870เท่านั้น

 

 

ผู้กองลั่วหยิกนิ้วมือของตัวเองด้วยความตื่นเต้น หลายวันมานี้เขาคอยหาฉินหร่านเพื่อขอคำแนะนำให้แก่เขา แม้ว่าความก้าวหน้าจะไม่เร็วเท่าเฉิงมู่ แต่ผู้กองลั่วก็พอใจอย่างยิ่งยวด

 

 

“คุณหนูฉิน พวกคุณจะใช้เครื่องวัดแรงหมัดกันเหรอครับ?” เมื่อเห็นฉินหร่าน ผู้กองลั่วหลีกทางให้พวกของฉินหร่านเข้ามา

 

 

ไม่ไกลจากตรงนั้น ถังชิงที่เตรียมตัวต่อแถววัดค่าแรงหมัดอยู่ก็มองเหตุการณ์ด้วยแววตาที่ล้ำลึกยิ่ง

 

 

ฉินหร่านเห็นเจียงตงเยี่ยมีท่าทีอยากลอง ขณะที่มือข้างหนึ่งกอดอก อีกข้างจับคาง คิดพิจารณาอยู่ชั่วครู่ คิ้วเส้นบางยกขึ้นเล็กน้อย “ไม่ใช้ พวกนายใช้กันต่อเลย”

 

 

เมื่อมั่นใจแล้วว่าฉินหร่านไม่อยากใช้เครื่องวัดแรงหมัดจริงๆ ผู้กองลั่วจึงให้คนกลุ่มหนึ่งฝึกซ้อมต่อ

 

 

เจียงตงเยี่ยที่เห็นค่าแรงหมัดแปดร้อยกว่าบนหน้าจอเครื่องวัด ก็ยิ่งอยากรู้ค่าแรงหมัดของตัวเอง เมื่อเห็นฉินหร่านไม่พูดอะไร ทำให้สายตาของเขาจับจ้องไปยังฉินหร่านอย่างไม่ตั้งใจ

 

 

ฉินหร่านวางมือลง มองตาเขา ใบหน้าเอียงเล็กน้อยพูดช้าๆ อย่างไม่ใส่ใจว่า “ไปเถอะ พวกนายมากับฉันก่อน”

 

 

เธอพาพวกเขาไปยังห้องฝึกซ้อมชั้นหนึ่ง

 

 

ด้านในมีเฉิงมู่และซือลี่หมิงที่เพิ่งสู้กันไปยกหนึ่ง เมื่อเห็นพวกเขาเดินเข้ามา เฉิงมู่จึงยืนขึ้น “คุณหนูฉิน”

 

 

“อืม” ฉินหร่านพยักหน้าให้อย่างไม่คิดอะไรมาก จากนั้นชี้ไปยังเครื่องวัดพลังหมัดที่อยู่ไม่ไกล ทำให้เจียงตงเยี่ยถึงกับยิ้ม “ตรงนั้นก็มี นายลองดู”

 

 

“นายน้อยเจียงอยากลองวัดแรงหมัดเหรอครับ?” เฉิงมู่เดินตามมา จากนั้นชี้ไปยังตัวเลขทั้งแถวห้าที่อยู่บนหน้าจอ อธิบายให้เจียงตงเยี่ยและกู้ซีฉือฟังชั่วครู่

 

 

“ดังนั้น ทั้งหมดนี้คือค่าแรงที่พวกนายทำออกมาได้?” เจียงตงเยี่ยก้มมองตัวเลขบรรทัดที่สาม

 

 

956

 

 

949

 

 

958

 

 

ทุกบรรทัดเกินเก้าร้อย เทียบกันแล้วมากกว่าที่เขาเห็นตรงลานฝึกซ้อมด้านนอกอีก “เป็นของผม” เฉิงมู่พยักหน้า

 

 

ครึ่งเดือนก่อน ค่าแรงของเขาอยู่ที่ประมาณ850 ครึ่งเดือนต่อมาก็เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งร้อย หลังจาก850แม้ว่าความเร็วจะเพิ่มขึ้นช้าลง แต่เฉิงมู่ก็พอใจกับผลลัพธ์อย่างยิ่ง

 

 

ถึงอย่างไรก็ตาม…

 

 

เฉิงมู่ประทับใจในค่าแรงหมัด910ของที่เฉิงสุ่ยทำไว้

 

 

เจียงตงเยี่ยเห็นว่าค่าแรงหมัดเดิมสูงสุดที่บันทึกไว้คือ1321 จึงรู้สึกอยากลองดู “กำลังของพวกเราทั้งสองไม่ต่างกันมากหรอก ของฉันน่าจะประมาณ950”

 

 

กู้ซีฉือที่อยู่ข้างฉินหร่านถึงกับถอนหายใจ “…นายลองดูก่อนเถอะ”

 

 

เฉิงมู่ “…”

 

 

ซือลี่หมิงที่ตามดูอย่างใจจดใจจ่อก็ถึงกับดึงมุมปาก

 

 

กู้ซีฉือมองฉินหร่าน “เสี่ยวหร่าน ทำไมเธอถึงทำหน้าแบบนั้น?”

 

 

เสี่ยวหร่านยื่นมือแกะโซ่ที่คล้องอยู่กับเสื้อโค้ตขนเป็ด พลางถอนหายใจตอบ “อา ไม่มีอะไร”

 

 

ในเวลานี้เอง เจียงตงเยี่ยได้ออกแรงทั้งหมดอัดลงบนเครื่องตรวจวัดแรงหมัด

 

 

“พวกเธอดูให้ดี ค่าแรงหมัดของฉันน่าจะประมาณ940ได้…” มือข้างหนึ่งของเจียงตงเยี่ยวางอยู่บนเครื่องวัดแรงหมัดพลางเอียงตัวเล็กน้อย มองฉินหร่านและกู้ซีฉือด้วยท่าทางหล่อเหลายิ่ง

 

 

ทว่าประโยคนั้นที่ยังพูดไม่จบพลันชะงักลง

 

 

บนหน้าจอของเครื่องตรวจวัด ตัวเลขแถวที่สามได้เปลี่ยนไป

 

 

จาก956 กลายเป็น659

 

 

เลขสองบรรทัดบนคือหนึ่งพันสามร้อย สองบรรทัดล่างล้วนอยู่ที่เก้าร้อยโดยประมาณ ค่าแรงหมัด659ที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอนับว่าเป็นเรื่องที่น่าเห็นใจอย่างสุดซึ้ง

 

 

เจียงตงเยี่ยไม่อยากจะเชื่อกับในสิ่งที่เห็นบนเครื่องตรวจวัด พรางมองไปยังเฉิงมู่

 

 

เขารู้สึกว่าเครื่องตรวจวัดนี่มันเสียแล้ว

 

 

ก่อนเดินถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ใช้แรงชกเข้าไปอีกหมัด

 

 

642

 

 

เจียงตงเยี่ย “…”

 

 

“มันเสียแล้วรึเปล่า?” ใบหน้าอันว่างเปล่าที่พยายามกู้คืนมาของเจียงตงเยี่ยจ้องมองเฉิงมู่

 

 

เฉิงมู่ตบไหล่เจียงตงเยี่ย พยายามปลอบประโลมเจียงตงเยี่ยอย่างคนมีประสบการณ์ว่า “ไม่เป็นไรหรอกครับ นายน้อยเจียง ตอนที่ผมต่อยครั้งแรกได้แค่652เอง ส่วนคุณชายเจวี้ยนเขาไม่ใช่คนธรรมดาอยู่แล้ว นาย…ชินก็ดีแล้ว”

 

 

เจียงตงเยี่ยไม่ได้รู้สึกดีขึ้นเลยสักนิด จริงๆ

 

 

เขานึกถึงตอนที่อยู่สนามฝึกซ้อม เขาคิดอยู่เสมอว่าค่าแรง800เป็นผลลัพธ์ทั่วไป…

 

 

ใครจะไปรู้ แม้แต่700เขายังไม่ถึงด้วยซ้ำ

 

 

เจียงตงเยี่ยมองค่าพลังหมัด1321ด้านบนสุด ยิ่งทำให้รู้สึกอับอายกว่าเดิม

 

 

กู้ซีฉือที่ยืนถัดจากฉินหร่าน พลันหัวเราะออกมา “เสี่ยวหร่าน เธอนี่มองการไกลดีนี่ พาพวกเรามาห้องนี้เพราะสนามฝึกซ้อมเล็กที่นั่นมีคนมุงดูเต็มไปหมด ไม่อย่างนั้นจะขายขี้หน้าขนาดไหน?”

 

 

เขาต้องแสร้งทำตัวไม่รู้จักกับเจียงตงเยี่ยแน่นอน

 

 

ฉินหร่านล้วงกระเป๋าด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ตอบกู้ซีฉืออย่างเจียมเนื้อเจียมตัวสุดๆ ว่า “ชมเกินไปแล้ว”

 

 

เจียงตงเยี่ย “…”

 

 

เขาพลันหันมามองกู้ซีฉือ เช็ดหน้าก่อนพูดว่า “ยังมียาไหม?”

 

 

หากพวกกลุ่มดอกเตอร์ในองค์กรการแพทย์รู้ว่าพวกเขานำยาที่ยังไม่ได้วิจัยออกมา อาจจะเป็นกังวลได้ และคงต้องร้องไห้โฮกันแน่นอน

 

 

วันนี้ฉินหร่านให้คนทั้งสองเดินชมบรรยากาศรอบๆ คฤหาสน์

 

 

และตอนนี้ ณ การทดสอบที่สนามสอบใหญ่ในคฤหาสน์ก็เริ่มต้นขึ้น