บทที่ 251 สิบวิชาเก้าจิต (3)
หอประกายดารา ตระกูลหลิน
หอประกายดารา ที่มีแสงสีฟ้าส่องประกายตลอดเวลา เป็นสถานที่ประมูลสมบัติลับที่ใหญ่ที่สุดและงดงามที่สุดในเมืองสันตินิรันดร์
เมื่อตระกูลขุนนางและสำนักฝึกวิชาจำนวนไม่น้อยเจอของล้ำค่าส่วนหนึ่ง หรือค้นพบความลับส่วนหนึ่ง ก็จะส่งมายังหอประกายดาราเพื่อให้มันจัดการประมูลแทน
เหตุผลก็ไม่มีอื่นใด เป็นเพราะมันเข้มงวดที่สุดและยุติธรรมที่สุด เรียกได้ว่าโปร่งใสอย่างแน่นอนในทุกขั้นตอน
หอประกายดาราเป็นหอคอยยอดแหลมสีขาวอมฟ้าสูงแปดชั้น ทุกชั้นมีเทพนางแอ่นที่แข็งแกร่งของตระกูลหลินคอยคุ้มกัน คนที่คิดจะปล้นสมบัติลับมีแต่เข้าไปได้ ไม่มีทางออกมาได้
เวลานี้หลินเป่ยไคกำลังจัดแจงเสื้อผ้าพลางเงยหน้ามองหอคอยสูงสีขาวอมฟ้าตรงหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึมผสมโศกเศร้า
“ทุกคนล้วนทราบว่าที่นี่เป็นหอประกายดาราของตระกูลหลิน แต่กลับไม่เคยมีใครรู้ว่าที่นี่ยังเป็นสถานที่ประชุมลับของพวกเรา ที่มาในครั้งนี้เป็นเพราะความตายของหลินหวนเต้า” เขากล่าวเสียงเบา
สตรีชุดดำและชุดขาวที่อยู่หนึ่งซ้ายหนึ่งขวา ติดตามอยู่ด้านหลังเขาโดยห่างออกไปเล็กน้อย
“หลินหวนเต้าถูกวังวารีลวงสังหาร ตายเพราะได้รับบาดเจ็บสาหัส ไม่ว่าจะจัดการอย่างไรก็โทษพวกเราไม่ได้” สตรีชุดดำกล่าวอย่างราบเรียบ
“พวกเฒ่าหยวนอาจจะไม่คิดแบบนี้ พวกเขาแจ้งผู้อาวุโสแล้ว ไปเถอะ เข้าไปดูการประชุมไต่สวนในระดับตระกูลที่เล่าลือกัน”
แม่ทัพหญิงผู้งดงามที่เฝ้าอยู่ตรงประตูคนหนึ่งโค้งตัวน้อยๆ ให้เขา
“คุณชายหลินเป่ยไค เฒ่าหยวนเริ่มประชุมไปแล้ว กำลังรอท่านเข้าประจำที่นั่ง”
หลินเป่ยไคพยักหน้าเล็กน้อย “ฮงหรันกงก็อยู่ด้วยหรือ?”
“มาถึงนานแล้ว ฮงหรันกงเพิ่งกลับมาจากทางตะวันออก พอได้ยินข่าวนี้ ก็มาเข้าร่วมการประชุมทันที ยังไม่ทันได้กินข้าวเที่ยงเลยด้วยซ้ำ” แม่ทัพหญิงเตือนเบาๆ
หลินเป่ยไครู้สึกเคร่งเครียด
ฮงหรันกงเป็นตาแท้ๆ ของหลินหวนเต้า ทั้งยังเป็นผู้เข้มแข็งที่สุดอย่างแท้จริง นอกจากสามผู้อาวุโสใหญ่แห่งตระกูลหลิน
ผู้เข้มแข็งในตระกูลหลินที่สะกดเขาหลินเป่ยไคได้ ในตอนนี้นี้มีแค่สองคน หนึ่งในนี้ก็คือฮงหรันกง
“ขอบคุณมาก” เขาพยักหน้าให้แม่ทัพหญิงเล็กน้อย แล้วสาวเท้าเข้าไปด้านในหอ
วันนี้หอประกายดาราหยุดปรับปรุงกิจการ ตอนนี้ชั้นที่หนึ่งซึ่งเดิมทีผู้คนแออัดจนเกิดปัญหา บรรยากาศเย็นเยียบ มีแค่องครักษ์คอยคุ้มกันอยู่ และยังมีคนหนุ่มสาวในตระกูลจำนวนหนึ่งกำลังนั่งสนทนากันอยู่บนตั่งไม้
พอเห็นหลินเป่ยไคเข้ามา คนหนุ่มสาวในตระกูลหลินเหล่านี้ ที่เดิมทีคุยกันอย่างเมามันก็ค่อยๆ เงียบเสียงลง ตอนแรกมีคนไม่น้อยนั่งหันหลังให้หลินเป่ยไค ยามนี้อดหันกลับมามองเขาด้วยสายตาแปลกๆ ไม่ได้
ในตระกูลหลิน หลินเป่ยไคมีชื่อเสียงน่าเกรงขามเหมือนอาทิตย์กลางหาว ทั้งยังเป็นตัวอย่างที่ผู้อาวุโสจำนวนมากใช้สั่งสอนลูกศิษย์ลูกหาของตนมาโดยตลอด
กระนั้นในตอนนี้กลับต้องมารับการประชุมไต่สวนจากเฒ่าหยวน พอข่าวแพร่ออกไป ก็ก่อให้เกิดความโกลาหลในพวกคนหนุ่มสาวทันที
หลินเป่ยไคเป็นตัวแทนที่โดดเด่นและองอาจสุดประมาณในฐานะอันดับหนึ่งของคนรุ่นหนุ่มสาวของตระกูลหลิน ถึงขั้นที่ได้รับการกำหนดเป็นตัวสำรองของประมุขตระกูลรุ่นต่อไปด้วย
ทว่าตอนนี้…
หลินเป่ยไคเมินการซุบซิบนินทาและสายตาแปลกประหลาดของคนเหล่านี้ เดินขึ้นชั้นที่สองเหมือนไม่มีเรื่องราวใด
มีคนหนุ่มสาวของตระกูลที่พลังฝึกปรือสูงส่งกว่าส่วนหนึ่ง นั่งรวมตัวอยู่ที่นี่เหมือนกัน
หอประกายดาราแห่งนี้แบ่งระดับตามพลังฝึกปรือ ถ้าพลังฝึกปรือไม่พอ ท่านก็ขึ้นไปชั้นบนไม่ได้ รวมถึงไม่มีแม้แต่คุณสมบัติเข้าชมดู
จากนั้นก็เป็นชั้นที่สาม ชั้นที่สี่ ชั้นที่ห้า…
แต่ละชั้นมีขนาดเล็กลงเรื่อยๆ และพลังฝึกปรือของคนที่อยู่ในแต่ละชั้นก็สูงขึ้นไม่หยุด
จากคนหนุ่มสาวตระกูลหลินไปถึงผู้ดูแลแกนกลางและประมุขตระกูลย่อย จากนั้นก็เป็นขุนพลเทพนางแอ่น ตัวแทนของแต่ละระดับชั้นในตระกูลหลินล้วนมาถึงแล้ว
ตอนที่มาถึงชั้นที่เจ็ด ประมุขตระกูล หลินส่งหรัน ซึ่งใส่ชุดบัณฑิตสีขาวนวลก็มองเขาด้วยสีหน้าเป็นกังวล
“ไม่ต้องห่วงขอรับ” หลินเป่ยไคยิ้มเฉิดฉัน “ซั่งหยางเฟยทำได้ ข้าก็ต้องทำได้เช่นกัน! ไม่เป็นไรหรอก”
ตั้งแต่เล็กจนโตหลินส่งหรันไม่เคยควบคุมบุตรอย่างเข้มงวด ปล่อยให้หลินเป่ยไคพัฒนาอย่างอิสระมาโดยตลอด แต่ว่าตอนนี้เขาเกิดความสำนึกเสียใจที่รุนแรงสุดเปรียบปานจากก้นบึ้งหัวใจ
หลินส่งหรันรู้จักบุตรของตัวเองดี ต่อให้เขาอาจจะไม่ได้ฆ่าหลินหวนเต้า แต่ก็ต้องมีความเกี่ยวข้องด้วยแน่นอน ไม่อย่างนั้นหลินเป่ยไคคงไม่มีท่าทีแบบนี้
“ข้าไม่เป็นอะไรหรอก ท่านเองก็ไม่เป็นอะไรเช่นกัน” ตอนนี้หลินเป่ยไคที่รู้จักบิดาของตัวเองดีเช่นกัน ยิ้มบางๆ
“ข้า…” หลินส่งหรันอ้าปาก กลับไม่รู้ควรพูดอะไร เขาสังหรณ์ใจตะหงิดๆ ว่าวันนี้อาจเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ไม่ว่าจะดีหรือร้าย ตระกูลหลินจะต้องเกิดความสั่นสะเทือนแน่
…
เอิ๊ก!
ลู่เซิ่งเรอออกมา
เขากินมากเกินไปแล้ว
ธารหมอกพิษเหลือเท่าระดับเอวของเขา ถึงแม้รอบๆ จะยังคงมีน้ำทะลักเข้ามาเติมเต็มอย่างไม่ขาดสาย กระนั้นก็อย่าหมายคิดจะฟื้นฟูสู่สภาพเดิมในระยะเวลาสั้นๆ
เวลานี้รอบๆ ท้องของร่างอันมหึมาที่สูงเกือบหกหมี่ของเขานูนสูง ปราณมารซัดสาดอยู่รอบๆ ตัว อีกทั้งปราณมารกำเนิดยังเข้มข้นถึงขั้นควบคุมไม่ได้แล้ว
เขารู้สึกว่าไม่ว่าจะเป็นเลือดเนื้อ กระดูก หรืออวัยวะภายในด้านในร่างกาย ทั้งหมดเหมือนกับแช่อยู่ในปราณมารกำเนิด
สุดท้ายหัวใจจิตมารสองดวงก็ดูดจนดูดต่อไม่ไหวอีก มันพองขึ้นถึงขั้นบวมเป่ง ตอนนี้หัวใจจิตมารสองดวงที่แข็งแกร่งกว่าก่อนหน้าไม่น้อยนี้กำลังฟักตัวแล้ว
‘กลับไปก่อนค่อยว่ากันดีกว่า’ลู่เซิ่งที่ดูดน้ำไม่ไหวแล้วหมุนตัววกกลับทางเดิม
ระหว่างทาง เนื่องจากระดับน้ำลดลง เขาจึงเห็นถ้ำขนาดต่างๆ จำนวนไม่น้อยบนผนังด้านในธารน้ำ สามารถเห็นรูปปั้นดินเหนียวรูปสตรีที่มีแขนหลายข้างได้ในถ้ำเหล่านี้
ปากถ้ำส่วนใหญ่ตื้นมาก แค่มองไปก็เห็นสภาพด้านในได้ทันที มีลวดลายที่ลี้ลับซับซ้อนสลักอยู่บนผนังด้านในถ้ำจำนวนมาก สตรีที่มีแขนหลายข้างส่วนหนึ่งซึ่งแกะสลักได้แค่ครึ่งตัวใช้ดวงตาที่ชั่วร้ายแต่ว่ามีเสน่ห์จ้องมองทุกสิ่งทุกอย่างด้านหน้า
‘พวกนี้มัน…’ ลู่เซิ่งเกิดความสงสัย จึงเข้าไปตรวจสอบอย่างละเอียด ดูออกว่าสตรีผู้นี้ไม่สวมเสื้อผ้า เผยหน้าอกอวบอิ่ม เนื่องจากร่างกายเย้ายวนรัญจวนใจ เลยบังเกิดเป็นสุนทรียภาพอีกแบบ
เพียงแต่รูปปั้นดินเหนียวนี้มีแขนมากเกินไป
‘บางตัวก็มีแขนสิบแปดข้าง บางตัวก็มียี่สิบสี่ข้าง…’ ลู่เซิ่งลองนับดูพลางเดินไปถึงหน้าถ้ำถ้ำหนึ่ง แล้วยื่นมือเข้าไปลูบคลำรูปปั้นดินเหนียวตัวหนึ่งที่อยู่ด้านใน
สิ่งที่เขาคาดไม่ถึงก็คือ รูปปั้นดินเหนียวเหล่านี้ให้สัมผัสอ่อนนุ่มถึงขีดสุด เหมือนกับคนจริงๆ อย่างไรอย่างนั้น
ลู่เซิ่งพลันนึกย้อนถึงเรื่องในอดีตเรื่องหนึ่งที่ลิ่วซานจื่อผู้เป็นอาจารย์เคยเล่าให้เขาฟัง
สำนักมารกำเนิดในอดีตถูกสร้างขึ้นมาได้อย่างไร ต้องเล่าตั้งแต่ภัยพิบัติมารครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว
เวลานั้นยังไม่มีสำนัก อาวุธเทพศัสตรามารของตระกูลขุนนางส่วนหนึ่งได้ถูกทำลาย พวกเขาไม่ยอมรับชะตาชีวิตที่สายเลือดในแต่ละรุ่นจะอ่อนแอลง จึงเริ่มออกค้นหาพลังในทิศทางที่แตกต่างกัน
พละกำลังกายเนื้อที่แข็งแกร่งของมารเข้าตาพวกเขาเข้า
และเหล่าคนที่เลือกพลังของมาร ก็มารวมตัวกันจนกลายเป็นสำนักมารกำเนิด สำนักมารกำเนิดได้สะกดมารไปไม่รู้เท่าไหร่ในช่วงที่รุ่งเรือง
มีมารหลายตัวถูกทำลายไปพร้อมกับกาลเวลา ส่วนมารที่แข็งแกร่งเกินไปก็แอบซ่อนและรอคอยจังหวะทำลายผนึกอยู่ในส่วนลึกของความมืดมิด อย่างเช่นตัวที่อยู่ด้านล่างดาบเล่มนั้น
แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ขอแค่เสาศิลาที่มีสัญลักษณ์สีแดงของสำนักมารกำเนิดต้นนั้นยังอยู่ ก็ไม่มีทางเกิดเรื่องขึ้นแน่นอน
และเป็นเพราะแบบนี้ จุดที่ลึกที่สุดในใต้ดินของสำนักมารกำเนิดที่สะกดมารไว้มากมาย จึงลี้ลับและอันตรายเนื่องจากมีความชั่วร้ายจากปราณมารที่มารซึ่งถูกสะกดไว้กระจายอยู่
เนื่องเพราะแปดเปื้อนปราณมารจำนวนมาก ส่วนลึกใต้ดินของสำนักมารกำเนิดเลยมีเรื่องราวแปลกประหลาดและอันตรายมากมาย
แกร่ก
ทันใดนั้นรูปปั้นดินเหนียวตัวหนึ่งก็ขยับตัวช้าๆ สตรียั่วยวนที่เปลือยท่อนบนผู้นี้ดิ้นหลุดออกมาจากผนังถ้ำ แล้วโบกแขนที่เรียวเล็กทั้งสิบกว่าข้าง พลางเคลื่อนเข้าหาลู่เซิ่งอย่างแช่มช้า
สตรีนางนี้ยิ้มอย่างลี้ลับ การขยับตัวเหมือนรูปปั้นดินเหนียวคือเคลื่อนไหวติดขัด แลดูเหมือนไร้พลังทำลายล้าง
‘นี่คือมารเหรอ’ ยามที่ร่างขนาดเกือบหกหมี่ของลู่เซิ่งเผชิญกับสตรีรูปปั้นดินเหนียวสูงหนึ่งถึงสองหมี่นี้ เหมือนกับเห็นลูกเจี๊ยบ
เขายื่นมือข้างหนึ่งเข้าไปหยิบรูปปั้นดินเหนียวออกมาจากด้านในถ้ำ แล้วสำรวจอย่างละเอียดด้านหน้า
‘อืม…ไม่ใช่มาร มารไม่น่าจะอ่อนแอขนาดนี้ คงจะเป็นสัตว์ประหลาดที่ปนเปื้อนจนกลายพันธุ์’
ฟู่ว
ทันใดนั้นรูปปั้นดินเหนียวหญิงก็อ้าปากพ่นควันดำออกมาโดนใบหน้าลู่เซิ่งพอดี
เพียงพริบตาเดียว สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที ไม่ใช่เพราะควันดำมีพิษร้าย แต่เป็นเพราะ
‘เหม็นโคตร!…เหม็นเกินไปแล้ว!’ ลู่เซิ่งรีบโยนรูปปั้นดินเหนียวในมือทิ้งไป ก่อนจะถอยหลังสองก้าว ใช้มือข้างที่สะอาดบีบจมูกเอาไว้
ความรู้สึกนี้เหมือนกับกระโดดออกจากสภาพแวดล้อมแห่งความสุขที่สะอาดบริสุทธิ์ไปสู่บึงโคลนน่าขยะแขยงอันมันแผล็บเหนียวหนืดของทางระบายน้ำ
คล้ายกับของเหลียวข้นๆ ที่นำอุจจาระในห้องน้ำ อาจม ขยะ และอาหารกับผักเน่าๆ มาหมักผสมกัน
ความเหม็นนั้นล้มล้างความรู้ต่อกลิ่นเหม็นตั้งแต่เกิดจนถึงตอนนี้ของลู่เซิ่งในพริบตา
เขาก้าวถอยหลังติดต่อกันอย่างต่อเนื่องหลังจากทิ้งรูปปั้นดินเหนียวหญิงทิ้งไป ก็ไม่คิดเข้าใกล้ที่นี่อีก
พอนึกถึงว่าก่อนหน้านี้เขาดื่มน้ำในธารหมอกพิษอย่างบ้าคลั่ง และในน้ำก็มีสิ่งของที่เหม็นจนทำให้หนังศีรษะชาแบบนี้พอนึกถึงของที่แช่อยู่ด้านใน ลู่เซิ่งก็หดหู่ใจอยู่ชั่วขณะ เขารีบออกจากที่นี่ กลับไปถึงถ้ำก่อนหน้านี้
ทว่าต่อให้นั่งลงพักผ่อนในถ้ำแล้ว เขาก็ยังรู้สึกพะอืดพะอม ไม่ใช่โดนพิษ แต่เพราะความขยะแขยง
พักผ่อนอยู่ครู่หนึ่ง ลู่เซิ่งค่อยตั้งสติได้
‘ดีที่ครั้งนี้ดูดปราณมารได้พอแล้ว…ไม่ต้องพูดถึงฟักหัวใจสองดวง ต่อให้มีอีกร้อยแปดสิบดวงก็สบายๆ’
เขาสำรวจหัวใจจิตมารสองดวงสุดท้ายอีกรอบ เดิมทีนึกว่าพวกมันดูดปราณมารได้มาก ทว่าดูจากตอนนี้ การดูดปราณมารเป็นสองถึงสามเท่าของหัวใจดวงอื่นเป็นขีดจำกัดของพวกมันแล้ว
นี่เหมือนจะเป็นความจุคงที่ซึ่งเป็นโครงสร้างโดยกำเนิดของมัน ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้
ลู่เซิ่งใช้ความคิด หัวใจจิตมารสองดวงปรากฏขึ้นตรงหน้าเขาพร้อมกัน แล้วหมุนช้าๆ อยู่กลางอากาศ
แกร่ก
อยู่ๆ หัวใจดวงหนึ่งก็เกิดร่องแยกสายหนึ่งขึ้นมาอย่างเชื่องช้า
‘ไม่ใช่…แตกมาตั้งแต่ก่อนหน้าแล้วนี่ นี่เป็นรอยที่สอง!’ ลู่เซิ่งสังเกตเห็นว่าอีกแห่งหนึ่งบนหัวใจดวงนี้มีรอยแตกมาก่อนหน้านี้แล้ว
ไม่นาน เหยี่ยวสีเหลืองอมเทาที่ตัวเปียกชุ่มโชกและเป็นมันเลื่อมตัวหนึ่งก็ค่อยๆ คลานออกมาจากหัวใจ
เหยี่ยวตัวนี้เพิ่งจะคลานออกมา ขนาดร่างกายก็ขยายใหญ่ขึ้นจากหนึ่งหมี่กว่าๆ เป็นสามหมี่กว่าๆ ด้วยความรวดเร็ว
ฮี่ๆ
เหยี่ยวอ้าปากส่งเสียงร้องเหมือนมนุษย์หัวเราะอย่างชั่วร้าย
มันไม่มีขน มีแต่ของเหลวเหนียวหนืดเหมือนโคลนสีเหลือง ของเหลียวเหนียวหนืดสีเหลืองจำนวนมากย้อยหยดลงจากปีก ตกใส่พื้นในตอนที่กางปีก เกิดเสียงกัดกร่อนดังฉ่าๆ และขณะเดียวกันกลิ่นเหม็นที่ยากบรรยายก็ลอยตามมา
‘เหยี่ยวขยะแขยง…’ ลู่เซิ่งพอจะเดาได้ว่าเหยี่ยวตัวนี้เป็นตัวแทนอารมณ์ความรู้สึกใดของตน
คิดว่าคงจะได้รับการกระทบกระเทือนจากความขยะแขยงอันรุนแรงของเขา จึงทำให้เหยี่ยวแห่งความขยะแขยงฟักตัวออกมา
……………………………………….