บทที่ 252 สิบวิชาเก้าจิต (4)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

บทที่ 252 สิบวิชาเก้าจิต (4)

เหยี่ยวแห่งความขยะแขยงมีพละกำลังและขนาดร่างกายมากกว่ามารหยินเจ็ดตัวก่อนหน้าไม่น้อย ยามกางปีกมีขนาดถึงเจ็ดแปดหมี่

แต่ว่ายิ่งตัวมันใหญ่เท่าไหร่ ก็ยิ่งเหม็นเท่านั้น

เหม็นถึงขนาดตัวลู่เซิ่งยังทนไม่ได้อยู่บ้าง เขาเก็บมันอย่างรวดเร็วและเด็ดขาด ทั้งยังใช้ตาข่ายโลหิตพัดให้เกิดลมเพื่อระบายอากาศในถ้ำ ครู่ต่อมาค่อยกลับเป็นปกติ

‘แม้แต่เรายังทนกลิ่นเหม็นนี้ไม่ได้ คนอื่นคงจะแย่กว่า ถ้าใช้เหยี่ยวตัวนี้ให้ดี จะต้องเป็นอาวุธสังหารที่ยอดเยี่ยมแน่’ ลู่เซิ่งพ่นลมหายใจ ถูกกลิ่นเหม็นรมใส่ติดต่อกันสองครั้ง ต่อให้เป็นเขาก็ทนไม่ไหวอยู่บ้าง รู้สึกเหมือนอาหารที่กินเข้าไปเมื่อวานจะขย้อนออกมา

ทว่าในอีกมุมหนึ่ง การต้านทานของร่างกายเขาในปัจจุบันยังทนไม่ได้ คนอื่นๆ ก็คงจะเหม็นจนสลบไปเช่นกัน

‘ยังเหลือหัวใจจิตมารดวงสุดท้าย’ เขานึกขึ้นได้ มองไปยังหัวใจสีดำอีกดวงหนึ่งที่อยู่ด้านข้างอีกครั้ง

ผิวของหัวใจดวงนี้มีรูเล็กๆ จำนวนมากกระจายอยู่ต่างจากหัวใจดวงอื่น พิจารณาดูดีๆ ด้านในมีหนอนสีดำมากมายคลานยั้วะเยี้ยะอยู่ในรู

‘ฟักออกมาแต่แรกแล้วนี่…หนอนสิ้นหวัง…’ ลู่เซิ่งค่อยกระจ่าง เพียงแต่หนอนเหล่านี้เล็กเกินไปจริงๆ หนำซ้ำยังซ่อนกลิ่นอายไว้ เขาจึงสังเกตไม่เห็นอยู่หลายครั้ง

“ความสามารถของหนอนสิ้นหวังคือการกัดกิน หากกัดกินศพจะเร่งความเร็วการฟื้นฟูร่างกายได้ถึงขีดสุด” ลู่เซิ่งพอสัมผัสความสามารถ สีหน้าพลันคร่ำเคร่งทันที

‘จะเอาความสามารถกัดกินบัดซบนี่ไปทำไมวะ!’ เขาตบหัวใจหนอนสิ้นหวังตรงหน้าจนแหลก ทำให้มันกลายเป็นปราณมารกำเนิดนับไม่ถ้วนหายเข้าไปในร่าง

‘แต่ดีที่ในที่สุดก็มีเก้าจิตมารครบแล้ว ตอนนี้ควรรวมจิตมารดวงสุดท้าย ได้ยินว่าหลังจากกำหนดพื้นฐานของวิถีหทัยมารในสายสดับสงัดได้ ขอแค่ฝึกฝนวิชาสดับสงัดซึ่งเป็นวิชาลับมารกำเนิด ก็จะรวมร่างมารสดับสงัดได้’

ร่างมารสดับสงัดซึ่งเป็นหนึ่งในสิบวิชาเก้าจิตมารของสำนักมารกำเนิดได้รับการจัดอยู่ในอันดับที่สิบของร่างมารที่มีทั้งหมดสิบเก้าชนิด จุดเด่นที่ขึ้นชื่อที่สุดก็คือมีแก่นมารอันเป็นกายเนื้อเพียบพร้อมที่สุดในร่างมารทั้งหมด

นี่เป็นที่พึ่งซึ่งสายสดับสงัดสืบทอดต่อกันมา มันมีความเร็วในการกักเก็บพลังและฟื้นฟูปราณมารกำเนิดเป็นหลายเท่าตัวของร่างมารร่างอื่น

แถมความสามารถของร่างมารประเภทนี้ยังมีหลากหลาย ปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงในสถานการณ์การต่อสู้ได้เร็วที่สุด ดังนั้นจึงมีการสืบทอดอยู่ตลอด

ลู่เซิ่งรู้ตัวว่าเมื่อเทียบกับบูรพาจารย์แห่งวิถีหทัยมารที่สูงส่งที่สุดในบันทึกประวัติศาสตร์แล้ว ตนเองมีหัวใจจิตมารเพิ่มมาดวงหนึ่งในการผนึกรวมหัวใจจิตมารทั้งเก้า หัวใจจิตมารดวงสุดท้ายที่มาจากการผนึกรวมแบบนี้จะไปถึงขั้นไหน บางทีบูรพาจารย์ที่สร้างวิชาสดับสงัดขึ้นมายังจินตนาการไม่ออก

‘เริ่มกันเลย…’ เขาสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง นี่เป็นความเคยชินก่อนจะเริ่มทำสิ่งที่มีความสำคัญทุกครั้ง ซึ่งการทำแบบนี้จะลดแรงกดดันในใจและฟื้นฟูสภาพจิตใจได้

ฟู่ว…ฟู่ว…ฟู่ว

ควันสีดำหลายสายพุ่งออกมาจากตัวของเขา แล้วกลายเป็นมารหยินขนาดเล็กจิ๋วหลายตัวเมื่อถึงพื้น

อสรพิษริษยา ราชสีห์โทสะ เงาคลุ้มคลั่ง กวางระแวง สุนัขระวังภัย แกะเดียวดาย กระทิงปวดร้าวปวด เหยี่ยวขยะแขยง หนอนสิ้นหวัง

มารหยินที่แตกต่างกันเก้าชนิดลอยวนเวียนอยู่รอบตัวเขา พร้อมกับเปล่งแสงสีฟ้าจางๆ ออกมาบนตัว

ลู่เซิ่งนึกถึงภาพวิชาลับบนคัมภีร์ ควบคุมมารหยินทั้งหมดให้ลอยวนเวียนรอบตัวเองโดยสอดคล้องกับเส้นทางการโคจรที่แตกต่างกันตามการบันทึกในวิถีหทัยมาร

ความเร็วของการหมุนค่อยๆ เพิ่มขึ้น ปราณมารกำเนิดบนตัวลู่เซิ่งถูกชักนำออกมา ก่อนประกอบกันเป็นสภาพอันซับซ้อน แล้วกระจายไปหามารหยินทั้งเก้าอย่างค่อยเป็นค่อยไป

เวลาผ่านไปทีละนิดๆ…

ไม่ทราบผ่านไปนานเท่าไหร่

ตูม!

ทันใดนั้น หัวใจจิตมารทุกดวงถูกปราณมารกำเนิดห่อหุ้มไว้ ก่อนจะโดนดึงไปบนร่างของลู่เซิ่งในสภาพเดี๋ยวกางเดี๋ยวหุบ

ฟู่ว!

ปราณมารทั้งหมดรวมตัวกัน จากนั้นก็กลายเป็นหัวใจมายาขนาดมหึมาสุดเปรียบปาน หัวใจดวงนี้ห่อหุ้มลู่เซิ่งที่สูงเกือบหกหมี่เอาไว้พลางเต้นช้าๆ

‘สำเร็จแล้ว’

ลู่เซิ่งสำรวจรอบๆ อย่างช้าๆ หัวใจมายาที่ห่อหุ้มตนไว้ดวงนี้เหมือนจะไม่ใช่ของจริง เป็นแค่การดำรงอยู่ที่คล้ายกับเงาเท่านั้น

เขาในสภาพที่ถูกห่อหุ้ม รู้สึกได้ว่าปราณมารกำเนิดบนร่างตัวเองคล้ายมีไม่หมดไม่สิ้น ทั้งยังไหลเชี่ยวและเดือดพล่านอย่างบ้าคลั่ง เดิมทีน้ำในธารหมอกพิษที่กินลงไป ยังเหลืออยู่ในกระเพาะลู่เซิ่งมากมาย ตอนนี้กลับถูกเปลี่ยนกลายเป็นปราณมารกำเนิดสายใหม่อย่างคลุ้มคลั่ง

ปราณมารกำเนิดในตอนแรกถูกกดอัดในร่างลู่เซิ่งจนเหนียวหนืดขึ้นมา

‘เปลี่ยนแปลงเร็วกว่าก่อนหน้านี้ห้าหกเท่า ความจุปราณมารกำเนิดไม่ได้เปลี่ยนแปลง แต่ว่าปราณมารกำเนิดทรงพลังมากขึ้น ยิ่งทรงพลังเท่าไหร่ก็ยิ่งเสียพลังงานตอนใช้ปราณมารกำเนิดเร่งโคจรวิชาลับน้อยเท่านั้น ดูเหมือนนี่จะเป็นแหล่งกำเนิดอันดับหนึ่งของแก่นมารที่แท้จริง’ ลู่เซิ่งวิเคราะห์สาเหตุ

หัวใจมหึมาอันเป็นมายาดวงนี้ก็คือหัวใจมารที่ผนึกรวมตัวกันออกมา ในตอนสุดท้ายของวิถีหทัยมาร

จากบันทึกบนคัมภีร์ วิถีหทัยมารมอบปราณมารกำเนิดให้มากกว่าวิชาลับอื่นๆ ที่คล้ายกันหลายเท่าตัว หลังจากผนึกรวมหัวใจมารดวงสุดท้ายได้ ก็จะได้รับความเร็วในการฟื้นฟูเป็นสองถึงห้าเท่าของก่อนการผนึกรวม

‘แต่ว่าของเรานั้น…’ ลู่เซิ่งใช้ความคิด ราชสีห์โทสะพลันปรากฎตัวขึ้นมายืนตรงหน้าเขา

เปรี้ยง!

เขาฟาดราชสีห์โทสะแหลกในหนึ่งฝ่ามือ

อัคคีพิษซึ่งมีพิษร้ายแรงและผิวที่แข็งแกร่งบนร่างของมันไม่แสดงผลใดๆ แม้แต่น้อย

ในพริบตาที่ลู่เซิ่งตบราชสีห์โทสะจนแหลก ราชสีห์โทสะสีดำก็รวมตัวกัน แล้วปรากฏขึ้นในสภาพควันดำอีกครั้ง

‘นี่…นี่คือการคืนชีพเหรอ?!’ ลู่เซิ่งงุนงง ไม่เห็นผู้ฝึกฝนวิถีหทัยมารคนอื่นเคยพูดถึงความสามารถนี้มาก่อน

ตอนแรกเขาคิดจะทำลายราชสีห์โทสะเพื่อใช้ปราณมารกำเนิด โดยตั้งใจจะดูว่าความเร็วในการฟื้นฟูปราณมารกำเนิดของตนเองเป็นอย่างไร

ทว่าภาพตรงหน้าทำให้เขารู้สึกเหนือความคาดหมายอยู่บ้าง

‘หรือว่านี่จะเป็นประโยชน์ที่ได้มาจากการผนึกรวมหัวใจจิตมารทั้งเก้าจนสำเร็จหัวใจมารดวงสุดท้ายใช่หรือไม่ ’

“ลองดูอีกรอบ”

ผัวะ!

เขาตบราชสีห์โทสะจนแหลกอีกครั้ง

‘แข็งแกร่งขึ้นมาหน่อยหนึ่ง พอตายไปครั้งหนึ่งก็ยังแข็งแกร่งขึ้นได้อีกเหรอเนี่ย’ ลู่เซิ่งประหลาดใจ

ครั้งนี้ราชสีห์ไม่ได้โผล่มาอีก แสดงว่ามีโอกาสคืนชีพแค่ครั้งเดียว ทว่ามารหยินของราชสีห์โทสะแผดคำรามมาจากด้านในตัวลู่เซิ่งอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย

มันเกิดมาจากความรู้สึกของลู่เซิ่ง ไม่ถูกควบคุมการเคลื่อนไหว อย่างมากสุดได้แค่ปล่อยและเก็บ บางทีอาจจะได้รับผลกระทบก็ต่อเมื่อวิถีหทัยมารปรากฏการเปลี่ยนแปลงระดับเท่านั้น

เวลานี้ถูกฟาดทำลายโดยไม่มีเหตุผล ย่อมโกรธแค้นกว่าเดิม

‘มารหยินเก้าตัวมีความตั้งใจของตัวเอง เกิดปล่อยออกไปเราก็จะควบคุมไม่ได้อีก ต้องใช้ให้ระวังเพื่อไม่ให้โดนลูกหลง’ ลู่เซิ่งสรุปในใจ

หากมารหยินถูกทำลายจำเป็นต้องใช้เวลาฟื้นฟูช้าๆ จากบันทึกของวิถีหทัยมารตามปกติแล้วก่อนผนึกรวมหัวใจมารดวงสุดท้ายใช้เวลาครึ่งเดือน หลังผนึกรวมแล้วใช้เวลาเจ็ดวัน

กระนั้นตอนนี้ลู่เซิ่งรู้สึกว่าเนื่องจากการจัดส่งของปราณมารกำเนิดอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสายในร่าง ราชสีห์โทสะใช้เวลาแค่หนึ่งวันก็สามารถเรียกกลับมาได้อีกครั้ง

‘สุดยอด!’ เขารู้สึกยินดี นี่เท่ากับว่าสามารถใช้มารหยินได้หลายครั้งในเวลาสั้นๆ

เขาไม่ได้ให้ความสำคัญกับความสามารถในการต่อสู้อย่างเป็นอิสระของมารหยินมากนัก และความจริงสายสดับสงัดก็ไม่ได้สนใจอะไรมากเช่นกัน สิ่งที่พวกเขาเน้นเป็นหลักก็คือร่างมารสดับสงัดซึ่งเป็นสภาพสมบูรณ์ที่ได้มาหลังจากการที่มารหยินเพิ่มพลังให้ตอนสิงร่าง

มารหยินทั่วไปแต่ละชนิด ที่ถูกทำให้ความสามารถอ่อนแอลงในตอนแรกที่สิงร่างผู้ฝึกฝนทั้งหมด ด้วยการครอบคลุมของหัวใจมารดวงสุดท้าย

ดังนั้นความสามารถมากมายจึงเกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณสมบัติ การเสริมพลังเพิ่มระดับอย่างใหญ่หลวง นี่จึงเป็นวิธีใช้ที่แท้จริงของมารหยิน

‘ตอนนี้ควรทดลองอานุภาพของร่องรอยที่อาวุธศักดิ์สิทธิ์นี้ทิ้งไว้แล้ว…ระหว่างระดับปฐมกับระดับพลังกำเนิดทั่วไปแตกต่างกันขนาดไหน อาจดูออกในตอนนี้’

ในที่สุดลู่เซิ่งก็มองไปยังกล่องหยกที่วางอยู่บนพื้น

ร่างกายของเขาเริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงช้าๆ หดจากความสูงเกือบหกหมี่เหลือสองหมี่อย่างรวดเร็ว จากนั้นก็หยุดลง

มือขาหดลงจนเรียวเล็ก เขาบนศีรษะใหญ่ขึ้นและงอไปด้านหลังเล็กน้อย เกราะอ่อนสีดำสนิทที่เหมือนมีผิวเป็นแก้วปกคลุมผิวหนังทั้งตัว

หางยักษ์ซึ่งเดิมหยาบใหญ่หดสั้นลงจนเรียวยาวและบางเรียบเหมือนกับแส้

หนามแหลมอันน่ากลัวงอกออกมาบนข้อมือ หัวเข่า ไหล่ และส่วนหลัง เหมือนกับกลุ่มหนามโผล่ขึ้นทั่วทั้งร่าง คนธรรมดาแค่แตะใส่ก็บาดเจ็บได้

เคร้ง

ลู่เซิ่งกำมือ ผิวที่ฝ่ามือกระแทกกัน แล้วเกิดเสียงโลหะกระทบกันอันกังวานใส

‘ใช้ได้แล้ว หยินหยางรวมเป็นหนึ่ง สภาพนี้เป็นสภาพที่แข็งแกร่งที่สุดของเราในตอนนี้ ลองทดลองร่องรอยที่อาวุธศักดิ์สิทธิ์เหลือไว้ดูก่อน’

ผงสีขาวที่เหลืออยู่บนร่องรอยเป็นตราประทับที่พลังระดับปฐมทิ้งเอาไว้ หลังผ่านไปเป็นเวลานาน มันก็อ่อนแอกว่าตอนที่พบในกลุ่มพันธมิตรเมื่อก่อนหน้าไม่ต่ำหว่าหนึ่งเท่า หนำซ้ำยังอ่อนแอลงเร็วกว่าเดิม

ลู่เซิ่งคาดเดาว่าตอนนี้เขาควรจะต้านรังสีบนผงสีขาวนี้ได้แล้ว

เขาเดินไปถึงหน้ากล่องหยก ยื่นมืออกไป ปลายนิ้วที่แหลมราวกับหอก ยกฝากล่องขึ้นเบาๆ

กึง

ฝากล่องชนใส่ผนังหินด้านล่างจนเกิดเสียงดังกังวาน

ผงสีขาวเล็กละเอียดส่วนหนึ่งกองอยู่ด้านในกล่อง เมื่อมองดูอย่างละเอียด จะพบว่ามีน้อยลงกว่าตอนที่ลู่เซิ่งขูดออกมาในตอนแรกมาก

‘เป็นสิ่งนี้…เป็นมันนี่แหละ’

ลู่เซิ่งยื่นนิ้วออกไปลูบผงสีขาวอย่างระมัดระวัง

ฉ่า…

เพิ่งจะสัมผัส ลู่เซิ่งก็รู้สึกปวดนิ้ว เกราะจำนวนมากเริ่มหลอมละลายจนอ่อนยวบอยู่ด้านหน้าผงสีขาว

เขาตัดสินใจอย่างเด็ดขาด ปราณเหลวซึ่งเป็นปราณภายในลุกไหม้อย่างรวดเร็ว

พรึ่บ!

เปลวไฟไร้รูปร่างพลันลุกไหม้ขึ้นบนฝ่ามือขวาของลู่เซิ่ง นั่นเป็นปรากฏการประหลาดที่เกิดขึ้นจากการเผาไหม้ด้วยความเร็วสูงของวิชาเก้าพิฆาตแดงฉาน

หลังจากเปลวไฟไร้รูปร่างลุกไหม้ การกัดกร่อนของผงขาวก็ได้รับการหยุดยั้งทีละนิดๆ ทว่าการหยุดยั้งเล็กๆ น้อยๆ นี้ไม่ต้องพูดถึงก็ได้

ลู่เซิ่งหยีตามองนิ้วชี้ที่หลอมละลายด้วยความเร็วสูงนั้น ก่อนจะนึกอะไรได้

เงาที่แตกต่างกันหลายชนิดของมารแต่ละตัวกะพริบด้วยความเร็วสูงด้านหลังของลู่เซิ่งทันที

ตั้งแต่อสรพิษริษยา จนกระทั่งถึงหนอนสิ้นหวัง มารทั้งเก้าปรากฏขึ้นแวบหนึ่ง ก่อนจะพากันกลายเป็นเงาหายเข้าไปในร่างเขา

ซู่…

เกราะที่เหมือนผิวแก้วบนตัวลู่เซิ่งเริ่มปรากฏลวดลายที่ลี้ลับซับซ้อนมากมาย หลังจากมารหยินหายเข้าไป

มารหยินทั้งเก้าที่มีลวดลายแตกต่างกัน ปรากฏบนร่างของเขา

มือ เท้า ใบหน้า คอ หน้าอก แผ่นหลัง ลวดลายที่ลี้ลับหลายสายเพิ่มความน่ากลัวและความลึกลับหลายส่วนให้กับเกราะอ่อน

‘นี่คือร่างมารสดับสงัดหรือ’ ลู่เซิ่งรู้สึกว่าประสาทสัมผัสทั้งห้าของร่างกายเพิ่มระดับขึ้นไม่น้อย แขนขาเบาสบาย พร้อมจะใช้งานความสามารถทั้งเก้าที่แตกต่างกันได้อย่างผ่อนคลายทุกเวลา เหมือนกับครอบครองมาหลายปี

‘นอกจากความสามารถเก้าอย่างแล้ว พละกำลังก็เพิ่มมามากกว่าสี่เท่า ความเร็วในการเคลื่อนที่และความสามารถด้านการฟื้นฟูก็แข็งแกร่งขึ้นราวแปดเท่าของสภาพปกติ ประสาทการดมกลิ่นก็ได้รับการยกระดับเหมือนกัน ร่างกายยิ่งคล่องแคล่วกว่าเดิม นอกจากนี้ ปราณมารกำเนิดยังเหมือนไร้ขีดจำกัด…นี่คือหลักการอะไร’

ลู่เซิ่งย่นคิ้ว

พลังงานเป็นสิ่งที่ไม่สูญหาย ต่อให้เขามายังโลกใบนี้ เรื่องราวมากมายที่ได้ประสบล้วนเป็นไปตามกฎนี้

ทว่าตอนนี้ร่างมารสดับสงัดคล้ายกับใช้ปราณมารกำเนิดได้ไม่มีวันหมด พอใช้หมดก็ฟื้นฟูจนเต็มทันที

นอกจากนี้ยังมีเสียงกระซิบลี้ลับ รวมถึงอัคคีพิษสีดำสนิทที่ผลุบๆ โผล่ๆ วนเวียนอยู่รอบๆ ร่างมารสดับสงัดนี้

ลู่เซิ่งครุ่นคิดดู จากนั้นก็ยื่นมือออกไปคว้าใส่ผนังหินด้านหน้า

ตูม!

อัคคีพิษสีดำขนาดใหญ่กลุ่มหนึ่งระเบิดเสียงดังสนั่น ผนังหินถูกระเบิดเป็นรูใหญ่รูหนึ่ง

‘อัคคีพิษของราชสีห์โทสะแข็งแกร่งกว่าอานุภาพของวิชาเก้าพิฆาตแดงฉานหนึ่งเท่า…ไม่เลว พลังโดยรวมยกระดับขึ้นไม่น้อย ร่างมารสดับสงัดนี้เหมาะกับการต่อสู้เป็นกลุ่ม ทั้งยังเข้ากับทุกสภาพแวดล้อม’

……………………………………….