บทที่ 253 ซั่งหยางรั่ว (1)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

บทที่ 253 ซั่งหยางรั่ว (1)

‘เพียงแต่ร่างมารสดับสงัดนี้เพิ่มพลังของร่างต้นไม่มากนัก เราใช้พลังอาวรณ์ไปตั้งเยอะ ไม่ค่อยคุ้มเท่าไหร่…มิน่าสำนักมารกำเนิดถึงอ่อนแอมาโดยตลอด…พวกเขาคงจะพึ่งพาการขุดค้นและเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่ความสามารถทางสายเลือดของตัวเองเป็นหลัก จากนั้นก็ใช้ความสามารถที่เหลือมาสนับสนุน พูดอีกอย่างก็คือ ความจริงแล้วร่างมารสดับสงัดของเราในตอนนี้มีคุณสมบัติสนับสนุนเหรอ’ ลู่เซิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย

ความจริงเขาก็มีสายเลือดเช่นกัน แต่ว่าอ่อนแอมาก ความสามารถเพียงหนึ่งเดียวที่ได้มาคือการเผาไหม้ ตอนนี้สำเร็จร่างมารสดับสงัดแล้ว ความสามารถทางสายเลือดนั้นยังทำได้แค่เผากระดาษ

‘รู้อย่างนี้น่าจะไปขุดค้นสมบัติในส่วนลึกของสำนักมารกำเนิดต่อ ไม่แน่จะได้วัตถุที่มีพลังอาวรณ์ซึ่งพวกบูรพาจารย์ในอดีตได้ทิ้งเอาไว้’

ลู่เซิ่งขบคิดในใจ

‘แต่วันนี้ไม่ได้แล้ว ดึกมากแล้ว พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่’

เขากลับร่างเดิมอย่างรวดเร็ว พอออกจากถ้ำ เสียงระฆังก็ดังขึ้น

เวลาตกดึกอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว เขาอยู่ในสำนักมารกำเนิดมานาน ไม่เคยออกมาตอนกลางคืนเลย

ปกติแล้วพอเสียงระฆังดังก็จะกลับถ้ำทันที ครั้งนี้เนื่องจากฝึกฝนวิชาลับจึงใช้เวลามากกว่าเดิม เลยออกมาตอนกลางคืนโดยไม่ทันระวัง

ลู่เซิ่งเร่งความเร็วกลับทางเดิม หมอกสีขาวขมุกขมัวลอยอยู่รอบๆ เส้นทาง ทั้งยังเหมือนมีเงาคนที่บิดเบี้ยวมากมายผลุบโผล่ในหมอกควันที่อยู่ไกลออกไป

‘วิญญาณเร่ร่อนเหรอ แถมยังมีคุณสมบัติของปราณมารนิดหน่อยด้วย’ ลู่เซิ่งพิจารณาซ้ายขวา เงาคนที่เดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่เหล่านั้นมีกลิ่นอายวิญญาณเข้มข้นบนร่าง อีกทั้งส่วนใหญ่ยังมีปราณมารแทรกอยู่

ถ้าเป็นเขาในตอนแรกอาจจะเคลื่อนไหวอย่างยากลำบากเพราะถูกวิญญาณที่อยู่รอบๆ พุ่งใส่ ทว่าตอนนี้…

“ไสหัวไปไกลๆ! อย่ามาขวางหูขวางตา” เขาตบมือข้างหนึ่งไปด้านหน้า

ตูม!

อัคคีพิษปราณมารขนาดใหญ่กลุ่มหนึ่งระเบิดออก เสียงร้องโหยหวนดังระงมมาจากด้านในหมอกขาวที่อยู่รอบๆ ทันที วิญญาณเร่ร่อนจำนวนมากพากันหลบหนีจากไป

จากนั้นลู่เซิ่งค่อยสาวเท้าไปด้านหน้าต่อ

ในตอนที่กำลังเข้าใกล้หน้าผาถ้ำที่พัก เสียงทุบดังสนั่นที่ทุ้มหนักและมีจังหวะจะโคนก็พลันดังมาจากด้านใน

ลู่เซิ่งเร่งความเร็วมุ่งไปด้านหน้า รอหลังจากเข้าใกล้ระยะหนึ่ง เขาค่อยมองเห็นว่าสิ่งที่ส่งเสียงคืออะไร

นั่นเป็นสัตว์ประหลาดร่างคนขนาดยักษ์ซึ่งสูงเท่าหอสองชั้นตัวหนึ่ง

แขนขาของมันหยาบใหญ่บวมพอง ผิวเป็นสีเขียว มีเขาสีขาวอมเทาแท่งหนึ่งงอกบนศีรษะ เขี้ยวดุร้ายยื่นออกมาด้านนอกปากที่กว้างใหญ่ บนกระหม่อมมีขนสีเขียวหย่อมเล็กๆ

ดูเหมือนกับภาพลักษณ์ของผีร้ายในเทพนิยายไม่มีผิด

ผีร้ายตนนี้ถือกระบองใหญ่สีดำที่ยาวสิบกว่าหมี่และกว้างหลายหมี่ไว้ในมือ พร้อมทุบเสาศิลาด้านหน้าทีละครั้งๆ

เสาศิลาที่ถูกมันทุบก็คือเสาหินที่มีสัญลักษณ์สีแดงเลือดด้านหน้าผาถ้ำที่พวกลู่เซิ่งอาศัยอยู่ต้นนั้น

ตูม!

ตูม!

ตูม!

ครั้งนี้ลู่เซิ่งกระจ่างแล้ว มิน่าตนเองเคลื่อนไหวใหญ่โตทางด้านนั้น แต่กลับไม่เคยมีใครไปดู ที่แท้ตรงนี้อึกทึกยิ่งกว่านี่เอง

‘นี่มันอะไรกัน ผีร้ายเหรอ’ เขาเดินอ้อมสัตว์ประหลาดตนนี้อย่างระมัดระวัง โดยเดินกลับไปทางหน้าผาถ้ำในมุมที่ไม่สะดุดตา

คาดไม่ถึงว่าจะมีสตรีผมดำถือร่มคนหนึ่งยืนอยู่ตรงบันไดทางเข้าหน้าผาถ้ำ

ใบหน้าของสตรีนางนี้ถูกปกคลุมอยู่ในผมยาวสีดำ เผยให้เห็นแค่คางสีขาวซีด หมอกควันวนเวียนอยู่รอบๆ พอจะเห็นว่านางสวมเสื้อกระโปรงสีดำสนิทได้เลาๆ

“พูดได้ไหม” ลู่เซิ่งเดินเข้าไปกระซิบถาม

อีกฝ่ายไม่ตอบสนองแม้แต่น้อย

ลู่เซิ่งไม่คิดจะลงมือ หลังมาถึงตำแหน่งนี้ก็อยู่ใกล้กับพวกอาจารย์มากแล้ว ถ้าเกิดลงมือก็เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะถูกพบ เขาเพียงคิดกลับไปในถ้ำของตัวเองเงียบๆ

เห็นอีกฝ่ายไม่มีปฏิกิริยา เขาก็เดินอ้อมคนผู้นี้ไปทางปากบันไดอย่างระมัดระวัง

คาดไม่ถึงว่าขณะเดินผ่านด้านข้างอีกฝ่าย

หมับ

มือบวมสีขาวซีดและมีกลิ่นเหม็นข้างหนึ่งก็คว้าแขนของลู่เซิ่งไว้ทันที

คิกๆ…คิกๆๆๆ…

สตรีนางนี้ยกศีรษะขึ้นเผยใบหน้าด้านใต้ผมสีดำ นั่นเป็นใบหน้าที่ขาววอกเหมือนกับทาแป้งขาวนับไม่ถ้วน แถมบางส่วนยังเน่าเปื่อยจนมีหนอนและส่งกลิ่นเหม็นที่ร้ายกาจ

ลู่เซิ่งมองอีกฝ่าย และมือที่จับแขนของตัวเอง

หมับ!

ทันใดนั้นมีอะไรบางอย่างจับแขนอีกข้างของนางเช่นกัน

คิกๆๆ…

เสียงหัวเราะที่คล้ายกันดังเลือนรางมาจากด้านในหมอก

ใบหน้าของสตรีนางนั้นแข็งทื่อ ไม่รอนางตอบสนอง พริบตาเดียวก็ถูกลากเข้าไปในหมอกที่อยู่ไม่ไกล

กรี๊ด!

เสียงโหยหวนดังมา สิ่งของสีดำสนิทกลุ่มหนึ่งกำลังรุมกัดกินสตรีนางนั้นอย่างเอร็ดอร่อย

เสียงโหยหยวนเบาลงอย่างรวดเร็ว สุดท้ายก็เงียบไป

ลู่เซิ่งถอนหายใจเฮือกหนึ่ง

ตอนแรกเขาปล่อยมารหยินออกมาเพื่อจะให้มันลากนางไป สุดท้ายนึกไม่ถึงว่าพอปล่อยออกมา มารหยินจะยกขโยงออกมาจับผีสตรีนางนั้นกินอย่างคุ้มคลั่งทันที ดูคล้ายกับพบเจอรสชาติอันโอชะ

นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาควบคุมได้ มารหยินจะเคลื่อนไหวอย่างอิสระหลังจากถูกปล่อยออกมา

‘ตอนนี้เราเข้าใจขึ้นมาบ้างแล้วว่าทำไมทั้งๆ ที่คนของสำนักมารกำเนิดรู้ว่าจะได้เจอภูตผีมากมายขนาดนี้ตอนกลางคืน แต่ก็ยังสร้างหน่วยหลักขึ้นที่นี่ เดิมทีมารหยินมองผีเป็นอาหารนี่เอง ที่นี่เป็นยุ้งฉางโดยธรรมชาติ’

เขาก้าวเท้าขึ้นบันได ควันดำผืนหนึ่งลอยมาจากด้านหลัง แล้วพากันเข้าไปในร่างเขา นั่นเป็นมารหยินเช่นเหยี่ยวขยะแขยงที่เพิ่งปล่อยออกมา เมื่อครู่เขาเตรียมจะปล่อยตัวเดียว สุดท้ายพุ่งออกมารวดเดียวห้าตัว

‘ดีที่เสียงไม่ดังมาก ถูกเสียงของผีร้ายที่ทุบเสาหินอยู่กลบไว้พอดี’ เขาปีนขึ้นบันไดทีละก้าวๆ

ครั้งนี้ใช้เวลาไม่นานก็กลับมาถึงประตูถ้ำของตัวเองอย่างราบรื่น เห็นอย่างชัดเจนว่ามีภูตผีซ่อนตัวอยู่ในหมอกควันที่อยู่รอบๆ กระนั้นพวกมันก็ไม่กล้าเข้ามาเพราะกลิ่นอายของมารหยินเมื่อก่อนหน้า

ลู่เซิ่งกวาดตามองซ้ายขวา เมื่อพบว่าไม่มีการเคลื่อนไหวอื่นๆ อีกจริงๆ ก็ค่อยปลดสลักแล้วผลักประตูเข้าไป

สำนักมารกำเนิดในตอนกลางคืนเป็นโลกของภูตผี

ถ้าหากพูดถึงช่วงที่สำนักมารกำเนิดรุ่งโรจน์ในสมัยก่อน อาจจะไม่มีปัญหา อย่างมากสุดภูตผีเหล่านี้ก็เป็นอาหารของพวกศิษย์ ทว่าตอนนี้ต่างไปจากเดิม สำนักที่อ่อนแอจนการสืบทอดเกือบขาดลง ไร้ความสามารถต้านทานยามเผชิญหน้าภูตผีเหล่านี้

ตอนนี้อาคันตุกะกลับกลายเป็นเจ้าบ้าน พอตกกลางคืนก็จะเป็นโลกของภูตผี

หนึ่งคืนผ่านไปโดยไร้เรื่องราว

เช้าวันต่อมา ลู่เซิ่งเพิ่งตื่น ก็ได้ยินเสียงตะโกนมาจากด้านนอก

ลุกขึ้นเดินไปชะโงกมองข้างหน้าต่าง เห็นลูกศิษย์ส่วนหนึ่งที่เพิ่งเข้าสำนักมา ยืนอยู่บนลานกว้าง กำลังตั้งท่าฝึกฝนวรยุทธ์วิชาเดียวกัน ทว่าเคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่วปราดเปรียว ทั้งยังมีท่วงท่าเหมือนการบูชามากมายแทรกอยู่ด้วย

ลู่เซิ่งผลักประตูออกไป เห็นอาจารย์ลิ่วซานจื่อก้มหน้ามองการฝึกฝนของเหล่าศิษย์อยู่ที่หน้ารั้วด้านหนึ่ง

ผู้ที่นำคนฝึกฝนก็คือเหอเซียงจื่อ

“อ้าว เสี่ยวเซิ่ง เจ้าตื่นแล้วหรือ” ลิ่วซานจื่อหันหน้ามา “เจ้ามาดูการเคลื่อนไหวล่าปราณกำเนิดนี้เป็นอย่างไรบ้าง”

“ล่าปราณกำเนิดหรือขอรับ” ลู่เซิ่งงุนงง “นี่คืออะไรหรือขอรับอาจารย์”

ลิ่วซานจื่อเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ก่อนหน้านี้สำนักเกิดการสั่นสะเทือน ปราณมารลดลงไปชั่วขณะ จะทำให้ลูกศิษย์ฝึกฝนวิชาลับต่อได้อย่างไร โดยที่ปราณหยินขาดพร่อง ดังนั้นจึงนำสิ่งนี้ออกมาจากคัมภีร์ในอดีต เจ้ารู้สึกไหมว่ามีปราณมารหลายสายที่วนเวียนอยู่รอบๆ พวกเขา พวกเขาให้กำเนิดพวกมันขึ้นมาเอง ไม่ได้ดึงดูดมาจากโลกภายนอก”

“ให้กำเนิดขึ้นมาเองหรือ” ลู่เซิ่งประหลาดใจ “จะดึงดูดปราณหยินได้ก็ต่อเมื่อ ถึงขั้นวิชาไร้มูลเหตุไม่ใช่หรือขอรับ เหตุใดการล่าปราณกำเนิดจึงให้กำเนิดปราณมารได้เอง”

“ที่เจ้าพูดก็ถูก แต่การล่าปราณกำเนิดทำให้คนเลียนแบบการโคจรสารกาย ปราณ จิตที่อยู่ในร่างมาร ดังนั้นการให้กำเนิดปราณมารได้สักสายหนึ่งจึงปกติยิ่ง ทว่าปราณมารนี้เบาบางสุดขีด เอามาใช้แค่ทำให้กายเนื้อเคยชินกับการดูดปราณมารเท่านั้น ไม่ได้มีประโยชน์อะไรนัก ทั้งยังต้องฝึกหนักเป็นเวลานานค่อยเกิดผล ดังนั้นตอนแรกข้าจึงไม่ได้สอนเจ้า” ลิ่วซานจื่ออธิบาย

“ขอรับ” ลู่เซิ่งพยักหน้า

“ตอนนี้เจ้าฝึกวิชาลับถึงขั้นไหนแล้ว ข้าได้ยินเหอเซียงเล่าว่า เจ้าแสดงความสามารถในงานชุมนุม เอาชนะติดกันหลายครั้ง วิชาไร้มูลเหตุของเจ้าไปถึงระดับใดแล้ว” ลิ่วซานจื่อยิ้มถาม

ลู่เซิ่งครุ่นคิด แล้วตัดสินใจพูดถึงพลังฝึกปรือเล็กน้อย เพราะหากต่ำเกินไปก็ดูปลอมเกินไป

“”ฝึกฝนวิชาไร้มูลเหตุจนสมบูรณ์แล้วขอรับ” เขาตอบอย่างซื่อสัตย์

“ฝึกฝนวิชาไร้มูลเหตุจนสมบูรณ์ก็ไม่นับเป็น…หา? ฝึกจนสมบูรณ์แล้ว?!” ลิ่วซานจื่ออ้าปากตาค้างขณะมองลู่เซิ่ง ทำท่าตกตะลึงพรึงเพริด

“เพิ่งฝึกสมบูรณ์เมื่อสองสามวันก่อนขอรับ” ลู่เซิ่งตกใจอยู่บ้าง จึงรีบปกปิด เขานึกไม่ถึงเหมือนกันว่าอาจารย์จะตอบสนองรุนแรงขนาดนี้

ลิ่วซานจื่อมีสีหน้านิ่งงัน จ้องมองลู่เซิ่งโดยไม่พูดอะไรอยู่ครู่หนึ่ง

“อาจารย์ ตอนนี้ข้าเริ่มฝึกเคล็ดหน้ามารได้หรือยังขอรับ” ลู่เซิ่งรีบถาม

“ฝึกเคล็ดหน้ามาร…ฝึกเคล็ดหน้ามาร…” ลิ่วซานจื่อทวนหลายรอบโดยไม่รู้ตัว จากนั้นค่อยนึกออกว่าลู่เซิ่งกำลังถามเขาอยู่

“ได้…ได้แล้ว…” เขารีบตอบ ถึงแม้จะรู้ว่าลู่เซิ่งมีคุณสมบัติดีเลิศ ทั้งยังพัฒนาเร็วมาก แต่ก็นึกไม่ถึงว่าจะเร็วขนาดนี้

“มิน่าตอนอยู่ในงานชุมนุม…” ลิ่วซานจื่อเข้าใจกระจ่างแล้ว “ในเมื่อเจ้ารู้สึกได้แล้ว อย่างนั้นวิชาลับคัมภีร์เหล่านั้นที่ข้าได้ถ่ายทอดให้เจ้าเมื่อก่อนหน้านี้ เจ้าก็ฝึกต่อไปตามลำดับวิชาไร้มูลเหตุ เคล็ดหน้ามาร วิชาเชื่อมอนธการ รวมถึงวิถีหทัยมารแบบนี้ไปเรื่อยๆ ได้เลย ถ้าอยากจะถามอะไรก็ถามข้าได้ตลอด”

“ขอรับ!” ลู่เซิ่งพยักหน้า

“ดีแล้ว เจ้าลงไปเถอะ” ลิ่วซานจื่อถอนใจกล่าว “ให้ข้าอยู่เงียบๆ…” เขายื่นมือไปยันกำแพง รู้สึกหมดอาลัยตายอยากเล็กน้อย

หวนนึกถึงอดีตที่กว่าเขาจะฝึกฝนวิชาไร้มูลเหตุจนสมบูรณ์ ก็ต้องใช้เวลาเกือบสามปี ตอนนี้ลู่เซิ่งเพิ่งเข้าสำนักมารกำเนิดมานานขนาดไหนกัน

โชคดีที่เป็นนักเรียนของตัวเอง ไม่อย่างนั้นถ้าเรื่องนี้หลุดออกไปด้านนอก ก็ไม่รู้ว่าจะถูกสำนักจำนวนเท่าไหร่แย่งชิงตัวไป

ขณะที่มองลู่เซิ่งบอกลาถอยไป ลิ่วซานจื่อพลันนึกได้ว่าสามารถบ่มเพาะลู่เซิ่งเป็นผู้สืบทอดของสำนักมารกำเนิดรุ่นต่อไปได้

ความลับจำนวนมากของสำนักที่เขาจดจำไว้ในหัวสมอง ยังมีคัมภีร์เร้นลับอีกมากมายซึ่งอาจจะถ่ายทอดให้ลู่เซิ่งได้…

วิชาลับมารกำเนิดได้ถ่ายทอดให้ลู่เซิ่งแล้ว จนถึงตอนนี้เขายังไม่แสดงอะไรผิดปกติ

พอกินข้าวเช้าเสร็จ ลู่เซิ่งก็เตรียมจะไปตรวจสอบส่วนลึกของสำนักมารกำเนิด แต่มีศิษย์ส่งจดหายฉบับหนึ่งมาให้

“ท่านประมุข นี่เป็นจดหมายที่เพิ่งส่งมา ระบุว่าต้องให้ท่านเปิดเอง ผู้ส่งคือคนของตระกูลซั่งหยาง”

ศิษย์ที่ส่งจดหมาย มอบจดหมายให้ลู่เซิ่งด้วยความเคารพและระมัดระวัง

“ได้ ขอบคุณมาก วางไว้ตรงนี้เถอะ” ลู่เซิ่งวางกะละมังน้ำแกงในมือลง หลังจากเขาส่งสายแร่ให้ ห้องครัวของสำนักในช่วงนี้ก็ดีขึ้น ด้านอาหารการกินก็ได้รับการปรับปรุงจนดีขึ้นมากเช่นกัน

อย่างน้อยปริมาณอาหารขนาดข้าวสามถัง ผักเก้าชั่ง ไก่สิบตัว หมู่หนึ่งตัวในหนึ่งวันของเขาก็ไม่มีปัญหาแล้ว

ลู่เซิ่งนั่งในโรงอาหาร รอหลังจากศิษย์คนนั้นจากไป จึงค่อยหยิบจดหมายขึ้นมาเปิด

เป็นลายมือของซั่งหยางจิ่วหลี่ซึ่งต้องการให้เขาไปรวมตัวที่เหลาสุราในเมืองกระดิ่งขาวครั้งก่อน……………………………………….