บทที่ 254 ซั่งหยางรั่ว (2)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

บทที่ 254 ซั่งหยางรั่ว (2)

‘น่าจะเป็นเรื่องที่เฉินเฉวียนซงพูดในครั้งก่อน’ ลู่เซิ่งคาดเดา

เขาเก็บกวาดข้าวของ เปลี่ยนเสื้อผ้า บอกกล่าวกับอาจารย์ แล้วออกจากสำนักมารกำเนิดเพื่อมุ่งหน้าไปยังเมืองกระดิ่งขาว

เขาไม่หยุดเลยระหว่างทาง ราวเวลาหนึ่งก้านธูปก็มาถึงเมืองกระดิ่งขาว

เดินไปตามเส้นทางครั้งก่อน ไม่นานลู่เซิ่งก็ถึงเหลาสุราเดิม

‘เหลาสุราสนเย็น’

นี่เป็นชื่อของเหลาสุรา เวลานี้มีหญิงสาวสวมชุดสีเหลืองหลายนางยืนเฝ้าอยู่ที่ประตู ทั้งหมดดูเหมือนคนธรรมดา แต่ถ้ามองให้ดี บนตัวพวกนางมีจุดที่พิสดารส่วนหนึ่งอยู่ไม่มากก็น้อย

บางคนผิวซีดขาวมาก บางคนเหมือนมีน้ำวนหมุนอยู่ในดวงตา บางคนพันผ้าพันแผลมากมายไว้บนแขนข้างหนึ่ง

พอเห็นลู่เซิ่งมาถึง สตรีนางหนึ่งก็เข้ามาต้อนรับ

“ใต้เท้าลู่เซิ่ง นายท่านรอท่านอยู่บนชั้นสอง”

“อืม ขอบคุณมาก” ลู่เซิ่งพยักหน้า อดพิจารณาสตรีคนนี้เพิ่มไม่ได้

อีกฝ่ายมีกลิ่นอายภูตผี มีพลังของเยื่อดำ และกลิ่นอายปริศนาอันแปลกประหลาดอีกหลายสายบนตัว

“พวกเราเป็นองครักษ์ผีที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของนายท่านจิ่วหลี่ มีทั้งหมดห้าคน เดี๋ยวท่านเห็นบ่อยๆ ก็จะชินไปเอง นางกลับแนะนำตัวอย่างผ่าเผย “นอกจากนี้ข้าคือหัวหน้าองครักษ์เปียนหนิง”

“ที่แท้เป็นแม่นางหนิง” ลู่เซิ่งตามนางขึ้นเหลาไปถึงชั้นที่สอง ชั้นที่มีขนาดใหญ่ถูกตระกูลซั่งหยางเหมาไปทั้งชั้น

มีแค่โต๊ะสุราตัวเดียวางอยู่กลางชั้นที่ว่างเปล่า ซั่งหยางจิ่วหลี่นั่งเหม่ออยู่ข้างโต๊ะสุรา พลางหมุนห่วงหยกสีขาวในมือเล่น ไม่รู้กำลังคิดอะไรอยู่

“ใต้เท้าจิ่วหลี่” ลู่เซิ่งเข้าไปทักทาย

“ลู่เซิ่ง เจ้ามาแล้วเหรอ ไม่เจอกันนานนะ” ซั่งหยางจิ่วหลี่รู้สึกตัว ลุกขึ้นแล้วบอกให้ลู่เซิ่งนั่งลงเพื่อคุยกัน

“ช่วงนี้ข้าน้อยยุ่งกับการเรียนมาตลอด ไม่ทราบที่ใต้เท้าเชิญมาในครั้งนี้มีเรื่องอะไรหรือ” ลู่เซิ่งค่อยๆ นั่งลง

ซั่งหยางจิ่วหลี่ยิ้มแย้ม ดูอ่อนโยนกว่าตอนอยู่ในแดนเหนือมาก ทว่าสีหน้ากลับแฝงความอิดโรย

“ข้าเห็นเจ้ามีพัฒนาการในสำนักมารกำเนิดไม่เลว ก็ไม่อยากให้เจ้ากลับมาเหมือนกัน แต่ขณะนี้มีโอกาส ที่ก้าวเท้าเดียวก็ปีนถึงสวรรค์วางอยู่ตรงหน้าข้า และคนที่เหมาะสมที่สุดในหมู่บริวารของข้าก็คือเจ้า ดังนั้นพอข้าไตร่ตรองดูก็รู้สึกว่าการเรียกเจ้ามาค่อนข้างเหมาะสมกว่า”

“อ้อ?” ลู่เซิ่งหรี่ตา “โอกาสก้าวเท้าเดียวก็ถึงสวรรค์หรือ”

“ถูกต้องแล้ว” ซั่งหยางจิ่วหลี่ยิ้มน้อยๆ “ตอนนี้ซั่งหยางรั่วลูกผู้น้องคนหนึ่งของข้าอยู่ในวัยแต่งงาน นางมีรูปโฉมโนมพรรณในระดับสูง ผู้เป็นตาคือหนึ่งในสามผู้อาวุโสตระกูลซั่งหยาง อยู่ในตำแหน่งสูงทั้งยังมากอำนาจ ข้าส่งคุณสมบัติเจ้าไป จากนั้นพวกเขาก็คัดเลือก และรู้สึกว่าเจ้าเหมาะที่สุด วันนี้คิดให้พวกเจ้าสองคนพบหน้ากัน”

ลู่เซิ่งอึ้งไป เขาคิดไม่ถึงว่าซั่งหยางจิ่วหลี่จะเรียกเขามาเพราะเรื่องนี้

“เรื่องนี้…เรื่องนี้…” เขาไม่รู้ว่าจะตอบสนองอย่างไรโดยสิ้นเชิง แต่กล่าวตามจริง ซั่งหยางจิ่วหลี่ดีกับเขา ตอนอยู่ที่แดนเหนือก็อาศัยชื่อของตระกูลซั่งหยางในการปกป้องขุมกำลังในบังคับบัญชามาโดยตลอด ทว่าเรื่องแบบนี้…

“ไม่ต้องกลัวไป นี่เป็นโอกาส ขอแค่เจ้าแต่งงานกับซั่งหยางรั่วได้อย่างราบรื่น หนึ่งในสามผู้อาวุโสก็จะกลายเป็นญาติของเจ้า ซั่งหยางรั่วเป็นหลานสาวที่เขารักที่สุด บุตรและบุตรีของเขาล้วนตายหมดแล้ว มีหลานสาวเป็นญาติเพียงคนเดียว ถ้าหากเจ้ากับซั่งหยางรั่วแต่งงานกัน จะต้องกลายเป็นคนที่ใกล้ชิดกับผู้อาวุโสคนนั้นมากที่สุดแน่ เจ้าไม่มีทางไม่เข้าใจผลประโยชน์ที่อยู่ในนี้” ซั่งหยางจิ่วหลี่อธิบาย

“ข้า…” จริงๆ ลู่เซิ่งไม่ได้สนใจผู้อาวุโสอะไร และไม่ชอบการแต่งงานเพื่อผลประโยชน์แบบนี้ เขาอยากจะปฏิเสธ ทว่า…

“ข้าจัดการให้เจ้าหมดแล้ว นี่เป็นโอกาสที่พันปียากพบพาน คนทั่วไปไม่มีทางหาได้ เจ้าต้องคว้าไว้” ซั่งหยางจิ่วหลี่พูดต่อ “ข้ารู้ว่าเจ้ามีภรรยารองอยู่ที่แดนเหนือ แต่ก็รับๆ ไว้เถอะ ซั่งหยางรั่วไม่ใช่คนใจแคบ นางรู้สถานการณ์นี้ดี”

ลู่เซิ่งใคร่ครวญ การปฏิเสธต่อหน้าไม่ดีอยู่บ้าง ซั่งหยางจิ่วหลี่จะต้องใช้ความพยายามมากมายไปกับเรื่องนี้ ถ้าทำให้อีกฝ่ายไม่ต้องตาเขาได้ อย่างนั้นก็ดีที่สุด

แต่ถ้าอีกฝ่ายชอบเขาจริงๆ เขาก็ปฏิเสธไม่ได้เหมือนกัน เขากับตระกูลลู่ในตอนนี้ไม่อาจตีตัวออกห่างซั่งหยางจิ่วหลี่

“ก็ได้ขอรับ ข้าจะลองดู” เขาเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ

“ดี สถานที่คือหอผนึกธุลีซึ่งเป็นร้านน้ำชาทางถนนทิศเหนือ อีกเดี๋ยวจะมีคนพาเจ้าไป” ซั่งหยางจิ่วหลี่กล่าวอย่างรวดเร็ว

“อีกเดี๋ยวหรือ” ลู่เซิ่งงงันอีกรอบ

“อือ เวลานัดพบคือตอนบ่าย นัดไว้ที่หอผนึกธุลี” สุดท้ายแล้วซั่งหยางจิ่วหลี่ก็ยังคงมีนิสัยอย่างเดิมคือไม่อนุญาตให้คนปฏิเสธ

“ขอรับ”

ลู่เซิ่งจนปัญญา รู้สึกต้องการแยกตัวออกจากตระกูลซั่งหยางมากกว่าเดิม แต่ถ้าตอนนี้เขาแยกตัวไป หลายสิ่งหลายอย่างจะพังทลายลง พรรควาฬแดงกับตระกูลลู่ที่อยู่ทางเหนือจะไม่ได้รับการปกป้องใดๆ อีก

สุดท้ายก็เป็นเพราะมีพลังไม่พอ

หลังจากกินข้าวเสร็จ ซั่งหยางจิ่วหลี่ก็เริ่มระบายให้ลู่เซิ่งฟัง

ช่วงนี้นางได้รับการไหว้วานให้สู้กับหวงซูหลิงของตระกูลหวง คนผู้นี้เป็นอัจฉิรยะซึ่งเป็นตัวแทนของตระกูลหวง

นางสู้กับหวงซูหลิงมาแล้วหลายครั้ง แพ้มากกว่าชนะ นอกจากนี้ยังรับภารกิจค้นหาผู้ซ่อนหยกลี้ลับ ยุ่งจนไม่มีเวลา

“คนในสังกัดข้าพวกนั้นรวมตัวกันใช้เวลาตั้งสองเดือนแต่ยังหาแม้แต่ร่องรอยของหยกลี้ลับไม่เจอ” ซั่งหยางจิ่วหลี่ค่อนข้างมีน้ำโห

“รอหลังจากเจ้าแต่งงานแล้ว จะได้รับการช่วยเหลือจากทางซั่งหยางรั่ว ตาของนางกุมเครือข่ายข้อมูลทั้งหมดของตระกูลซั่งหยาง ”

ลู่เซิ่งคุยเป็นเพื่อนนางสักพัก หลังกินข้าวเสร็จก็โดยสารรถไปยังหอผนึกธุลีทางถนนทิศเหนือ

ถนนทิศเหนือที่มีผู้คนขวักไขว่

มีอาคารที่มีพื้นที่ไม่ใหญ่มากแห่งหนึ่งแทรกตัวอยู่ระหว่างร้านค้าวัตถุโบราณมากมาย บนป้ายสำริดเขียนคำขนาดใหญ่สามคำไว้ว่า หอผนึกธุลี

ประตูหอเงียบเหงา ไม่มีคนเข้าออก ป้ายรายการน้ำชาที่โดดเด่นแต่ละชนิดตั้งเอียงอยู่หน้าประตูใหญ่

ลู่เซิ่งนั่งอยู่มุมหนึ่งด้านในหอ บนโต๊ะมีสัญลักษณ์บอกว่าเป็นโต๊ะยี่สิบสองส่วนที่สอง นี่เป็นตำแหน่งที่กำหนดไว้แล้ว ทั้งยังอยู่ในมุมด้านในสุดของหอผนึกธุลีพอดี

หลังจากส่งเขามา ซั่งหยางจิ่วหลี่ก็รีบจากไป เนื่องจากยังมีธุระ เขาจึงนั่งรออีกฝ่ายอยู่ที่นี่คนเดียว

ในหอผนึกธุลีมีคนไม่มากนัก อีกฝ่ายไม่มีความคิดจะเหมาทั้งร้าน เหมือนคิดจะปะปนไปกับฝูงชนโดยการพบหน้าอย่างคนธรรมดาสักครั้ง

จ๋อม

นาฬิกาน้ำบนภูเขาจำลองในห้องที่อยู่ไม่ไกลออกไปถูกเคาะครั้งหนึ่ง

นาฬิกาน้ำนี้ ใช้สายน้ำที่ไหลด้วยความเร็วคงที่ บวกกับกระบอกไม้ไผ่ มาทำเป็นอุปกรณ์นับเวลาแบบกระดานหก

ความเร็วในการไหลของร้านนี้คือเคาะทุกครึ่งชั่วยามถัดไป

ลู่เซิ่งมองท้องฟ้าด้านนอก ตั้งแต่เวลาที่นัดไว้ถึงตอนนี้ก็ผ่านไปหนึ่งชั่วยามแล้ว แต่อีกฝ่ายยังไม่มา

เขาไม่แสดงสีหน้า ยกถ้วยชาขึ้นจิบเบาๆ อย่างไม่รีบไม่ร้อน

“นายท่าน ยัง…ยังต้องการเติมชาอีกหรือไม่” เด็กผู้หญิงที่อยู่ด้านข้างถามเบาๆ หน้าผากชุ่มเหงื่อ

แขกผู้นี้ดื่มชาหมดไปแล้วสามโอ่ง ชาโอ่งหนึ่งสูงหนึ่งหมี่และมีเส้นผ่าศูนย์กลางสองหมี่

เถ้าแก่หลังร้านบนบานศาลกล่าวอยากจะไล่ให้เขาไป แต่คนผู้นี้ไม่ยอมขยับเขยื้อน นั่งอยู่ที่เดิมมาหนึ่งชั่วยามกว่าๆ แล้ว

ลู่เซิ่งพ่นลมหายใจเฮือกหนึ่ง มองดูท้องฟ้า เย็นมากแล้ว หากกลับไปช้ากว่านี้ฟ้าคงจะมืด

เขาค่อยลุกขึ้น

“ไม่ต้อง คิดบัญชีเถอะ”

“ทั้งหมดสิบ สิบหลี่[1]” เด็กผู้หญิงดีใจออกนอกหน้า รีบตอบจนติดอ่างอยู่บ้าง

“เอาไป” ลู่เซิ่งล้วงเงินสิบหลี่ออกมาจากถุงข้างเอว แล้วมอบให้อีกฝ่าย

เนื่องจากว่าถ้าซื้อน้ำชาในหอผนึกธุลีหนึ่งกาก็จะเติมได้ตลอด ย่อมจำกัดจำนวนสำหรับหนึ่งคน ดังนั้นต่อให้ดื่มมากอย่างไร ราคาก็ไม่แพง

นี่เป็นสาเหตุหลักที่เถ้าแก่ซึ่งอยู่หลังร้านเกือบจะร้องไห้

“ครั้งหน้ายินดีต้อน…” เด็กผู้หญิงยังไม่ทันพูดจบ เถ้าแก่ที่พุ่งมาจากด้านหลังก็ถลึงตาใส่จนพูดไม่ออก

“วางใจเถอะ จะไม่มาอีกแล้ว” ลู่เซิ่งสังเกตเห็นว่าตนเองเผลอดื่มมากไปหน่อย เขาลูบศีรษะเด็กหญิง ก่อนจะเดินออกจากหอผนึกธุลีด้วยรอยยิ้ม

แสงอาทิตย์ด้านนอกใกล้ยามโพล้เพล้แล้ว ถนนส่วนใหญ่ถูกย้อมเป็นสีแดงก่ำ

“ดวงอาทิตย์ตกวันนี้แดงจริง…” ลู่เซิ่งรำพึงรำพัน

เหมือนกับทาด้วยเลือด

เขาโคลงศีรษะน้อยๆ มองสถานที่แห่งหนึ่งอย่างไม่ตั้งใจ จากนั้นก็หมุนตัวเร่งฝีเท้าจากไป

เห็นได้ชัดว่าเขาถูกปล่อยให้รอเก้อแล้ว

หอหทัยนภา

หอหทัยนภาที่เป็นสถานที่สำหรับดื่มชาในเมืองกระดิ่งขาวเหมือนกัน มันเป็นร้านชาระดับสูงสุดซึ่งอยู่ตรงข้ามกับหอผนึกธุลี ไม่ว่าจะเป็นราคา บริการ หรือว่าการประดับตกแต่ง ล้วนเหนือกว่า

ตอนนี้ซั่งหยางรั่วนั่งมองดวงอาทิตย์ตกดินอย่างเงียบๆ อยู่ข้างหน้าต่างบนชั้นห้าของหอหทัยนภา

“หมายความว่าลู่เซิ่งผู้นี้รอเกือบหนึ่งชั่วยามกว่าๆ พอเห็นท้องฟ้าใกล้มืดแล้วจึงค่อยลุกจากไปหรือ” นางถามหญิงรับใช้อย่างราบเรียบและไม่นำพา

“เจ้าค่ะ คุณชายลู่ผู้นั้นรอจนกระทั่งตะวันตกดินค่อยลุกจากไป ตั้งแต่ต้นจนจบไม่แสดงสีหน้าหงุดหงิดใดๆ” หญิงรับใช้ตอบเบาๆ

หน้างามของซั่งหยางรั่วเคร่งขรึมเล็กน้อย

“รอนานขนาดนั้น ไม่ว่าเป็นใครก็หงุดหงิด เขาไม่แสดงสีหน้าและท่าทางแม้แต่น้อย หมายความว่าเขาทราบว่าคิดจะเข้ามาในตระกูลซั่งหยางของข้าไม่ง่ายขนาดนั้น” ในดวงตาฉายแววยิ้มเยาะ

“เรื่องแต่งงานที่ลูกผู้พี่กับท่านตากำหนดขึ้น ได้ถามความเห็นข้าหรือยัง” ใบหน้าของซั่งหยางรั่วเย็นชา “ตอนนี้คุณชายคุนอวิ๋นอยู่ไหนแล้ว” พอพูดถึงชื่อนี้ ท่าทีของนางก็อ่อนโยนลงอย่างรวดเร็ว

คุณชายคุนอวิ๋นมีชื่อว่าซั่งหยางคุนอวิ๋น เป็นคุณชายสูงศักดิ์คนหนึ่งจากตระกูลย่อย มีนิสัยอ่อนโยนละมุนละไม ทั้งยังใจกว้างกับนางมาก แม้ไม่มีใจทะยานอยาก อีกทั้งคุณสมบัติก็ไม่ได้ดีเด่นนัก ทว่าบิดาของเขาเป็นตุลาการพู่กันเหล็กของตระกูลซั่งหยาง

ในตำแหน่งตุลาการมีตุลาการพู่กันเหล็กแค่แปดคน ซึ่งหนึ่งในนี้เป็นบิดาของเขา ในฐานะที่มีพลังยุทธ์ที่สูงส่งที่สุดของตระกูลซั่งหยาง ตุลาการเหล็กทั้งแปดมีอำนาจแทบเทียบเท่ากับประมุขตระกูล

“คุณหนู เรื่องคุณชายลู่ผู้นั้น…” หญิงรับใช้ถามอย่างระมัดระวัง

“ใครเป็นคนกำหนดเรื่องแต่งงานก็ให้คนผู้นั้นแต่ง!” ซั่งหยางรั่วกล่าวอย่างหงุดหงิด นางไม่รู้ว่าทำไมท่านตาจึงปฏิเสธการคบกันของตนกับซั่งหยางคุนอวิ๋น

เทียบกับตระกูลขุนนางแล้ว บิดาของซั่งหยางคุนอวิ๋นคือตุลาการพู่กันเหล็ก เหนือกว่าผู้นำสำนักมารกำเนิดคนนี้ไม่รู้เท่าไหร่

ความเป็นอัจฉริยะ รูปโฉมและความฉลาดปราดเปรื่องของคุณชายคุนอวิ๋นเป็นอันดับหนึ่ง ลู่เซิ่งผู้นี้รู้จักบทเพลงเก้าจอกสุราไหม รู้จักเจรจาพาทีไหม รู้ไหมว่าพิณสามสายดีดอย่างไร

เขาที่มาจากสายเลือดตระกูลขุนนางที่ตกต่ำจากสถานที่เล็กๆ ไม่รู้เรื่องอะไรเลย

นอกจากมีศักยภาพ

‘ศักยภาพๆ เอาแต่พร่ำบอกถึงศักยภาพทั้งวัน!’ ซั่งหยางรั่วรำคาญใจ ไม่ว่าท่านตาหรือลูกผู้พี่ล้วนให้ความสำคัญแค่ศักยภาพ

ทรงพลังโดยกำเนิด มีพลังระดับฉลักษณ์ หนำซ้ำยังอายุน้อย เป็นได้ถึงขีดสุดว่าจะเข้าสู่ระดับอสรพิษในอนาคต นี่เป็นศักยภาพของลู่เซิ่ง

และเป็นจุดที่พวกท่านตาให้ความสำคัญ

“คุณหนู คุณชายคุนอวิ๋นส่งผลมะปรางสดใหม่มาอีกแล้วเจ้าค่ะ” พลันมีหญิงรับใช้ส่งเสียงเข้ามาจากด้านนอก

ดวงตาของซั่งหยางรั่วงุนงง จากนั้นก็ยิ้มเบิกบาน

“เขายังจำได้หรือ…” นางรีบลุกขึ้นออกไปต้อนรับด้วยตัวเอง

……………………………………….

[1] 1 หลี่ เท่ากับ 0.001 หยวน