ตอนที่ 262 บอกลาอย่างไม่คาดฝัน

เจ้าสาวร้อยเล่ห์

“เจ้าจะไปแล้ว?” ซั่งกวนฮ่าวมองเยี่ยนมี่เอ๋อร์และพวกอินหงหลันที่เก็บสัมภาระเดินทางเรียบร้อยแล้ว ก่อนจะตั้งใจเข้ามากล่าวลา งานประลองยุทธ์เพิ่งจะเริ่มได้สองวันก็จะไปเสียแล้ว? เขาคิดว่านางจะรั้งตัวกลับลี่โจวพร้อมกับพวกเขาเสียอีก! (ซั่งกวนฮ่าวถามใจตัวเอง กับเรื่องนี้เขายังคงกังวลอยู่บ้าง หากให้นางและเยี่ยนมี่เอ๋อร์พบหน้ากัน ก็ยังไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น!)

“ข้าได้ทำเรื่องสำเร็จแล้ว ก็ควรต้องไปแล้วเช่นกัน” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ้มบาง “ข้าจะเอาเถ้ากระดูกอาจารย์ให้ลุงอินเป็นผู้เก็บรักษา หวังว่าจะสามารถฝังศพในเดือนสิบเอ็ดได้ ถึงเวลานั้นข้าก็ไม่แน่ว่าจะมา อย่างไรต้องรบกวนผู้นำตระกูลซั่งกวนด้วย”

มู่หรงปั๋วอวี่ปรากฎตัว หวงฝู่หลินยวนก็ปรากฏตัว ใครจะรู้ว่ายังจะมีแขกที่ไม่ได้รับเชิญมาปรากฏตัวอีกหรือไม่ ฉะนั้นนางและซั่งกวนเจวี๋ยจึงปรึกษาหารือกัน ล้วนคิดว่าท่าทีของหวงฝู่เยวี่ยเอ้อในยามนี้ไม่ค่อยดีเท่าไร นางตั้งตัวเป็นศัตรูกับตัวเองที่อยู่ในฐานะคุณหนูสุราถึงเพียงนี้ อย่างไรรีบทำให้คุณหนูสุราหายไปจะดีกว่า ดังนั้นจึงเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น

“ควรไปตั้งนานแล้ว!” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อกล่าวอย่างเรียบเย็น อยู่ร่วมกันนับว่าไม่นาน เพียงสองสามวันเท่านั้น แต่ก็พบว่าหญิงสาวผู้นี้ แม้จะดูสนิทสนมกับลูกชายเป็นอย่างมาก แต่ก็ไม่ได้ทำพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมอันใด ทั้งยังเห็นนางปฏิเสธเด็กตระกูลมู่หรงคนนั้นอย่างไม่ไว้หน้า ก็รู้สึกว่าหญิงสาวคนนี้อาจจะไม่เหมือนที่ตนคิดไว้เสียทีเดียว เรื่องที่ยั่วยวนและหว่านเสน่ห์ใส่ผู้คนนั้น…แต่ว่า อย่างไรนางก็ชอบไม่ลงอยู่ดี ยังคงไม่อยากจะเห็นการปรากฏตัวของคุณหนูสุราอยู่ดี!

เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่ได้กล่าวอันใด ยามนี้ไม่ว่าจะพูดอะไรก็ไม่มีประโยชน์ทั้งนั้น อย่างไรจากไปให้รู้รอดรู้รอดยังจะดีกว่า สิ่งที่นางต้องการทำในยามนี้คือรีบกลับลี่โจว เปลี่ยนตัวกับตงอวี่ บางทีสองสามวันนี้ซั่งกวนฮ่าวอาจจะกลับไปเช่นกัน จากนิสัยของหวงฝู่เยวี่ยเอ้อแล้ว ย่อมจะไปหาตนเอง อย่างไรอย่าถูกจับได้จะดีที่สุด

“คุณหนูสุรา…” มู่หรงปั๋วอวี่วิ่งเข้ามาอย่างกระหืดกระหอบ ฉีอวี่เจวียน ผู้ที่มักจะตามอยู่ข้างหลังเขาไม่ห่างแม้แต่ครึ่งก้าวกลับหายไปไม่หายเงา ก็ไม่รู้ว่าได้ฟังคำแนะนำของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ จึงเลิกใช้วิธีที่จับตามองอย่างใกล้ชิดไปแล้วหรือไม่

เยี่ยนมี่เอ๋อร์ขมวดคิ้วแน่นอย่างไม่คิดปิดบังแม้แต่น้อย นางนั้นไม่มีกะจิตกะใจจะพูดกับคนผู้นี้จริงๆ ในความคิดของนาง เขาผิดปกติเป็นอย่างมาก ทั้งคงจะเป็นที่สมองล้วนๆ

“คุณหนูจะไปแล้วหรือ?” มู่หรงปั๋วอวี่นั้นได้ยินมาจากพวกบ่าวใช้ เขาตั้งใจสอดส่องดูแลบ่าวใช้ที่อยู่เรือนของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ด้านนั้นเป็นพิเศษ หากเกิดเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อันใดก็ให้รีบรายงานตัวเองทันที และคนพวกนั้นก็รู้สึกว่านี่ก็ไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่อันใด ทั้งยังดีใจที่ได้ประจบประแจงคุณชายตระกูลมู่หรง ดังนั้นจึงทำตามคำสั่งไป

ดูท่าบ่าวใช้ในเรือนนี้ต้องอบรมสั่งสอนให้ดีเสียหน่อยแล้ว! เยี่ยนมี่เอ๋อร์เห็นท่าทีของเขาก็รู้ทันทีว่าย่อมต้องมีบ่าวใช้วิ่งไปรายงานเขา จึงขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม รู้สึกว่าพวกบ่าวใช้ที่กล้ารายงานความลับเจ้านายนั้นไม่อาจปล่อยไว้ได้จริงๆ

“คุณหนูเต็มใจที่จะไปจากที่นี่เองหรือ?” มู่หรงปั๋วอวี่ได้ยินมาว่า หวงฝู่เยวี่ยเอ้อนั้นไม่ถูกกับคุณหนูสุราเท่าใด ดูท่าเป็นเพราะความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดาของซั่งกวนเจวี๋ยและคุณหนูสุรา นางคงกังวลว่าเรื่องนี้จะกระทบกับตำแหน่งลูกสะใภ้ของนางคนนั้นกระมัง!

“ข้าและเจ้าไม่มีเรื่องอะไรที่ต้องพูดทั้งนั้น ลุงอินพวกเราไปเถิด!” ครั้งนี้เยี่ยนมี่เอ๋อร์แทบไม่ต้องมองก็รู้แล้วว่าในหัวที่ไม่รู้ว่ามีสิ่งใดอยู่ของคุณชายมู่หรงผู้นี้ย่อมต้องคิดเรื่องที่คนทั่วไปล้วนไม่อาจนึกถึงเป็นแน่ นางไม่อยากเสียเวลากับเขาแม้แต่น้อย พยักหน้าเล็กน้อยให้กับพวกซั่งกวนฮ่าว ยกสัมภาระขึ้นก็ออกไปพร้อมกับพวกอินหงหลันทันที

“คุณหนูสุรา…” มู่หรงปั๋วอวี่อยากจะตามไป ทว่ากลับถูกซั่งกวนเจวี๋ยขวางไว้…เขาไม่อาจทนมองภรรยาของตนถูกคนตามก่อกวนได้อยู่แล้ว!

“เจ้าหลีกไป!” มู่หรงปั๋วอวี่ถลึงตามองเพื่อนรักในอดีตอย่างโกรธเคือง เขาไม่คิดมาก่อนว่าจะมีวันหนึ่งที่ตัวเองเกลียดชังจนถึงขั้นที่เคียดแค้นซั่งกวนเจวี๋ยได้ แต่ยามนี้เขามีเพียงความรู้สึกด้านลบกับซั่งกวนเจวี๋ยเท่านั้น

“ปั๋วอวี่นี่เจ้าคิดจะทำอะไร” เมื่อก่อนซั่งกวนฮ่าวนับว่ามีความประทับใจต่อเขาไม่เลว แต่ยามนี้รู้สึกว่าเขาไม่เข้าท่าเลยจริงๆ เขาและเจวี๋ยเอ๋อร์มีอายุเท่ากัน แม้ว่าจะเกิดปลายปี แต่ก็เป็นคนที่ใกล้จะครบยี่สิบสามปีเต็มแล้ว เหตุใดตั้งแต่เช้าจรดเย็นก็เอาแต่ใช้ชีวิตล่องลอยไม่เป็นโล้เป็นพาย ไม่มีความหนักแน่นแม้แต่น้อย ยังดีที่จิงอิ๋งกลับตัวทัน ไม่ได้เลือกเขาอย่างจริงจัง มิเช่นนั้นยามนี้ก็คงเอาแต่ตามหลังเขา ผู้ที่อยากร้องแต่ก็ร้องไม่ออกคงจะไม่ใช่เด็กตระกูลฉีคนนั้น แต่จะเป็นลูกสาวสุดที่รักของตัวเองแทนน่ะสิ!

“ท่านลุงซั่งกวน หลานเพียงแค่…” มู่หรงปั๋วอวี่ยังคงรู้ว่าการกระทำของตนเองไม่เหมาะสมเท่าใด ขอเพียงแค่คนที่มีตาก็จะรู้แล้วว่า คุณหนูสุรานั้นเกลียดชังเขาเป็นอย่างมาก แต่เขาก็ควบคุมการกระทำของตัวเองไม่ได้อยู่ดี ในใจของเขายังมีความเพ้อฝันอยู่นิดๆ หากซั่งกวนเจวี๋ยไร้ความรู้สึกต่อคุณหนูสุรา ในสถานการณ์ที่นางผิดหวังเสียใจนั้นจะเลือกตนเองหรือไม่?

“ปั๋วอวี่ ทุกคนล้วนมีความรับผิดชอบที่ตัวเองต้องแบกรับ เจ้าก็เหมือนกัน! อย่าได้ทำตัวเป็นเด็กไม่รู้จักโตเลย เจ้าเป็นแบบนี้ต่อไปรั้งแต่จะทำให้ตระกูลมู่หรงขายหน้า!” ซั่งกวนฮ่าวกล่าวประโยคนี้อย่างรุนแรงทั้งไม่เกรงใจ ตระกูลมู่หรงคล้ายกับว่าทุกรุ่นจะมีสักคนสองคนที่ ‘หักห้ามใจตัวเองไม่ได้’ รุ่นก่อนมู่หรงฉวีกุยถือเป็นหนึ่งในนั้น แต่ท้ายที่สุดเขาก็ไม่ได้ลืมหน้าที่ความรับผิดชอบของตัวเอง รุ่นนี้กลับเลยเถิดไปไกลกว่าเดิมมาก ชิงหวั่นเพิ่งจะดึงตัวเองกลับมาจากทางเดินที่ผิด ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขได้ เหตุใดเขาจึงทำความผิดเช่นนี้อีกเล่า?

“ท่านลุงซั่งกวน คือว่าข้า…” มู่หรงปั๋วอวี่อยากจะบอกเล่าความรู้สึกลึกซึ้งให้ทุกคนฟัง เขาเคยได้ยินพวกผู้อาวุโสพูดกันว่าซั่งกวนฮ่าวเป็นคนที่เห็นความสำคัญของความรู้สึกมากที่สุด แค่มองความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาสามีภรรยาก็รู้แล้ว คนเช่นนี้ ย่อมสามารถเข้าใจความโศกเศร้าของเขาได้แน่

“ท่านลุงซั่งกวน ท่านป้า!” เสียงของฉีอวี่เจวียนดังขึ้นตัดบทมู่หรงปั๋วอวี่ที่กำลังจะร่ายเรื่องยาว ทำให้คำพูดของเขาติดที่ลำคอ ออกมาไม่ได้…นี่เป็นจุดอ่อนอย่างหนึ่งของเขา ยามที่อารมณ์กำลังจะพรั่งพรู หากถูกคนขัดจังหวะก็จะชะงักจนพูดไม่ออกอยู่พักใหญ่

“อวี่เจวียน นี่…” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อไม่คิดจะสนใจมู่หรงปั๋วอวี่ เวลานี้นางและซั่งกวนฮ่าวล้วนมีความคิดเหมือนกัน ไม่ว่าจะมองเด็กคนนี้อย่างไรก็ล้วนขัดหูขัดตา เมื่อเห็นฉีอวี่เจวียนก็เดินเข้าไปยิ้มรับทันที กลับพบว่านางแต่งตัวไม่เหมือนเดิมอยู่บ้าง ดูคล้ายจะออกเดินทางไกลก็มิปาน

“หลานกำลังจะเดินทางกลับอวิ๋นโจว จึงเข้ามากล่าวลาท่านลุงและท่านป้า” รอยยิ้มของฉีอวี่เจวียนแฝงมาด้วยความขื่นขมที่มีเพียงตัวเองที่รู้ คำพูดของคุณหนูสุรา นางนั้นได้ฟังแล้ว แต่รับฟังหรือไม่นับเป็นเรื่องหนึ่ง สามารถทำได้หรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง พวกนางคุยกันในยามเย็นของเมื่อวานซืน และนางก็คิดมาตลอดหนึ่งวันสองคืน รู้สึกว่าผู้หญิงคนนั้นปรารถนาดีกับตัวเอง ทั้งคิดว่าตัวเองเอาแต่จับตามองมู่หรงปั๋วอวี่เช่นนี้ นอกจากไม่เกิดประโยชน์อันใด…มู่หรงปั๋วอวี่ยังคงพะเน้าพะนอคุณหนูสุราต่อหน้านาง ไม่ได้คำนึงถึงความสัมพันธ์ของทั้งสองคนแม้แต่น้อย ไม่ไว้หน้าให้ตัวเองสักนิด ทั้งยังให้ตัวเองพูดจับคู่พวกเขา นึกขึ้นมาก็ทำให้คนปวดใจ

นางจะต้องแต่งกับมู่หรงปั๋วอวี่ นี่เป็นเรื่องที่นางฝันใฝ่มาโดยตลอด ทั้งเป็นเรื่องที่สองตระกูลตัดสินใจแล้ว ไม่ว่านางหรือมู่หรงปั๋วอวี่ก็ไม่อาจจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้ เช่นนั้นก็เหมือนกับที่คุณหนูสุราพูด มิสู้ตัวเองกลับอวิ๋นโจวไปรอแต่งงานดีกว่า ไม่จำเป็นต้องลอยหน้าลอยตาอยู่เบื้องหน้าเขา ทำให้เขาเบื่อหน่ายไม่ว่า แต่ยังพาให้ตัวเองเหนื่อยล้าและเจ็บปวดไปด้วย

หลังจากครุ่นคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า นางก็ตัดสินใจจะจากไป…นางรู้ดี หากตัวเองไม่รีบทำเรื่องให้เด็ดขาด ก็ย่อมไปต่อไม่ได้แน่ ความรู้สึกที่นางมีต่อมู่หรงปั๋วอวี่ได้ลึกซึ้งจนถึงขั้นที่คลั่งไคล้แล้ว

“อะไรนะ?” คนที่แปลกใจที่สุดไม่ใช่สองสามีภรรยาซั่งกวนฮ่าว แต่เป็นมู่หรงปั๋วอวี่ หลังจากฉีอวี่เจวียนเพิ่งจะเข้าพิธีปักปิ่น ก็ถูกฉีอวี่ฮ่าวแนะนำให้รู้จักกับตัวเอง ในสายตาเด็กสาวคนนี้มีเพียงตนเอง ภายหลังยิ่งไม่สนใจอะไรก็เอาแต่ตามตนที่ออกค้นหาคุณหนูสุราไปทุกที่ เขารู้ว่าแม้ทุกคนในใต้หล้าจะจากเขาไปทั้งหมด แต่ฉีอวี่เจวียนก็ย่อมจะตามหลังตนเองอย่างไม่ห่างไปไหน แต่เหตุใด จู่ๆ นางก็ไม่ตามเสียแล้วเล่า?

“ที่บ้านได้ส่งจดหมายด่วนมา ต้องการให้ข้ารีบกลับไป” ฉีอวี่เจวียนก็ไม่อยากพูดเรื่องนี้ให้ชัดเจนนัก จึงหาข้ออ้างแทน แต่ใครก็ล้วนรู้ว่าข้ออ้างนี้มีน้ำหนักไม่พอเท่าใด

“จดหมายด่วน? จดหมายด่วนอะไร?” มู่หรงปั๋วอวี่ขมวดคิ้ว นางไม่ได้สนใจฉีอวี่เจวียน แต่กังวลที่จู่ๆ นางก็เปลี่ยนไป ความคิดแรกของเขาคือนางจงใจจะเล่นลูกไม้อะไรหรือไม่? อยากจะเห็นว่าตัวเองจะเลือกตามนางหรือตามคุณหนูสุรา? หากเป็นเช่นนั้น นางก็ให้ความสำคัญกับตัวเองมากเกินไปแล้ว!

“ท่านพ่อกล่าวว่ามีเรื่องด่วน ต้องการให้ข้ารีบกลับไป ส่วนเป็นเรื่องอะไรนั้น ในจดหมายไม่อาจจะกล่าวตรงๆ ได้ จึงไม่ได้เขียนให้ชัดเจน” ฉีอวี่เจวียนไม่ได้คิดไปถึงว่ามู่หรงปั๋วอวี่จะสามารถนึกถึงเรื่องได้มากมายขนาดนั้น นางก็ไม่รู้เรื่องที่คุณหนูสุราจะจากไปเช่นกัน ทั้งยังคาดไม่ถึงว่าพวกนางจะเลือกเวลาไปได้พอดิบพอดีกันเช่นนี้

“เช่นนั้นก็รีบกลับเถิด” ซั่งกวนฮ่าวนับว่าเกรงใจฉีอวี่เจวียนอยู่มาก แม้จะกล่าวว่าคุณหนูผู้นี้โง่เขลาไปบ้าง หุนหันพลันแล่นไปบ้าง แต่ก็นับเป็นคุณหนูที่ดีคนหนึ่ง นางและพิงถิงก็มีความสัมพันธ์ที่ไม่เลว จุดนี้ก็ควรจะเกรงใจนางอยู่บ้าง

“ข้าไม่มีเวลาส่งเจ้ากลับไป” มู่หรงปั๋วอวี่กล่าวอย่างตรงๆ หากมีเวลานั้นมิสู้เขาเอาไปตามคุณหนูสุราเสียจะดีกว่า!

“ข้ารู้” หากพูดว่าไม่เจ็บใจไม่เสียใจคงเป็นไปไม่ได้ แต่ฉีอวี่เจวียนก็ยังคงควบคุมอารมณ์ตัวเองได้เป็นอย่างดี เพราะนางคาดการณ์ไว้ตั้งนานแล้วว่ามู่หรงปั๋วอวี่จะมีท่าทีห่างเหิน เขาพูดเช่นนี้ล้วนไม่แปลกใจสักนิด หากเขาพูดว่าจะกลับอวิ๋นโจวเป็นเพื่อนนางจึงจะนับว่าแปลกมากกว่า!

“เช่นนั้นเจ้า…” มู่หรงปั๋วอวี่ขมวดคิ้ว รู้แล้วก็ยังจะกลับอวิ๋นโจวอย่างนั้นหรือ?

“ข้าได้เก็บข้างของเรียบร้อยแล้ว ยามนี้ก็กล่าวลาท่านลุงท่านป้าและท่านพี่แล้ว เช่นนั้นอวี่เจวียนก็จะเดินทางแล้ว!” ฉีอวี่เจวียนไม่อยากจะพูดอะไรกับเขามาก นางกังวลว่าหากตัวเองพูดมากไปก็จะทำใจไปจากเขาไม่ได้ แต่หากให้รั้งตัวอยู่จะมีประโยชน์อันใด? เพิ่มความเจ็บปวดให้ตัวเองเสียเปล่า ทั้งยิ่งทำให้เขาเกลียดชังตัวเองขึ้นเรื่อยๆ ยังมิสู้ให้เขาอยู่เงียบๆ คนเดียว ส่วนตัวเองก็รออยู่ที่บ้านอย่างสงบเสงี่ยม ไม่ว่าความปรารถนาของเขาจะเป็นอย่างไร งานแต่งของทั้งสองคนก็ต้องดำเนินไปอยู่ดี จะใช้ชีวิตอยู่กับเขา ยังมีเวลาอีกมาก!

ฉีอวี่เจวียนใช้สายตาที่ทำใจไม่ได้มองเขา แต่สิ่งที่มู่หรงปั๋วอวี่ได้ยินกลับเป็นคำพูดที่แตกต่างจากท่าทีโดยสิ้นเชิง “ข้าจะกลับไปแล้ว ก่อนแต่งงานก็อาจจะไม่ออกมา ทั้งไม่อาจพบพี่ปั๋วอวี่อีก อย่างไรขอพี่ปั๋วอวี่ดูแลตัวเองดีๆ ด้วย”

นี่มัน…นี่มัน…มองแผ่นหลังของฉีอวี่เจวียนที่มีความโศกเศร้าอยู่เลือนราง ในใจของมู่หรงปั๋วอวี่ก็มีความรู้สึกที่พูดไม่ออกอยู่บ้าง แต่ทันใดนั้น เขาก็นึกถึงคุณหนูสุรา ก็แทบไม่สนใจจะคิดมากอันใด รีบบอกลาสามีภรรยาซั่งกวนฮ่าวอย่างเร่งร้อนทันที เตรียมจะไล่ตามคนงามไป…นางและอินหงหลันเดินทางไปด้วยกัน ย่อมต้องกลับลี่โจวเป็นแน่ ไล่ตามไปยังเส้นทางลี่โจวก็คงไม่คลาดกัน

เฮ้อ…ซั่งกวนฮ่าวสั่นศีรษะ กล่าวกับซั่งกวนเจวี๋ย “ภายหลังอย่างไรพยายามอย่าได้คบค้าสมาคมกับเขาอีก!”

“ลูกทราบแล้ว!” ซั่งกวนเจวี๋ยก็ส่ายศีรษะเช่นกัน ไม่ว่าจะครุ่นคิดถึงการกระทำของมู่หรงปั๋วอวี่อย่างไรก็ยังไม่เข้าใจ…