ตอนที่ 261 สะสาง

เจ้าสาวร้อยเล่ห์

“คุณหนูสุราเกลียดชังปั๋วอวี่ขนาดนั้นเชียวหรือ?” หลังจากกินอาหารเย็น ฉีอวี่เจวียนก็นัดเยี่ยนมี่เอ๋อร์ออกมา กล่าวว่ามีเรื่องอยากจะถาม และเยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็ยินดีไปตามนัด

“ข้าเกลียดเขายามที่เขาลอยหน้าลอยตาอยู่ตรงหน้าข้าเท่านั้น!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวอย่างเรียบง่าย

“เช่นนั้นยามที่ไม่เห็นเล่า?” ฉีอวี่เจวียนนั้นกังวลกับตัวเองเป็นอย่างมาก นางรู้ว่ามู่หรงปั๋วอวี่คงจะอยู่ที่ไหนสักแห่ง ที่ซึ่งสามารถฟังพวกนางคุยกันได้ หากคุณหนูสุราพูดว่ามีความรู้สึกดีอะไรกับเขาละก็ เขาย่อมต้องตามตอแยนางอย่างไม่เลิกราเป็นแน่

“ยามที่ไม่ได้เห็นก็ดีหน่อย” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เผยยิ้มบาง “สำหรับข้า เขาก็เป็นเพียงคนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอันใด หากเขาไม่ได้ลอยหน้าลอยตาอยู่ตรงหน้าข้า ทำให้ข้าเกลียด ข้ายังจำเป็นต้องนึกถึงเขาทำไม? นั่นไม่เท่ากับหาเรื่องให้ตัวเองหรอกหรือ?”

ฉีอวี่เจวียนสั่นสะท้านเล็กน้อย รู้สึกเศร้าใจแทนมู่หรงปั๋วอวี่ ที่แท้สำหรับคุณหนูสุราแล้ว มู่หรงปั๋วอวี่ไม่ใช่คนที่นางเกลียด แต่เป็นเพียงคนที่เดินผ่านไปมาคนหนึ่ง ขอเพียงแค่ไม่ออกมาสร้างความลำบากใจให้นาง ก็เป็นเพียงคนที่ไม่รู้จักกัน

“เช่นนั้นพี่ใหญ่ข้าเล่า?” ฉีอวี่ฮ่าวได้แต่งงานไปเมื่อครึ่งปีก่อน เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่ได้ไป แต่ซั่งกวนเจวี๋ยนั้นตามไปแสดงความยินดีเขาที่อวิ๋นโจว ว่ากันว่าเจ้าสาวคนนั้นเก่งกาจเป็นอย่างมาก เป็นลูกสาวเพียงคนเดียวของตระกูล แค่อยู่ห้องหับก็มีชื่อเสียงเรื่องความเก่งกล้า ตระกูลก็ไม่เลว รูปลักษณ์ก็งดงาม…คุณหนูตระกูลใหญ่ๆ นั้น หากจะหาคนที่น่าเกลียดก็นับว่าเป็นเรื่องยากจริงๆ ไม่ว่าตระกูลไหนก็ล้วนวางแผนจัดการกันมาเป็นสิบกว่ารุ่นหรือหลายสิบรุ่น ผู้ที่แต่งเข้าตระกูลอย่าเพิ่งพูดเลยว่านิสัยเป็นเช่นไร แต่รูปลักษณ์นั้นไม่อาจจะด้อยไปกว่าใคร สืบทอดกันรุ่นต่อรุ่นลงมา ไม่ว่าจะชายหรือหญิงก็ล้วนไม่มีหน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่สักคน

“เขา? เขาก็เป็นคนที่รู้จักคนหนึ่งเท่านั้น อย่างอื่นข้าก็ไม่มีความประทับใจอะไรแล้ว ทั้งไม่อาจจะให้ความเห็นได้” แต่ไหนแต่ไรเยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็ไม่เคยคิดที่จะยุ่งเกี่ยวกับบุรุษคนใดนอกจากซั่งกวนเจวี๋ย(ยกเว้นเสี่ยวหมิงเอ๋อร์) นางไม่เคยคิดมาก่อนว่าหากทำให้บุรุษล้อมรอบตัวเองก็สามารถทำให้ตัวเองโดดเด่นขึ้นมาได้ จำได้ว่ามารดาเคยกล่าวว่า ผู้หญิงหนึ่งคนสามารถมีชื่อเสียงที่ดีได้ แต่ต้องทำให้ความสามารถของนางเป็นที่ประจักษ์เท่านั้น สามารถเผยให้คนเห็นว่าหน้าตาตัวเองงดงามเพียงใดได้ แต่ย่อมไม่อาจสร้างความสัมพันธ์กับบุรุษคนใดได้ โดยเฉพาะไม่อาจทำให้ชื่อเสียงของตนเองเด่นชัดในแวดวงหญิงสาว แต่กลับแพร่สะพัดในแวดวงบุรุษ นั่นจะทำให้คนรู้สึกว่าไม่หนักแน่น สิ่งที่ผู้หญิงเกรงกลัวที่สุดไม่ใช่การที่ได้แต่งงานกับสามีที่ดีคนหนึ่งไม่ได้ แต่เป็นการที่เลือกผู้ชายแล้วเลือกผู้ชายอีก วันนี้เจ้าเลือก วันหน้าคนอื่นก็ย่อมเลือก เขาย่อมไม่คิดว่าเจ้าชอบเพราะชอบจริงๆ แต่คิดว่าชอบเพราะปัจจัยเงื่อนไข เช่นนั้นในยามที่เขามีเงื่อนไขให้เลือกได้ เจ้าก็มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นคนถูกทิ้ง

ฉีอวี่เจวียนไม่รู้ว่าควรพูดอะไรอยู่บ้าง ก่อนที่ยังไม่ได้พบคุณหนูสุรา นางย่อมคิดไปเองว่าคุณหนูสุราเป็นหญิงสาวที่แสร้งทำเป็นเหนียมอาย ใช้วิธีเจ้าเล่ห์เพื่อดึงดูดชายหนุ่มที่โดดเด่นให้มาหลงเสน่ห์ตนคนหนึ่ง แทบจะลืมสิ่งที่พึงกระทำของตัวเองโดยสิ้นเชิง ครั้งที่แล้วที่มีโอกาสพบกัน จึงทำให้นางกระจ่างใจว่าเป็นเพียงละครเก่าๆ อย่าง ‘เซียงอ๋องเพ้อฝัน เทพธิดาไร้รัก[1]’ เท่านั้น นางใช้ชีวิตด้วยความเป็นตัวเอง ทั้งทำตามอำเภอใจ คนอื่นจะชอบหรือเกลียดนางล้วนไม่ใช่เรื่องสำคัญ นางก็เป็นเพียงตัวนางเท่านั้น ครั้งนี้ได้พบกัน พบว่านางแตกต่างไปจากเดิมเล็กน้อย เหมือนว่านางจะไม่ได้เป็นตัวเองถึงขนาดนั้นแล้ว ดังนั้นจึงได้โจมตีมู่หรงปั๋วอวี่อย่างไม่เกรงใจ เพียงแต่ไม่รู้ว่ามู่หรงปั๋วอวี่จะคิดไปเองว่าตัวเองถูกอีกครั้งหรือเปล่า

“ยังมีอะไรอยากจะถามหรือไม่?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองฉีอวี่เจวียนอย่างอ่อนโยน สำหรับหญิงสาวที่เพิ่งจะรู้จัก แต่ก็เผยความอบอุ่นให้ตนเองที่อยู่ในฐานะเยี่ยนมี่เอ๋อร์คนนี้ นางจึงมีความรู้สึกดีอยู่มาก ทั้งมีความอดทนมากขึ้นเช่นกัน

“เจ้าสามารถครุ่นคิดเรื่องอนาคตกับปั๋วอวี่หน่อยได้หรือไม่?” ฉีอวี่เจวียนไม่อยากถามประโยคนี้ออกมา แต่เมื่อนึกถึงมู่หรงปั๋วอวี่ที่ฝากฝังต่อตนไว้ นางจึงยังคงกล่าวออกมา คำพูดเพิ่งจะหลุดออกจากปากก็รู้สึกหน้าร้อนขึ้นมาแล้ว

“อนาคตของข้ากับเขา?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์หลุดขำ “ข้าก็คือข้า เขาก็ยังคงเป็นเขา พวกเราเป็นเพียงคนสองคนที่บังเอิญรู้จักกันท่ามกลางผู้คนมากมาย พบหน้ากัน พยักหน้าแก่กัน จากนั้นก็เดินไปตามทางของตัวเอง ย่อมมีอนาคตเป็นของตัวเอง ไม่อาจจะเป็นอย่างอื่นไปได้”

ฉีอวี่เจวียนไม่รู้ว่าตัวเองควรจะโล่งอกหรือเสียใจแทนมู่หรงปั๋วอวี่ดี นางนั้นมีความรู้สึกที่ลึกซึ้งกับมู่หรงปั๋วอวี่ ลึกซึ้งถึงขั้นที่แม้จะรู้ว่ามู่หรงปั๋วอวี่อาจจะมีผู้หญิงอีกหนึ่งคนอยู่ในใจชั่วชีวิต ก็ยินดีที่จะแต่งงานกับเขา

เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองฉีอวี่เจวียน กล่าวด้วยรอยยิ้ม “เจ้าคิดว่าเขามีความรู้สึกต่อข้าอย่างนั้นหรือ? ผิดแล้ว เขาเพียงคาดไม่ถึงว่าใต้หล้าแห่งนี้ยังจะมีผู้หญิงที่ไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาเท่านั้น สิ่งที่เขาต้องการไม่ใช่การตอบรับจากข้า แต่เป็นการตอบรับจากหญิงสาวผู้ที่แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยเห็นเขาเป็นสิ่งใด ในสายตาของข้า เขาก็เป็นเพียงคุณชายตระกูลใหญ่ที่ถูกตามใจจนนิสัยเสีย หากข้ามีจิตใจที่โลเล ถูกเขาทำให้หวั่นไหว เช่นนั้นในช่วงเวลาสั้นๆ เขาก็จะละทิ้งง่ายๆ อย่างไม่เสียดาย แม้แต่จะมองข้าให้มากหน่อยก็ย่อมไม่อยากมอง”

“พี่ปั๋วอวี่ไม่ใช่คนเช่นนั้น!” ฉีอวี่เจวียนแทบจะโต้แย้งไปตามสัญชาตญาณ ในสายตาของนาง มู่หรงปั๋วอวี่เป็นคนที่สมบูรณ์แบบคนหนึ่ง แม้ว่าจุดด้อยจะเป็นการลุ่มหลงที่แตกต่างจากคนทั่วไปอยู่มาก

“ดังนั้นข้าจึงพูดว่าเจ้าถูกความรักทำให้ตาบอด” เยี่ยนมี่เอ๋อร์แย้มยิ้ม กล่าวเตือน “หากเจ้าอยากจะมีอนาคตที่ดีกับเขา เช่นนั้นยามนี้สิ่งที่เจ้าต้องรีบทำที่สุดคือดึงเขาลงมาจากหิ้งบูชา อย่าได้มองเขาเป็นเทพเทวดา แต่ให้มองเขาเป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่ง เช่นนั้นเจ้าก็จะพบว่า ที่จริงเขาก็เป็นแบบที่ข้าพูด เด็กผู้ชายที่ถูกตามใจจนเหลิงคนหนึ่งเท่านั้น”

“เช่นนั้นพี่เจวี๋ยเล่า? เจ้าอย่าบอกนะว่าเจ้าไม่ชอบพี่เจวี๋ย ระหว่างพวกเจ้าสองคนนั้นไม่เหมือนกัน พวกเราทุกคนล้วนเห็นอยู่ตำตา” ฉีอวี่เจวียนรู้ว่าคุณหนูสุราไม่ได้พูดจาเรื่อยเปื่อย แต่เพราะพูดตรงจุด ดังนั้นใจนางจึงถูกกระทบไปด้วย ทั้งไม่อยากยอมรับ…หากมู่หรงปั๋วอวี่ที่มีวงแหวนบนหัวนั้นถูกดึงลงมา นางจะยังเต็มใจแต่งกับเขาเหมือนยามนี้อีกหรือไม่ ไม่สนใจคำพูดเย็นชาและความห่างเหินของเขาอย่างนั้นหรือ? นางไม่กล้าลอง

“ข้าชอบเขาเป็นอย่างมาก ทั้งเขาก็เป็นผู้ชายที่ข้าชอบเพียงคนเดียว” ยามที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์พูดประโยคนี้ไปก็อยากจะแยกตัวลูกชายสุดที่รักออกมา อย่างไรเขาก็เป็นผู้ชาย! เฮ้อ จู่ๆ ก็คิดถึงลูกชายขึ้นมาบ้างแล้ว!

“เช่นนั้นเจ้าจะพยายามช่วงชิงเพื่อให้ได้อยู่กับเขาหรือไม่?” ฉีอวี่เจวียนกล่าวอย่างจริงจัง “พี่สะใภ้เจวี๋ยเป็นหญิงสาวที่โดดเด่นคนหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นด้านไหนล้วนดีทุกอย่าง นิสัยดีมีคุณธรรม บางทีนางอาจจะยอมมีสามีร่วมกับ…”

“ข้าไม่อาจช่วงชิง” ในยามที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์พูดประโยคนี้ก็แลบลิ้นอยู่ในใจ ลอบกล่าวกับตัวเอง พวกเราเป็นสามีภรรยา เดิมทีก็เป็นคนเดียวกัน ช่วงชิง? นั่นก็เป็นเพียงเรื่องที่เกินความจำเป็นเท่านั้น

“เพราะเหตุใด? หรือเจ้าคิดว่าพี่เจวี๋ยไม่คุ้มค่าพอให้เจ้าช่วงชิง?” ฉีอวี่เจวียนไม่เข้าใจความคิดของคุณหนูสุรามากนัก ขอแค่เป็นคนที่มีดวงตาก็ล้วนมองออกแล้วว่าระหว่างพวกเขาทั้งสองมีกลิ่นอายที่ไม่ธรรมดา

“ช่วงชิงไม่ใช่เรื่องยาก แต่หากช่วงชิงถึงท้ายที่สุดแล้วเล่า?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์สั่นศีรษะ “คุณหนูอวี่เจวียนรู้หรือไม่ว่าสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในใต้หล้าแห่งนี้คืออะไร?”

“อะไรหรือ?”

“จิตใจคนและความเคยชิน!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวเสียงเบา คล้ายตัวเองจะไปทำให้อะไรตกใจ พูดอย่างแผ่วเบา “หากข้าช่วงชิงแล้ว ก็ได้รับโอกาสให้ใช้ชีวิตอยู่กับเขาตราบนานเท่านาน แต่หลังจากนั้นเล่า? ข้าก็จะใช้ชีวิตได้อย่างสงบสุขอย่างนั้นหรือ? คุณหนูฉี นั่นย่อมเป็นไปไม่ได้! คนล้วนมีใจละโมบอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ข้าย่อมจะไม่พอใจ จะคิดว่าในเมื่อเขาก็ชอบข้าแล้ว เหตุใดยังจะต้องมีคนคั่นอยู่ตรงกลางระหว่างพวกเราอีก ข้าอาจหาทุกวิถีทางทำให้เขาและภรรยาของเขาผิดใจกัน สร้างสถานการณ์เพียงพอที่จะทำให้พวกเขาเข้าใจผิดและขัดแย้งกัน ทำให้พวกเขาต่างเกลียดขี้หน้ากัน หรืออาจทำอย่างตรงๆ กว่านั้น คือสังหารผู้หญิงคนนั้นเสีย นี่คือจิตใจคน แต่ข้าก็จะสามารถมีความสุขได้หรือ? ย่อมไม่แน่นอน! เจ้าเคยเห็นพวกเขาสองสามีภรรยา ล้วนพูดว่าพวกเขารักใคร่กลมเกลียว ผูกพันลึกซึ้ง ยามนี้เขาสามารถทำให้ภรรยาเสียใจเพราะข้าได้ ในอนาคตก็ย่อมมีวันหนึ่งที่เขาทิ้งข้าไว้ข้างหลังเพราะผู้หญิงคนอื่นได้ นี่ก็คือความเคยชิน”

“หากกล่าวว่าพี่เจวี๋ยย่อมไม่อาจปล่อยให้เรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้นได้เล่า?” ฉีอวี่เจวียนกลับไมรู้สึกแปลกใจกับคำอธิบายของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ ตระกูลฉีไม่ได้มีกฎตระกูลที่เข้มงวดมากมายถึงเพียงนั้น ทั้งไม่มีสภาผู้อาวุโส ปู่ของนางก็ดี พ่อของนางก็ดี ล้วนมีภรรยาและอนุมากมาย ในบ้านนั้นห้ำหั่นกันอย่างไม่หยุดหย่อน เรื่องที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์พูดพวกนั้นนางก็คุ้นชินอยู่ไม่น้อย

“เขามีเพียงวิธีเดียวที่จะไม่ทำให้เรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้น!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์คลี่ยิ้มบาง นางนั้นมีความเชื่อใจซั่งกวนเจวี๋ยอย่างเต็มเปี่ยม ซั่งกวนเจวี๋ยก็เหมือนกัน แม้ว่าเขาจะปกป้องตัวเองจนถึงขั้นตามใจอยู่บ้าง เพราะเรื่องที่ตัวเองเป็นศิษย์ของอวี๋ฮวน แต่หากตัวเองเผยความคิดที่อยากแต่งกับซั่งกวนเจวี๋ยออกมาจริงๆ กลัวว่าเขาคงจะเป็นคนแรกที่กระโดดออกมาคัดค้าน สิ่งที่หวงฝู่เยวี่ยเอ้อเกลียดคือฐานะศิษย์ของอวี๋ฮวน แต่สิ่งที่เขาคัดค้านก็คือหญิงสาวที่อาจจะคุกคามถึงฐานะของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ได้…หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น หวงฝู่เยวี่ยเอ้ออาจจะทำเพียงต่อต้านเล็กน้อย จากนั้นก็ผลักเรือตามน้ำยอมรับ ในทางกลับกัน เขาจึงจะเป็นผู้อาวุโสที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์สามารถพึ่งพิงได้อย่างแท้จริง

“วิธีอันใด?” ฉีอวี่เจวียนแปลกใจที่นางยังยิ้มได้อย่างสดใสถึงเพียงนี้

“นั่นก็คือปฏิเสธข้าตั้งแต่เริ่ม!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์หัวเราะขึ้นมา “ดังนั้นยามที่อยู่ลี่หูชุนเขาจึงปฏิเสธข้าอย่างไม่เกรงใจ เจ้าก็อยู่ในเหตุการณ์ไม่ใช่หรือ?”

“ขอโทษ! หากไม่ใช่เพราะข้าเอาแต่พูดจาเหน็บแนมเจ้าละก็…” นึกถึงเรื่องนั้น ฉีอวี่เจวียนก็อดที่จะรู้สึกผิดไม่ได้ หากไม่ใช่เพราะนาง ก็อาจจะไม่เกิดเรื่องที่น่ากระอักกระอ่วนเช่นนั้นขึ้น

“ที่จริงข้าควรต้องขอบคุณเจ้า!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พูดความจริง เรื่องที่เกิดในลี่หูชุนทำให้นางยิ่งเข้าใจในนิสัยของซั่งกวนเจวี๋ยมากกว่าเดิม ต้องพูดว่ายามที่ยินดีจะฝากฝังตัวเองไว้กับซั่งกวนเจวี๋ยตลอดชีวิตนั้น ไม่ใช่ตอนที่รู้ว่าซั่งกวนเจวี๋ยคือคุณชายขลุ่ยที่ตัวเองชื่นชอบ ทั้งไม่ใช่ตอนที่ร่วมห้อง มอบตัวเองให้กับเขา แต่เป็นตอนที่รู้ว่า ไม่ว่าจะรักหรือไม่รัก แต่ซั่งกวนเจวี๋ยก็ย่อมรับผิดชอบต่อภรรยาของเขา และก็เป็นยามที่ปฏิเสธ ‘คุณหนูสุรา’ อย่างไม่ลังเลทั้งที่เห็นได้ชัดว่าเขาสนใจนาง ท่านแม่พูดไม่มีผิด ผู้ชายคนหนึ่งอาจจะไม่มีอะไรก็ได้ แต่สิ่งที่ขาดไม่ได้คือความรับผิดชอบ เขาเป็นผู้ชายที่มีความรับผิดชอบคนหนึ่ง ทั้งเป็นผู้ชายที่สามารถฝากฝังชีวิตที่เหลืออยู่ไว้ได้

“เพราะเหตุใด?” ฉีอวี่เจวียนไม่เข้าใจ

“หากไม่ใช่เพราะเจ้า ข้าก็ไม่แน่ว่าจะกล้าพูดเช่นนั้นออกมา ทั้งคงจะไม่ถูกปฏิเสธ เช่นนั้นยามนี้อาจคงยังกังวลกับผลได้ผลเสียเรื่องนั้นอยู่” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ้มอย่างจริงใจ “ดังนั้นสำหรับเรื่องนั้น ข้าจึงทำได้เพียงขอบคุณ!”

แต่ข้าถูกพี่ใหญ่และปั๋วอวี่โกรธเคือง ล้วนคิดว่าเป็นข้าที่พูดซี้ซั้วไล่ต้อนเจ้า ฉีอวี่เจวียนมองเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่เผยรอยยิ้ม คำพูดที่อยู่ลึกในใจจึงไม่ได้พูดออกมา

“ได้ยินมาว่ามีคนคิดว่าเป็นเพราะคำพูดของเจ้าจึงทำให้ข้าจากไปอย่างปวดใจ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ได้ยินซั่งกวนเจวี๋ยเอ่ยขึ้นมาอย่างไม่ตั้งใจ ในยามที่พูดยังตำหนิตัวเองอย่างทีเล่นทีจริงว่าเป็น ‘สาวงามล่มเมือง’

“มีคนคิดอย่างนั้นจริงๆ!” ฉีอวี่เจวียนพยักหน้า

“ครั้งหน้าหากพวกเขาพูดเช่นนี้อีก เจ้าก็ถามพวกเขาดูว่าเคยเจอข้ามากี่ครั้ง!” ก็เพราะคำพูดพวกนี้ เยี่ยนมี่เอ๋อร์จึงไม่มีความประทับที่ดีเท่าใดต่อพวกมู่หรงปั๋วอวี่ นางกล่าวอย่างเรียบนิ่ง “พวกเราล้วนเป็นคนที่พบกันอย่างบังเอิญ แต่ไหนแต่ไรข้าก็ไม่เคยคิดจะคบค้าสมาคมกับพวกเขาบ่อยๆ พบกันแต่ไม่อยากรู้จักนั้นกลับเป็นสิ่งที่ข้าต้องการ ไม่ว่าจะมีคำพูดพวกนั้นของเจ้าหรือไม่ ข้าและพวกเขาก็ย่อมไม่อาจมีโอกาสอะไรพบเจอกันอีกแล้ว”

“เช่นนั้นเจ้าและพี่เจวี๋ย…” ฉีอวี่เจวียนสงสัยอยู่บ้าง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดนางจึงอยู่ที่นี่

“พวกเราก็เพียงพบกันอย่างบังเอิญเท่านั้น งานประลองยุทธ์เสร็จสิ้นก็ย่อมจะแยกย้ายกันไป ครั้งหน้าที่จะเจอกันก็ไม่รู้ว่าจะเป็นเมื่อใด บางทีเวลานั้นข้าอาจจะมีครอบครัวแล้ว หรือบางทีอาจจะหัวหงอกผมขาวแล้ว ยากที่จะพูด!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์รู้ดี งานประลองยุทธ์ครั้งนี้อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ตัวเองจะได้ใช้ฐานะของคุณหนูสุรามาปรากฏตัวต่อหน้าทุกคน แต่นางกลับไม่รู้สึกเสียดายแม้แต่น้อย…ที่จริงยามนี้นางเสียใจที่ต้องทำให้คุณหนูสุราปรากฏตัวออกมามากกว่า เพราะหากจะเที่ยวเล่นละก็ นางอยากจะให้ซั่งกวนเจวี๋ยพามาในฐานะภรรยาและพกลูกชายมาด้วยกันเสียดีกว่า

ฉีอวี่เจวียนอ้าปากค้างหลายครั้งกลับเพราะไม่รู้ควรพูดอะไรจึงหุบปาก และเยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็อดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ “เจ้าก็อย่าได้คิดว่าข้ามีเรื่องอันใดติดค้างกันอีกเลย คิดว่าจะจัดการกับมู่หรงปั๋วอวี่อย่างไรดีกว่า จะให้คำแนะนำที่ไม่เลิศล้ำเท่าใดนักแก่เจ้าแล้วกัน ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปก็รอการแต่งงานดีๆ อย่าได้ปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้าเขา บางทีเขาอาจจะไม่คุ้นชิน อดใจวิ่งมาลอยหน้าลอยตาอยู่เบื้องหน้าเจ้าไม่ไหวก็เป็นได้!” ยามที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์พูดเรื่องนี้ ก็นึกถึงหลิงหลงขึ้นมา ทั้งนึกถึงชุยฮ่าวหรันที่ยากจะสละพ้นผู้นั้น แต่ก็หวังว่าเขาคงจะลืมไปแล้วเช่นกันว่าคุณหนูสุราคือผู้ใด…

———————————

[1] เซียงอ๋องเพ้อฝัน เทพธิดาไร้รัก อุปมาว่ารักข้างเดียว