ตอนที่ 260 โจมตีแขกที่ไม่ได้รับเชิญ

เจ้าสาวร้อยเล่ห์

“คาดไม่ถึงว่าจะเจอคุณหนูสุราที่นี่ได้!” ชั่วพริบตาที่มู่หรงปั๋วอวี่เห็นเยี่ยนมี่เอ๋อร์นั้น เห็นได้ชัดว่าทั่วทั้งร่างพลันตื่นเต้นขึ้นมาทันตา ดวงตาก็กระจ่างใส ทำให้ฉีอวี่เจวียนที่อยู่ข้างกายเขารู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาในใจ คล้ายกับว่านางไม่เคยได้รับการปฏิบัติเช่นนี้มาก่อน

เยี่ยนมี่เอ๋อร์ชำเลืองตามองเขาอย่างเรียบนิ่ง ไม่ได้สนใจเขา แต่พุ่งความสนใจไปมองสองพ่อลูกซั่งกวนฮ่าวที่เล่นหมากแทน…เฮ้อ ดูเป็นหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่นางไม่อยากจะสนใจมู่หรงปั๋วอวี่สักนิด เมื่อก่อนก็ไม่ได้มีความรู้สึกดีอะไรให้เขา ยามนี้นอกจากไม่มีความรู้สึกดีแล้ว ยังมีความเกลียดเพิ่มขึ้นมาอยู่เลือนราง จึงยิ่งไม่อยากสนใจเขา

“คุณหนูสุรา ไม่เจอกันตั้งนาน!” หวงฝู่หลินยวนท่าทีเป็นธรรมชาติอยู่มาก เพียงแค่ประสานมือทักทายเยี่ยนมี่เอ๋อร์พอเป็นพิธีเท่านั้น ไม่ได้แสดงท่าทีเกินความเหมาะสมแต่อย่างใด เมื่อต้นปีเขาก็ได้มีงานหมั้นหมายแล้วเช่นกัน อีกฝ่ายคือคุณหนูลูกหลานตระกูลบัณฑิตของฝูโจว หลังจากเขาหมั้นหมายก็เปลี่ยนแปลงนิสัยที่คึกคะนองไป ทั้งไม่ได้คลุกคลีกับมู่หรงปั๋วอวี่อีกแล้ว การกระทำของเขาทำให้หวงฝู่เจิ้นหลงรู้สึกปลาบปลื้มใจเป็นอย่างมาก

“ใช่ ไม่เจอกันตั้งนาน!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยังคงมีสีหน้าที่ดีต่อเขาอยู่สองส่วน หวงฝู่หลินยวนนับว่าไม่เลว สามารถวางตัวนางไว้ในตำแหน่งที่ชัดเจน ไม่ได้ใช้ ‘ความหักห้ามไม่ไหว’ มาเป็นข้ออ้าง ทำเรื่องที่ทำร้ายคนอื่นและทำร้ายตัวเองออกมา

“คุณหนูสุรา ข้าพกจุ้ยเสวี่ยมาหลายไห ไม่รู้ว่าคุณหนูสุราว่างยามใด พวกเราสามารถหาที่สักแห่งไปดื่มสุราด้วยกันได้” แต่ไหนแต่ไรมู่หรงปั๋วอวี่ก็ไม่เคยสนใจเรื่องที่คุณหนูสุรากลอกตาใส่เขา อีกทั้งเมื่อเป็นเช่นนี้เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าคุณหนูสุรามีลักษณะที่พิเศษอย่างหนึ่ง ทำให้เขายิ่งลุ่มหลงอย่างถอนตัวไม่ได้

“ในสายตาของเจ้า ข้าเป็นเพียงคนโง่ที่เห็นสุราก็ไม่สนใจอะไรอย่างอื่นแล้วอย่างนั้นหรือ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ขมวดคิ้วแน่น จะดื่มสุราก็ต้องดูฝ่ายตรงข้าม หากดื่มกับเขา นางนั้นไม่มีความอยากสักนิด

“ย่อมไม่ใช่ ข้าเพียงแค่…” มู่หรงปั๋วอวี่คาดไม่ถึงว่าคุณหนูสุราจะเข้าใจความหมายของเขาผิด รีบร้อนที่จะกล่าวอธิบาย ส่วนฉีอวี่เจวียนที่อยู่ด้านข้างในใจกลับยิ่งรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา

“พบคนรู้ใจ ดื่มกันพันจอกยังว่าน้อย หากเป็นตรงกันข้ามก็ตามนั้น!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองเขาอย่างเรียบนิ่งไปที กล่าวตรงๆ “ข้าไม่อาจดื่มสุรากับเจ้าได้อีกต่อไป ดังนั้นเจ้าก็หยุดเรื่องนี้เสียทีเถิด”

มู่หรงปั๋วอวี่นั้นอึ้งจนพูดไม่ออก เอาแต่ชื่นชมในความเถรตรงของนางมาโดยตลอด แต่ยามที่ ‘ความเถรตรง’ ของนางถูกใช้มาปฏิเสธตัวเอง ก็ยังคงรู้สึกยากที่จะรับได้จริงๆ!

“จิ้งเอ๋อร์และปั๋วอวี๋ พวกเขาก็รู้จักกันมาก่อนอย่างนั้นหรือ?” แม้ว่าซั่งกวนฮ่าวจะคลุกคลีกับโม่จิ้งกว่าครึ่งวัน ทั้งยังเรียกชื่อตามพวกอินหงหลัน กระนั้นเยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็ไม่มีสีหน้าดีๆ ให้เขามาโดยตลอด(ไม่กล้าจะแสดงท่าทีสนิทสนมต่างหาก) แต่ก็ไม่ได้พูดต่อต้านอะไร เพียงฟังเขาพูดเองเออเอง ไม่ได้แสดงความคิดเห็นอันใดเพิ่มเติมก็นับว่าเพียงพอแล้ว

“ท่านลุงและคุณหนูสุราก็รู้จักกันหรือ?” มู่หรงปั๋วอวี่ทั้งตกใจทั้งดีใจ ที่ดีใจคือเสน่ห์ของคุณหนูสุรามีความแตกต่างจากคนทั่วไป คาดไม่ถึงว่าจะทำให้ซั่งกวนฮ่าวเรียกได้อย่างสนิทสนมเช่นนี้ คาดว่าหลังจากท่านลุงและบิดาพบนางก็ย่อมต้องชอบนางเช่นกัน และที่ตกใจก็คือซั่งกวนฮ่าวพูดคุยสนิทสนมกับนางเช่นนี้ หรือเขาได้เห็นด้วยกับเรื่องของคุณหนูสุราและซั่งกวนเจวี๋ยแล้ว?

“นางพักอยู่ที่เรือนพำนักของตระกูลซั่งกวนจะไม่รู้จักได้อย่างไร?” ซั่งกวนฮ่าวจะตกหลุมพรางเด็กรุ่นลูก หลุดปากออกไปได้อย่างไร ตอบกลับอย่างคลุมเครือ คล้อยหลังก็กล่าวมองมู่หรงปั๋วอวี่และฉีอวี่เจวียน “งานแต่งของพวกเจ้ากำหนดวันเรียบร้อยแล้วใช่หรือไม่ นี่เป็นเรื่องที่สำคัญเรื่องหนึ่งในชีวิตของคน กำหนดให้เร็วหน่อยย่อมดี จะได้ตระเตรียมงานได้อย่างใหญ่โต”

“กำหนดงานแต่งคือเดือนสิบของปีหน้า พร้อมกับงานชมดอกพุดตานพอดี!” ยามที่ฉีอวี่เจวียนกล่าวประโยคนี้ก็ตั้งใจมองเยี่ยนมี่เอ๋อร์เป็นพิเศษ พบว่านอกจากใบหน้าที่เผยท่าทีโล่งใจของนางแล้ว ก็ไม่ปรากฏอารมณ์อย่างอื่นอีก เมื่อเหลียวมาเห็นใบหน้าที่ตึงเครียดของมู่หรงปั๋วอวี่ ในใจก็ยิ่งเจ็บปวดขึ้นมา

“ข้าไม่ได้เห็นด้วยกับงานแต่งงานครั้งนี้” มู่หรงปั๋วอวี่มองฉีอวี่เจวียนอย่างเรียบเย็น งานแต่งครั้งนี้เดิมทีก็เป็นนางและพวกผู้อาวุโสในตระกูลที่ปรารถนาเพียงฝ่ายเดียว เขานั้นไม่เคยเห็นด้วยมาโดยตลอด ภายหลังก็ยังคงไม่เห็นด้วย

“พวกเจ้าหมั้นหมายกันแล้ว?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์แสดงท่าทีสนอกสนใจ มองทั้งสองคน “เป็นผู้อาวุโสของตระกูลที่จัดงานแต่งเพื่อพวกเจ้ากระมัง?”

“มิผิด!” ฉีอวี่เจวียนในยามนี้ไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว นางทำได้เพียงเลือกแต่งให้กับมู่หรงปั๋วอวี่ ไม่ว่าเขาจะมีท่าทีเช่นไรก็ตาม

“ข้าย่อมไม่อาจเห็นด้วยกับเจ้า…” ก่อนหน้านี้มู่หรงปั๋วอวี่ก็ไม่เห็นด้วยกับงานแต่งครั้งนี้ แต่ก็ไม่ได้คัดค้านอย่างรุนแรงถึงเพียงนี้ และยามนี้เขาก็ไม่มีความประสงค์ที่อยากจะหมั้นหมายสักนิด

“รู้หรือไม่ว่าการหมั้นหมายคืออะไร?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองมู่หรงปั๋วอวี่อย่างเยือกเย็น แม้ฉีอวี่เจวียนจะปากไวไปอยู่บ้าง แต่คุณสมบัติที่คุณหนูชาติตระกูลสูงศักดิ์ควรจะมีก็ล้วนไม่ขาด จับคู่กับเขานับว่าเสียดาย ทั้งเขากลับไม่รู้จักที่จะพอใจ แสดงท่าทีน่าขยะแขยงราวกับเป็นผู้ที่เลือกได้ ช่างทำให้คนที่เห็นรู้สึกอยากอาเจียนจริงๆ น้ำเสียงก็แฝงด้วยความดูแคลนอย่างเลือนราง “การหมั้นหมายนั้นเป็นการตัดสินใจของพ่อแม่ พ่อแม่สามารถปรึกษาเรื่องนี้กับเจ้าได้ นั่นก็เพราะว่ารักและเอ็นดูเจ้า หากไม่ปรึกษาหารือกับเจ้า นั่นก็เป็นไปตามหลักการฟ้าดินเช่นกัน ไม่จำเป็นต้องได้รับการเห็นด้วยจากเจ้า อีกอย่าง ยามนี้งานแต่งของพวกเจ้าได้พูดคุยกันเรียบร้อยแล้ว วันเวลาก็กำหนดแล้ว ยามนี้เจ้ามาพูดว่าไม่เห็นด้วยจะมีประโยชน์อันใดกัน เหตุใดจึงไม่ต่อต้านอย่างเอาเป็นเอาตายตั้งแต่ก่อนจะคุยเรื่องแต่งงาน หรือใช้ความตายจบเรื่องนี้ให้รู้แล้วรู้รอดไป? ตอนนี้มาพูดเรื่องพวกนี้ ไม่เพียงแต่ไม่ให้เกียรติกับคุณหนูฉี แต่ยังเป็นการไม่ให้ความเคารพแก่พ่อแม่และผู้อาวุโส เจ้ายังมีหน้ามาพูดอย่างมั่นใจอยู่อีก!”

ฉีอวี่เจวียนอยากร้องไห้อยู่บ้าง ใช่แล้ว! งานแต่งครั้งนี้เป็นความปรารถนาของนางและพวกผู้อาวุโสฝ่ายเดียวจริงๆ แต่ในยามที่พูดคุยเรื่องงานแต่ง เขาก็ไม่ได้คัดค้านอย่างจริงจัง ยิ่งไปกว่านั้น เขาเป็นคุณชายจากตระกูลใหญ่ ควรจะกระจ่างใจดีว่างานแต่งของตัวเองไม่อาจจะสามารถทำตามใจตนได้อยู่แล้ว หลังจากหมั้นหมายแล้วกลับเอาแต่ตำหนิกล่าวโทษนาง มักจะพูดว่าถูกนางและตระกูลบีบเค้นให้ทำเช่นนี้

“อย่าบอกกับข้าว่าเวลานั้นเจ้าคิดเพื่อตระกูล ดังนั้นจึงไม่ได้คัดค้านอย่างจริงจัง!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เพ่งมองมู่หรงปั๋วอวี่ที่อยากจะกล่าวโต้แย้งด้วยความเย็นเยียบ “เจ้าไม่ใช่เด็กอายุสามขวบ ควรจะเข้าใจถึงฐานะและความรับผิดชอบของตัวเองดี เจ้าเป็นคุณชายตระกูลใหญ่ ดังนั้นยามที่เจ้าถือกำเนิดออกมา เจ้าก็ได้เสวยสุขในอำนาจทั้งหมดที่คุณชายตระกูลใหญ่สามารถมีให้ได้ทั้งสิ้นแล้ว และยามนี้ เจ้าได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว เช่นนั้นนอกจากอำนาจที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด เจ้าก็ต้องแบกรับความรับผิดชอบที่ตนเองควรแบกรับเช่นกัน เจ้ารู้หรือไม่ว่าในสายตาของข้าเจ้าเป็นคนอย่างไร?”

“เป็นคนอย่างไร?” คำพูดของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ทำให้มู่หรงปั๋วอวี่หน้าร้อนขึ้นมา แต่ก็ไม่อาจจะโมโหเช่นนี้ได้ ทว่าใบหน้าที่เผยความอึดอัดกลับกระจ่างชัดในสายตาของทุกคนที่อยู่เบื้องหน้า

“เป็นกาฝากที่รู้จักแต่เสวยสุข ทั้งคิดแต่จะเสวยสุขกลับไม่ยอมที่จะรับผิดชอบต่อสิ่งใด!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พูดขึ้นมาอย่างไม่ไว้หน้า เมื่อคืนหลังจากนางและซั่งกวนเจวี๋ยปรึกษากันก็ตัดสินใจ เรื่องที่นางเป็นคุณหนูสุราอาจจะต้องเก็บเป็นความลับไปชั่วชีวิต เช่นนั้นรอหลังจากงานประลองยุทธ์ในปีนี้จบลง อย่างไรคุณหนูสุราหายไปอย่างไร้ร่องรอยย่อมจะดีกว่า รอในเดือนสิบเอ็ด ก็ให้ตงอวี่ใช้ตัวตนของคุณหนูสุราไปฝังศพให้อวี๋ฮวน ถึงเวลานั้นเขาแค่พานางไปด้วยก็พอแล้ว ในเมื่อคนต้องหายไปอยู่แล้ว เช่นนั้นจะล่วงเกินคนก็ย่อมไม่เป็นไร…หากสามารถเตือนสติมู่หรงปั๋วอวี่ให้ออกมาจากความลุ่มหลงที่แปลกประหลาดนั้นได้ ก็นับว่าเป็นการทำความดีเรื่องหนึ่ง

มู่หรงปั๋วอวี่อยากจะกระอักเลือด แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยมีคนพูดกับเขาเช่นนี้ ทั้งยิ่งไม่มีใครกล้าพูดด้วย หากไม่ใช่ว่าหญิงสาวที่อยู่เบื้องหน้าเขาเป็นคนที่เขาคะนึงหามาตลอด เขาย่อมจะทำให้นางเข้าใจว่าสิ่งของอาจจะสามารถกินเรื่อยเปื่อยได้ แต่คำพูดย่อมไม่อาจพูดซี้ซั้วได้

“รู้สึกอัดอั้นตันใจมากใช่หรือไม่?” ซั่งกวนฮ่าวและซั่งกวนเจวี๋ยไม่มีกะจิตกะใจจะลงหมากแล้ว ได้แต่มองเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่พูดอย่างเป็นเรื่องเป็นราวทางนั้นแทน ทำเพียงฟังนางกล่าวอย่างเรียบเย็น “เจ้าอาจจะคิดว่าตัวเองยอดเยี่ยมมาก โดดเด่นมาก ทั้งทำได้แทบทุกอย่างใช่หรือไม่?”

มู่หรงปั๋วอวี่ไม่ได้กล่าวอันใด แต่เรื่องที่เขาคิดมาโดยตลอดว่าตัวเองยอดเยี่ยมนั้นไม่ผิดเสียทีเดียว

“ตระกูลมู่หรงไม่ว่าจะในราชสำนักหรือยุทธภพล้วนมีอิทธิพล ทั้งยังมีปากมีเสียงไม่น้อย เช่นนั้นข้าอยากถามเจ้าเสียหน่อย เรื่องในราชสำนักเจ้าเข้าใจแค่ไหนกัน…ไม่สิ ควรถามว่าในราชสำนักเจ้าเคยปรากฏตัวอย่างโดดเด่นบ้างหรือไม่?” หลังจากเยี่ยนมี่เอ๋อร์แต่งเข้าตระกูลซั่งกวน ก็เข้าใจถึงกำลังอำนาจของตระกูลใหญ่อยู่บ้าง คล้อยหลังจึงรู้ว่าเมื่อก่อนตัวเองความรู้คับแคบเกินไปจริงๆ มิน่าเล่าท่านแม่จึงได้หมั้นหมายตัวเองกับตระกูลซั่งกวน แม้ว่าตัวเองจะไม่เป็นที่ชื่นชอบของทุกคนในตระกูลซั่งกวน แต่คนพวกนั้นก็ไม่กล้าจะลงมือกับตัวเองอย่างง่ายดายเช่นกัน

มู่หรงปั๋วอวี่พูดไม่ออก เขาไม่เคยทำเรื่องอะไรอย่างนั้นเพื่อตระกูลอย่างแท้จริงมาก่อน ในราชสำนัก เขาและพวกรัชทายาทก็นับว่ามีมิตรภาพที่ดีอยู่บ้าง แต่ก็เพียงพูดคุยกันเรื่องเรื่อยเปื่อยเท่านั้น อย่างอื่นก็แทบไม่มีแล้ว

“เห็นท่าทีของเจ้าก็ชัดเจนว่าคงไม่มี!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์แย้มยิ้มเล็กน้อย “เช่นนั้นในยุทธภพเล่า? เจ้าเคยสร้างอำนาจบารมีให้ตระกูลมู่หรงในยุทธภพหรือไม่? ได้คบค้าสมาคมกับผู้ที่มีอำนาจหรือบุคคลที่มีความสามารถในยุทธภพเพื่อตระกูลบ้างหรือเปล่า?”

มู่หรงปั๋วอวี่ยังคงนิ่งเงียบ ผู้ที่คบค้าสมาคมกับเขาล้วนเป็นลูกหลานของตระกูลใหญ่ แม้จะไม่ใช่ลูกหลานตระกูลใหญ่ แต่ระหว่างมิตรสหายก็มักจะพูดคุยแต่เรื่องผลประโยชน์ส่วนตัวอยู่แล้ว

“ดูท่าคงจะไม่มี!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ถอนหายใจ “เช่นนั้นเจ้าเคยทำอะไรเพื่อตระกูลบ้าง?”

มู่หรงปั๋วอวี่เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็น เขาอยากพูดอย่างมากว่าตัวเองเคยทำเรื่องอะไรมาบ้าง แต่เมื่อครุ่นคิดอย่างละเอียด เรื่องพวกนั้นก็เป็นเพียงการใช้อำนาจและกำลังของตระกูลมาสร้างชื่อให้ตัวเองเท่านั้น หากพูดออกมา ย่อมต้องถูกคุณหนูสุราโต้แย้งจนไม่เหลืออะไรดีสักอย่าง

“หากพูดว่าคุณชายตระกูลใหญ่ที่โดดเด่นคนหนึ่ง ช่วงชิงเกียรติยศเพื่อตระกูล ทำให้ตระกูลก้าวหน้าขึ้นไป ผู้คนก็จะพูดว่าฐานะคุณชายตระกูลใหญ่สำหรับเขาแล้วก็เหมือนกับเสือติดปีก[1] แต่หากเขาไม่โดดเด่นแม้แต่น้อย ไม่อาจทำให้ตระกูลภาคภูมิใจในตัวเขาได้ เช่นนั้นเจ้าคิดว่าเขาเป็นอะไร?” ในยามที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์พูดว่า ‘เสือติดปีก’ ก็เหลือบมองไปที่ซั่งกวนเจวี๋ย ฐานะคุณชายตระกูลใหญ่เพียงทำให้เขาโดดเด่น แต่ก็ไม่อาจปิดบังราศีจากตัวเขาได้เช่นกัน แต่มู่หรงปั๋วอวี่กลับไม่เหมือนกัน ราศีของเขาถูกความเป็น ‘ลูกชายคนโตภรรยารองของตระกูลมู่หรง’ ล้อมรอบจนเลือนหายไปหมด

“เป็นอะไร?” มู่หรงปั๋วอวี่ถูกโจมตีจนเหงื่อชุ่มไปทั่วอยู่บ้าง

“แมลงสาบที่กางปีก!” คำพูดของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ทำให้มู่หรงปั๋วอวี่รู้สึกขยะแขยงพักใหญ่

“เช่นนั้นคุณหนูสุราคิดว่าปั๋วอวี่เป็นอะไร?” ฉีอวี่เจวียนอยากจะขอบคุณเยี่ยนมี่เอ๋อร์เป็นอย่างมากที่นางแสดงท่าทีกับมู่หรงปั๋วอวี่เช่นนี้ได้ ไม่ปล่อยให้เขามีโอกาสคิดเลยเถิดอันใด แต่ก็โกรธเช่นกันที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์โจมตีเขาอย่างไม่ไว้หน้า

“ยังไม่ได้สรุป!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยักไหล่เล็กน้อย “เขาล้วนไม่เคยทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน เอาแต่ใช้ชีวิตผ่านไปเป็นวันๆ ในหัวมีแต่เรื่องราวที่ดูไม่สมจริง พูดว่าเขายอดเยี่ยม ก็ไม่มีแบบอย่างให้เห็น จะพูดว่าเขาโง่เขลา ก็ไม่มีแบบอย่างให้เห็นอีกเช่นกัน ทำได้เพียงนับว่าเป็นคุณชายที่ใช้ชีวิตผ่านไปเป็นวันๆ เท่านั้น แน่นอน ข้าเชื่อว่าคุณหนูฉีย่อมมีความคิดที่ต่างออกไป ม้าพันลี้[2]นั้นมีมากมาย แต่คนที่มองม้าพันลี้ออกกลับมีน้อย เขาอาจจะเป็นม้าพันลี้ตัวหนึ่ง แต่คนที่มองความสามารถเขาออกกลับไม่รู้ว่าอยู่ที่ใด!”

“ไม่ใช่เจ้าหรอกหรือ?” มู่หรงปั๋วอวี่คาดหวังให้คุณหนูสุราชมตัวเองบ้าง ตั้งแต่เล็กเขาก็เติบโตท่ามกลางการยกยอปอปั้น แม้จะชอบที่คุณหนสุรากล่าวตรงไปตรงมา แต่ยิ่งไปกว่านั้นก็หวังว่าจะได้รับคำชื่นชมจากนาง

“ข้ายังมองไม่เห็นข้อดีของเจ้าแม้แต่น้อย!” คำพูดของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ทำให้ใบหน้าของมู่หรงปั๋วอวี่ดำคล้ำทันที

“สายตาของคุณหนูสุราไม่ค่อยดีกระมัง” ฉีอวี่เจวียนมองเยี่ยนมี่เอ๋อร์ กล่าวเหน็บแนมอย่างเรียบนิ่ง

“นี่เป็นคำที่ข้าอยากจะพูดกับเจ้าเช่นกัน!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์หัวเราะเสียงดัง ก่อนจะกล่าว “เพียงแต่ข้าก็รู้ว่า ความรักทำให้คนตาบอด เช่นนั้นคุณหนูฉีก็ย่อมจะเห็นแต่ด้านดีของเขาอย่างแน่นอน!”

———————————-

[1] เสือติดปีก อุปมาถึงคนที่มีความสามารถ เมื่อได้อาวุธมาเสริมก็ย่อมไร้เทียมทานเก่งกาจขึ้นยิ่งกว่าเดิม

[2] เปรียบถึงคนที่มีความสามารถ