ภายในห้องส่วนตัวของร้านอาหาร เครื่องเคียง ผลไม้ และเหล้า ถูกวางเรียงราย

“พอแล้ว พอแล้ว” ท่านชายเฉิงสี่รีบเอ่ย เขาไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่อยากดื่มกินเท่าไหร่

ท่านชายหวังสิบเจ็ดโบกมือ

หญิงสาวในชุดกระโปรงลายดอกไม้ เผยผิวขาวราวหิมะของร่างกายส่วนหน้า ผ้าสีน้ำเงินและขาวที่ผูกไว้รอบเอวยิ่งทำให้เอวดูบอบบาง หญิงสาวเล่นหูเล่นตาแพรวพราวยามรินเหล้า นางหยุดมือลงก่อนจะรับเงินจากท่านชายหวังสิบเจ็ด พลางขยิบตาให้เขา

“ขอบคุณท่านชายมากเจ้าค่ะ” นางเอ่ยพร้อมยิ้มบางก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินออกไป

กลิ่นหอมของผงชาดยังคงอบอวลอยู่ในห้อง

“วิเศษสมกับเป็นเมืองหลวงเสียจริง แม้แต่หญิงที่ขายสุรายังน่าสนใจเพียงนี้” ท่านชายหวังสิบเจ็ดเอ่ยพลางยิ้ม พร้อมใช้พัดตบไหล่ขอท่านชายเฉิงสี่ที่นั่งถัดไป “เจ้านี่โชคดีมากเลย มาถึงสถานที่ที่ดีเช่นนี้ เที่ยวเล่นเสียบ้างอย่าทำให้ตัวเองขาดทุน”

ท่านชายเฉิงสี่ผลักพัดออกไปด้วยใบหน้าไม่สู้ดีนัก

“ข้ามาเรียนหนังสือ!” เขาเอ่ย “มาตั้งนานแล้ว นี่เพิ่งเข้าเมืองเป็นครั้งที่สองเท่านั้นเอง!”

ท่านชายหวังสิบเจ็ดไม่ได้ใส่ใจกับคำพูดของเขาเลยแม้แต่น้อย ก่อนจะเริ่มชิมเหล้าและอาหารด้วยรอยยิ้ม

“เจ้ามาทำอะไรที่นี่กันแน่” ท่านชายเฉิงสี่ถาม “เหตุใดถึงมาที่เมืองหลวง”

ท่านชายหวังสิบเจ็ดดื่มเหล้าไปหนึ่งจอกก่อนจะชมเชยครั้งแล้วครั้งเล่า เขารินเหล้าด้วยตัวเอง ก่อนจะเกลี้ยกล่อมท่านชายเฉิงสี่

“ข้าน่ะ มารับคู่หมั้นของข้ากลับไปน่ะสิ” เขาเอ่ยอย่างไม่ได้ใส่ใจ

ขณะที่ท่านชายเฉิงสี่รับเหล้ามาดื่มอย่างจนใจ จู่ๆ ก็ชะงักแล้วสำลักพุ่งพรวดออกมา

“คะ คู่หมั้นของเจ้าหรือ” เขาถามอย่างตะกุกตะกัก

“ใช่น่ะสิ เจ้าอยากเห็นว่านางหน้าตาเป็นอย่างไรไหม” ท่านชายหวังสิบเจ็ดเอ่ยพลางขยิบตา

“ข้าจะดูไปทำไม” ท่านชายเฉิงสี่พูดพร้อมกับส่ายหัว ก่อนจะรินเหล้าอีกครั้ง

ท่านชายหวังสิบเจ็ดได้เปิดกล่องภาพวาดและหยิบม้วนหนังสือออกมา

“มา ดูหน่อยสิ” เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

ท่านชายเฉิงสี่มองด้วยหางตา วาดภาพหรือ

ท่านชายหวังสิบเจ็ดมือสั่น ก่อนจะค่อยๆ คลี่ภาพออก

ท่านชายเฉิงสี่สำลักและพ่นเหล้าออกมาอีกครั้ง

“เจ้า เจ้า เจ้า” เขาสำลักซ้ำแล้วซ้ำเล่าและชี้ไปที่ท่านชายหวังสิบเจ็ดพลางเอ่ย

“ก็ใช่น่ะสิ นี่คือคู่หมั้นของข้า” ท่านชายหวังสิบเจ็ดเอ่ยด้วยรอยยิ้มแล้วค่อยๆ ดึงภาพขึ้นมา

“เจ้าพูดไร้สาระอะไร! หวังสิบเจ็ด! แม้ว่านางจะเป็นเด็กขี้โรค แต่ก็ไม่อาจทนต่อความอัปยศอดสูจากเจ้าได้หรอกนะ!” ท่านชายเฉิงสี่หน้าเขียว ตะคอกเสียงต่ำ

“ผู้ใดทำเรื่องอัปยศอดสูกัน” ท่านชายหวังสิบเจ็ดเอ่ยพลางยิ้มด้วยความภูมิใจ “ตระกูลข้าได้เจรจาสู่ขอกับลุงของเจ้าแล้ว”

จริงหรือ

ท่านชายเฉิงสี่ตกใจ

“เป็นเรื่องจริงแน่นอน” ท่านชายหวังสิบเจ็ดเอ่ย พร้อมกับรีบเขยิบเข้ามาใกล้ “น้องสาวเจ้าอยู่ไหน ข้าจะไปหา”

สีหน้าของท่านชายเฉิงสี่ยุ่งเหยิงนัก แม้ว่าหวังสิบเจ็ดจะไม่เอาไหน แต่เรื่องใหญ่อย่างการแต่งงานคงไม่เอามาพูดเล่น

คนในตระกูลเห็นด้วยกับการแต่งงานจริงหรือ

“ตระกูลของเจ้า อนุญาตจริงๆ หรือ” เขาถามออกไปอยากอดไม่ได้ “รู้ไหมว่านางเป็น…”

“แน่นอน ใครจะล้อเจ้าเล่น” ท่านชายหวังสิบเจ็ดเอ่ยด้วยรอยยิ้ม วางม้วนหนังสือลงในกล่องแล้วรีบเงยหน้าขึ้นมอง “น้องสาวเจ้าอยู่ที่ไหน ข้าจะพบ”

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ท่านชายเฉิงสี่ก็เพิ่งนึกขึ้นได้

“ข้าก็ยังไม่ได้เจอเหมือนกัน” เขาพูด

“มาอยู่ที่เมืองหลวงนานแล้วเจ้ายังไม่เจอเลยหรือ เจ้ามาทำอะไรที่นี่เนี่ย” หวังสิบเจ็ดถลึงตาพลางถาม

“ข้ามาเรียนหนังสืออย่างไรเล่า!” ท่านชายเฉิงสี่ถลึงตา พลางพูดด้วยความละอายใจ “นอกจากนี้ ข้าก็ยังไม่รู้ด้วยว่านางอยู่ที่ไหน”

“ไม่ได้อยู่ที่บ้านตาของนางหรือ” ท่านชายหวังสิบเจ็ดถามด้วยความประหลาดใจ

ท่านชายเฉิงสี่ส่ายหัวและหายใจ

ได้ออกเรือนก็ดี เพียงแต่ไม่รู้ว่าถ้าออกมาจากกรงนี้ แล้วจะได้เข้าสู่อีกกรงหนึ่งหรือเปล่า

“เช่นนั้นเราไปตระกูลโจวกันเถอะ!” ท่านชายหวังสิบเจ็ดเอ่ย ไม่สนใจแม้แต่อาหารและสุรา ลุกขึ้นพร้อมจะออกไปจากร้าน

ร้านอาหารแห่งนี้เงียบสงัดนักในยามกลางวัน เสียงฝีเท้าของพวกเขาจึงชัดเจนยิ่งขึ้นเป็นเท่าตัว

“ชายสิบเจ็ด เจ้าเดินช้าลงหน่อย” ท่านชายเฉิงสี่กระซิบ

“ช้าอะไรกัน ไม่รู้ว่าจะต้องทนทุกข์ทรมานอย่างไร ข้าจะรีบไปช่วยนางออกมา” หวังสิบเจ็ดเอ่ย

ทั้งสองเดินเลี้ยวอย่างรีบร้อน จึงชนเข้ากับคนกลุ่มหนึ่ง

ยังไม่ทันเห็นหน้าว่าเป็นผู้ใด เห็นเพียงแต่เสื้อผ้าสีสันสดใสดั่งเมฆยามเย็น ทั้งยังมีกลิ่นหอมอ่อนๆ อีกด้วย

ทั้งสองรีบหยุดแล้วก้าวถอยหลัง

ปัดป่ายเสื้อผ้า คนกลุ่มนั้นก็เดินจากไปเสียแล้ว

ท่านชายหวังสิบเจ็ดเงยหน้าขึ้นมอง ตกตะลึงอย่างอดไม่ได้

สาวใช้ตัวน้อยสองคน คนหนึ่งถือผีผา คนหนึ่งถือฉิน สาววัยแรกแย้มร่างสูงหอบของซ้ายขวา กำลังพากันเดินไปอย่างเชื่องช้า

เสื้อผ้างดงามบนรูปร่างอรชร ปิ่นหยกขาวเล่มหนึ่งปักอยู่บนหัว ดวงหน้างดงามไร้เครื่องประทินผิว ดวงตาทั้งสองส่งสายตาแพรวพราวยามเดินเยื้องย่างออกไป ราวกับสัมผัสได้ว่าพวกเขาทั้งสองคนจ้องมองอยู่ นางจึงเหลือบตามอง แต่ภายในพริบตาเดียวนางก็หายวับไปตา

ท่านชายหวังสิบเจ็ดและท่านชายเฉิงสี่ยังคงเหม่อลอยอยู่ที่เดิม จิตใจไม่สงบ

“เมืองหลวง…สมกับเป็นเมืองแห่งเทพเซียน…”

ผ่านไปครู่ใหญ่ ท่ายชายหวังสิบเจ็ดเพิ่งจะพึมพำออกมา

เมื่อหักเลี้ยวบนสะพานลอยที่เชื่อมต่อ สาวงามเข้ามาในห้องโถง คุกเข่าลงแล้วถอนหายใจเบาๆ ราวกับว่าได้ปลดภาระอันหนักอึ้ง

“พี่จู” หญิงสาวที่อยู่ข้างหลังมองไปยังสาวงามที่นั่งอยู่ตรงข้ามกระจก น้ำเสียงนั้นดูรีบร้อน “ท่านจะลบประวัติจริงๆ หรือ ใต้เท้าเมืองจิงเจ้ามาทำเรื่องลบประวัติให้ท่านด้วยตัวเองเลยนะ”

แม่นางจูมองไปที่ใบหน้าอันสดใสสวยงามบนกระจกสัมฤทธิ์ เล็บแดงบนเรียวนิ้วบอบบางลูบไล้ไปเรื่อยๆ

“ร่างกายนี้มีมลทินอยู่แล้ว เหตุใดต้องล้างประวัติด้วยเล่า ยอมให้คนอื่นเหยียดหยามว่ามีมลทินมัวหมองเสียยังดีกว่า ให้คนอื่นมองว่าเป็นของเล่น” นางเอ่ยอย่างเรียบเฉย

“แต่ว่า ท่านพี่ ร่างกายของท่านมิได้มีมลทินมัวหมอง ผู้ใดจะมาเยาะเย้ยกันเล่า” สาวใช้เอ่ย นัยน์ตารื้น

“ถ้าเช่นนั้นข้าจะอยู่ที่นี่กับคนที่ไม่หัวเราะเยาะข้า” แม่นางจูเอ่ยด้วยรอยยิ้ม พลางหันหน้าไปมองสาวใช้ “คนที่อยู่ที่นี่ไม่หัวเราะเยาะข้า แต่อยู่ข้างนอก ชาตินี้ข้าคงอยู่ไม่ได้แล้ว”

สาวใช้ไม่เข้าใจ

ประตูถูกเปิดออก สาวใช้คนหนึ่งก็เข้ามาพร้อมกับจานดอกไม้สด

“ท่านพี่ ดอกไม้เพิ่งเก็บมาใหม่” นางเอ่ยอย่างนอบน้อม

แม่นางจูมองนางพลางยิ้มกว้าง

“ชุนหลิง” นางเอ่ย “ครั้งนี้ขอบคุณเจ้าจริงๆ ถ้าเจ้าไม่เตือนว่าอย่าไปเรียกร้องต่อความอยุติธรรมตั้งแต่แรก ในวันนี้คนชั่วผู้นั้นอาจไม่ได้รับกรรมด้วยซ้ำ”

ชุนหลิงเงยหน้าขึ้นด้วยความขลาดกลัว

“ข้าน้อยพูดไปเรื่อยเอง คิดถึงตอนที่อยู่ในหมู่บ้านก่อนหน้านี้ ก็เป็นเช่นนี้เหมือน ทั้งๆ ที่เป็นคนชั่ว แต่พอป่วย ทุกคนกลับสงสาร หากจะไปแก้แค้นทันที กลับทำอะไรคนชั่วนั่นไม่ได้ หากให้ผ่านช่วงนี้ไปก่อน เมื่อความรู้สึกของทุกคนเริ่มจางหายไปแล้ว ค่อยหยิบยกขึ้นมาพูด จะดีกว่าเยอะ” นางเอ่ย

แม่นางจูพยักหน้า

“หลักการนี้นี่แหละ เพราะข้าใจร้อนเกินไป” นางเอ่ยพลางยิ้มอีกครั้งแล้วยื่นมือออกไป “เจ้ารีบลุกขึ้น”

ชุนหลิงเอ่ยขอบคุณก่อนจะลุกขึ้น

“ชุนหลิง เจ้าไม่เหลือคนในครอบครัวจริงๆ หรือ” แม่นางจูถาม

ชุนหลิงส่ายหัว

“เดิมทีข้าอยากจะช่วยเจ้าไถ่ตัวและส่งออกไป ในเมื่อออกไปก็ไม่มีที่ไปแล้ว เช่นนั้นเจ้าอยู่กับข้าเถิด” แม่นางจูเอ่ย

ชุนหลิงดีใจมาก ก้มลงกราบเพื่อขอบคุณ

“ขอขอบพระคุณแม่นางๆ” นางเอ่ย

“พระคุณอะไรกันเล่า” แม่นางจูยิ้มพลางเอ่ย พร้อมกับมองไปด้านนอก “ข้าคลับคล้ายคลับคลา ได้ยินว่าคนชั่วแซ่หลิวผู้นั้นไปล่วงเกินคนที่ไม่ควรล่วงเกินเข้า ถึงได้ตกระกำลำบากเช่นนี้ ไม่รู้ว่าผู้นั้นเป็นใคร หากจะบอกว่าเป็นพระคุณ คนผู้นั้นต่างหากที่จะเป็นผู้มีพระคุณของข้า”

นางเอ่ยพลางพนมมือหลับตาก่อนจะขอพร พร้อมกับโค้งคำนับกราบ

ประตูก็ถูกเตะจนเปิดออกจนเกิดเสียงตึง

จินเกอร์ตกใจ ก่อนจะก้าวถอยหลังแทบล้มทั้งยืน

“นี่ เจ้าทำอะไรน่ะ” เขาจ้องมองชายหนุ่มที่เข้ามาในประตู

นานมาแล้วที่ชายหนุ่มไม่ได้เข้าประตูมาเช่นนี้ แต่เขากลับคิดว่าเช่นนี้ต่างหากถึงจะเป็นปกติของเขา

“เฉิงเจียวเหนียง!” ท่านชายโจวหกกัดฟันแน่น ก่อนจะตะโกนออกไป

“ท่านชายหกกินยาผิดมาอีกแล้วหรือ” สาวใช้ตะโกนมากระเบียงทางเดิน

เฉิงเจียวหนียงเดินออกมาจากด้านหลังนาง แขนเสื้อถูกผูกด้วยเชือก ทั้งยังถือคันธนูและลูกศรไว้ในมือ เส้นผมชื้นเหงื่อเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าเพิ่งยิงธนูเสร็จ

นางมองท่านชายโจวหกด้วยใบหน้าเรียบเฉยดังเดิม

ท่านชายโจวหกก้าวไปข้างหน้าแล้วจ้องมองนาง

“นี่เจ้า พอเรื่องสำเร็จเสร็จสิ้นแล้ว กลับอยู่อย่างสบายใจเชียวนะ เจ้าลืมอะไรไปหรือเปล่า” เขาตะโกนถาม

“เรื่องอะไร” เฉิงเจียวเหนียงถาม

ยังจะแกล้งโง่อีก!

ท่านชายโจวหกกัดฟัน

“ขาของชายสิบสามอย่างไรเล่า เจ้าจะรักษาให้เขาเมื่อใด” เขาตะคอก

เฉิงเจียวเหนียงมองเขา ผ่านไปพริบเดียวจึงส่งเสียงอ๋อออกมา

“ยังมีเรื่องนี้อีก” นางเอ่ย “ข้าลืมไปแล้ว”

…………………………….