เหลวไหล! เจ้าจะลืมได้อย่างไรกัน!
ท่านชายโจวหกกัดฟัน ก็แค่พาสาวใช้คนหนึ่งกลับมา เหตุใดถึงต้องจงเกลียดจงชังกันขนาดนี้
“เฉิงเจียวเหนียงอย่าแกล้งบ้ากับข้า” เขาพูด “คนอื่นทำไม่ดีอะไรไว้กับเจ้า เจ้ากลับจำได้หมด แต่พอตัวเองติดค้างผู้อื่นเช่นนี้ กลับจำได้ไม่ได้เสียอย่างนั้น”
“ข้าติดค้างผู้ใด” เฉิงเจียวเหนียงถาม
“เจ้า!” ท่านชายโจวหกถลึงตามอง
“ข้าติดค้างเจ้าหรือ เหตุใดถึงต้องมาร้องแรกแหกกระเชอต่อหน้าข้าเช่นนี้ ” เฉิงเจียวเหนียงพูด “หากข้าติดค้างผู้ใด เจ้าตัวเขายังไม่สนใจ แล้วเจ้ามายุ่งอะไรด้วย”
สาวใช้กลั้นหัวเราะมองไปทางท่านชายโจวหก
ท่านชายโจวหกเดือดดาลไม่น้อยเมื่อถูกนางจ้องมอง เขาสะบัดชายเสื้อแล้วหันหลังเดินจากไป
แต่ไม่นานเขากลับมาอีกครั้ง พร้อมกับคนอีกคนหนึ่ง
“เขาล่วงเกินแม่นางอีกแล้วหรือ แถมยังลากข้ามาด้วย” ท่านชายฉินเอ่ยพลางยิ้มอย่างจนใจ “เขาก็นิสัยเช่นนี้แหละ แม่นางอย่าได้ถือสาเลย”
ท่านชายโจวหกนั่งหน้าบึ้งตึงและรับน้ำชาจากสาวใช้
น้ำชายังคงกลิ่นหอมเช่นเคย
ท่านชายโจวหกยกดื่มรวดเดียวหมด
เฉิงเจียวเหนียงมองไปยังท่านชายฉินแล้วยิ้ม
“พูดอย่างกับเจ้าไม่เคยทำผิด” นางเอ่ย
ท่านชายโจวหกหน้าหงิก ส่วนท่านชายฉินยังคงมึนงงอยู่เล็กน้อย แต่ไม่นานสีหน้าก็กลับมาเป็นปกติดังเดิม
“เฉิงเจียวเหนียง เจ้าจะพูดกับข้าดีๆ หน่อยไม่ได้เลยหรือ” ท่านชายโจวหกเอ่ย
“เจ้าก็พูดก่อนสิ” เฉิงเจียวเหนียงพูดพลางมองไปที่เขา ก่อนจะผายมือออกทำท่าเชื้อเชิญ
“เจ้า! ” ท่านชายโจวหกกัดฟัน จ้องนางตาเขม็ง
ท่านชายฉินจิบชายิ้ม
“ใช่ หากตอนนั้นข้าไม่พูดออกไปว่า ‘ข้าไม่เสียใจเลยที่มีเจ้าเป็นเพื่อน’ เขาคงไม่รู้สึกผิดถึงตอนนี้
แถมยังร้อนใจยิ่งกว่าข้าเสียอีก” เขายิ้มพูด “เป็นความผิดของข้าจริงๆ “
พูดถึงตรงนี้ เขาก็ไม่ต้องรอให้ท่านชายโจวหกพูด ก่อนจะวางถ้วยชาลง
“ช่วงนี้ ประการแรก เพิ่งจะเกิดเรื่องดีๆ อย่าเพิ่งหาเรื่องใส่ตัวเลย ประการที่สอง แม่นางมีร้านเพิ่มขึ้นอีกสองร้าน ทั้งยังยุ่งมาก ข้าจึงไม่ได้มารบกวน เป็นความผิดของข้าอีกเช่นกัน” เขาพูด
“ที่จริงแล้วเจ้าร้อนใจที่สุด แต่เจ้าสามารถควบคุมความร้อนใจของเจ้าได้ สงสารก็แต่คนโง่ที่ทำไม่ได้” เฉิงเจียวเหนียงพูด “ตรงกันข้าม เจ้าเย็นใจเสียจนเขาต้องร้อนรนแทน”
“เฉิงเจียวเหนียง เจ้าไม่ต้องแสร้งทำตัวเป็นคนดีหรอก ข้ารู้ตัวเองดีว่าข้าเป็นคนเช่นไร กำลังทำอะไรอยู่” ท่านชายโจวหกตะโกน
เฉิงเจียวเหนียงมองเขาและยิ้ม
“ที่แท้เจ้าก็รู้ด้วยหรือ ว่าเขาเป็นคนเจ้าเล่ห์และเสแสร้ง” นางพูดพร้อมชี้นิ้วไปยังท่านชายฉิน
ท่านชายโจวหกผุดลุกผุดนั่งด้วยความโมโห
“เฉิงเจียวเหนียง! ” เขาตะโกน
ท่านชายฉินยิ้มแล้วปรามเขาไว้
“แม่นางอย่าแกล้งเขาอีกเลย” เขายิ้มแล้วโค้งคำนับ “ไม่รู้ว่าแม่นางจะช่วยรักษาขาข้าได้หรือไม่”
เฉิงเจียวเหนียงเหลือบมองเขา
“เจ้าอยากรักษาขาของเจ้ามากสินะ” นางถาม
“ไร้สาระ! ” ท่านชายโจวหกกัดฟันตะโกน “แล้วเจ้าล่ะ อยากเป็นคนบ้าไปตลอดชีวิตหรือ”
“ก็ไม่แน่” เฉิงเจียวเหนียงตอบ “ตอนที่ข้าเป็นบ้า ข้าไม่ได้คิดว่าตัวเองบ้าเสียหน่อย แต่ในสายตาคนบ้า อาจจะเห็นบางคนเป็นคนบ้าก็ได้”
ท่านชายโจวหกเริ่มโมโหอีกครั้ง
“ใช่ ใช่ ใช่” ท่านชายฉินหัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง “ข้าอยากรักษาขาของข้าจริงๆ ”
“พูดออกมาตามตรงเช่นนี้ ดีมาก” เฉิงเจียวเหนียงพูดพลางมองหน้าเขา “จะเสแสร้งแกล้งทำไปเพื่อเหตุใด”
“ใครเสแสร้ง” ท่านชายโจวหกตะโกน “เฉิงเจียวเนียง ให้มันน้อยๆ หน่อย จะไม่เลิกแล้วต่อกันกับข้าสักทีใช่ไหม”
เฉิงเจียวเหนียงมองไปที่เขาอีกครั้ง
“ไม่เลิก” นางเอ่ยพลางเชิดคางขึ้นเล็กน้อย “แล้วเจ้าจะทำอะไรได้”
ประตูถูกปิดอย่างแรงจนเกิดเสียงปัง
“โจวหก เจ้าทำบ้าอะไร! ”
ท่านชายฉินรีบเดินตามแล้วตะโกนออก
“หญิงผู้นี้ ร้ายกาจนัก! ” ท่านชายโจวหกตะโกนพลางมองกลับมา
จินเกอร์ถุยใส่เขาพลางปิดประตูลงกลอนอย่างรวดเร็ว
“เช่นนี้เรียกว่า ได้ดีแล้วถีบหัวส่งใช่หรือไม่” ทานชายโจวหกถือแส้ม้าในมือพลางเอ่ยขึ้น
“นางไม่ได้บอกว่าจะไม่ช่วยรักษาสักหน่อย” ท่านชายฉินส่ายหน้าพูด “เจ้าทำสงครามน้ำลายกับนางไปทำไม”
“ข้าแค่ไม่ชอบที่นางทำท่าทางเช่นนั้น! ” ท่านชายโจวกัดฟันพูดด้วยความโกรธ “จะต้องถึงขั้นคุกเข่าขอร้องนางเลยหรือ ทำตัวเย่อหยิ่งจองหอง! นางไม่มีความเมตตาเลยหรือ”
“ก็เราเป็นคนไปขอร้องเขาให้ช่วยตัวเอง คราวนี้จะไปขอร้องให้มาช่วยข้าหรืออย่างไร” ท่านชายฉินยิ้มเอ่ยเสียงแผ่วเบา พลางยกไม้เท้าฟาดไหล่ของท่านชายโจวหก “ยังดีที่เจ้าเป็นคนเก็บอารมณ์ ไม่เช่นนั้นดื่มชาของนางไปเยอะเสียขนาดนั้น คงอกแตกตายไปตั้งนานแล้ว”
ท่ายชายโจวหกหวาดผวา
“ชายสิบสาม หากเจ้าไม่พอใจ ก็ให้พูดออกมา” เขาพูดก่อนจะคว้าแขนของท่านชายฉินไว้ “อย่าเอาแต่ยิ้มแย้ม แสร้งไม่โกรธ ไม่ทุกข์ไม่ร้อนเช่นนี้! ไม่อย่างนั้นก็อย่ากินของหญิงผู้นั้นอีก”
“ข้าแสร้งไม่โกรธ ไม่ทุกข์ไม่ร้อนอย่างนั้นหรือ” ท่านชายฉินยิ้มเอ่ย “ก็ข้าไม่โกรธ ไม่ทุกข์ไม่ร้อนตั้งแต่แรกอยู่แล้วนี่”
ท่านชายโจวหกมองเขา ไม่น่าเชื่อเลยสักนิด
“ข้ารอมานานตั้งหลายปี รออีกแค่สิบวันหรือครึ่งเดือนจะเป็นอะไรไป” ท่านชายฉินยิ้มพูดและยื่นมือไปตบแขนของท่านชายโจวหก “ไม่ต้องห่วงข้า ข้าจะพูดเรื่องนี้กับนางเอง เจ้าอย่าก่อเรื่องก็แล้วกัน”
ท่านชายโจวหกถอนหายใจ จ้องประตูบ้านของเฉิงเจียวเหนียงตาเขม็งอีกครั้ง ก่อนจะกระโดดขึ้นหลังม้า
ความมืดยามราตรีคืบคลานเข้ามา ท่านชายฉินเห็นท่านแม่ของตนกำลังหันหลังเดินกลับมา
“ชายสิบสาม คราวก่อนที่เจ้าบอกว่าสามารถรักษาขาให้หายได้ เรื่องไปถึงไหนแล้ว” นางถาม
“เป็นไปด้วยดีขอรับ อีกไม่นานคงหายเป็นปกติ” ท่านชายฉินพยักหน้าและพูดพลางเอื้อมมือไปตบขาที่ไร้ความรู้สึกของตัวเอง
ฮูหยินฉินเดินเข้ามาหาอย่างประหลาดใจ ก่อนจะมองเขาหัวจรดเท้า
“จริงหรือ” นางถามด้วยสีหน้าตื่นเต้น “เดินได้จริงๆ หรือ ไหนสิบสามลองเดินให้แม่ดูสักสองก้าวได้หรือไม่”
“ท่านแม่ ข้ายังไม่หายเป็นปกติ” ท่านชายฉินพูดด้วยรอยยิ้ม “ท่านอย่ารีบร้อนไป”
“ข้าไม่รีบ ข้าไม่รีบ แม่รอได้ทั้งชีวิต” ฮูหยินฉินพูดทั้งน้ำตา “ขอเพียงได้เห็นเจ้าเดินได้ แม่ก็ตายตาหลับแล้ว”
ท่านชายฉินยิ้ม บอกไม่ถูกว่ารู้สึกเช่นไร
อันที่จริง ทุกคนต่างก็เป็นกังวล แล้วตัวเขาเองก็กังวลเช่นกัน ว่าผู้อื่นจะกังวลกับเขาด้วยหรือไม่
“ได้ ลูกจะลองเดินไปข้างหน้าสักสองก้าว” เขาพูดพร้อมก้าวเดินไปข้างหน้า
“ชายสิบสาม ชายสิบสาม เจ้าเดินได้แล้วจริงๆ ! ” ฮูหยินฉินป้องปากตะโกน
ท่านชายฉินก้มหน้ามอง ถึงได้รู้สึกตัวว่าไม่ได้ถือไม้เท้า
เดินได้แล้วหรือ
เขาตะลึงไปชั่วขณะ
“ชายสิบสาม เจ้าลองเดินอีกก้าว ลองเดินอีกก้าวให้ข้าดู” ฮูหยินฉินตะโกนพลางยื่นมือออกไปอีกด้านหนึ่งเหมือนตอนที่เขายังเด็ก
นี่คือความฝันหรือ
ความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในหัวของท่านชายฉินสิบสาม ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าใต้เท้านั้นว่างเปล่า เขาลืมตาเบิกโพรง หอบหายใจรัว
ค่ำคืนยังคงมืดมิด เสียงแมลงร้อง บ่าวตัวน้อยยังคงนอนกรนอยู่หน้าเตียง
เขาเอื้อมมือไปคว้าไม้เท้าที่แสนคุ้นเคยที่ถูกวางไว้ที่ประจำ
“ท่าทางข้าคงร้อนใจจนเกินไปจริงๆ” ท่านชายฉินบ่นพึมพำพลางยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาลูบหน้าอก
หัวใจเต้นตึกตัก
เขามองเพดาน สูดหายใจลึก แล้วหลับตาลง
ยามฟ้าสาง เฉินเซ่าที่เพิ่งกลับจากวังหลวงก็ฟังเรื่องราวที่ฮูหยินพูด
“เจ้าไม่ได้ล้อเล่นใช่ไหม”
มือที่กำลังเปลี่ยนชุดของเฉินเซ่าชะงักไป เขามองไปที่ฮูหยินแล้วถามด้วยความประหลาดใจ
ฮูหยินเฉินพยักหน้า
“ข้าไม่ได้ล้อเล่น” นางพูด “แม้ว่าจะเป็นเพียงความคิดที่เพิ่งผุดขึ้นก็ตาม”
หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็นั่งลง เฉินเซ่ายกถ้วยชาท่าทางเคร่งขรึม
“เกรงว่าจะไม่ดี” เขาพูด
“เหตุใดถึงไม่ดีเล่า” ฮูหยินเฉินรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย สามีของนางมิได้ให้ความสำคัญกับแม่นางเฉิงมากหรอกหรือ หรือแท้จริงแล้วมีเพียงคนรอบข้างที่ชื่นชมนาง แต่หากข้องเกี่ยวกับตัวเองแล้ว จะรู้สึกต่างออกไปอย่างนี่นหรือ
“ข้าไม่ได้บอกว่านางไม่ดี” เฉินเซ่าอธิบายอย่างรีบร้อนพลางครุ่นคิด “ข้าคิดว่าไม่เหมาะสม”
“เหตุใดถึงไม่เหมาะสมเล่า นางเคยล้มป่วย เป็นลูกสาวคนโตของพ่อหม้าย เกิดในตระกูลธรรมดา
ส่วนครอบครัวของน้องสี่ไม่ได้เป็นขุนนาง และชายสิบหกก็ไม่ใช่ลูกชายคนโต วันหน้าก็คงกลับมาเสวยสุขบนกองเงินกองทองของตระกูลอยู่ดี ยังจะกลัวคนอื่นหัวเราะเยาะอีกหรือ” ฮูหยินเฉินพูดอย่างไม่พอใจ
เฉินเซ่าหัวเราะลั่น
“ข้าหมายความว่า กลัวว่านางจะไม่ยอม” เขาพูด
ฮูหยินเฉินนิ่งไปครู่หนึ่ง นางเองก็คิดไม่ถึงเช่นกัน
“นางน่ะหรือ จะไม่ยอม” นางถาม
คำพูดก่อนหน้านี้ หากจะพูดกลับกันได้…
ล้มป่วย เป็นลูกสาวคนโตของพ่อหม้าย ตระกูลเรียบง่าย สิบหกก็ไม่ใช่ลูกชายคนโต ไม่ต้องทุลักทุเลไปที่อื่น มีชีวิตมั่นคงบนกองเงินกองทอง เหตุใดถึงจะไม่ยินยอม
เฉินเซ่ามองหน้านางอย่างแฝงความนัย
“อาจเป็นเพราะเหตุนี้” เขาพูด
เหตุนี้ เหตุใดกัน
กลัวว่าครอบครัวของพวกเขาจะดูแคลนนาง เพราะการแต่งงานเกิดขึ้นเพราะความสงสารอย่างนั้นหรือ
จะเป็นไปได้อย่างไร!
“น้องสะใภ้นางเจตนาดี” ฮูหยินเฉินลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้น “ในเมื่อน้องสะใภ้ออกปากแล้ว
ก็ช่วยนางถามดีหรือไม่ เพราะอาศัยแค่พวกเราพูด กลัวว่านางจะไม่ยอมแพ้”
เฉินเซ่าครุ่นคิด อันที่จริงเขารักและชื่นชมแม่นางเฉิงคนนี้มาก หากแม่นางเฉิงเป็นผู้ชาย เขาคงไม่รอให้ฮูหยินเอ่ยปาก ก็คงคิดหาลูกหลานในตระกูลให้ตบแต่งกับนางแล้ว
หากเป็นชายหนุ่มที่ทั้งฉลาดหักแหลมทั้งยังมีวิชาแพทย์ ใครก็อยากจับจองตัวไปเป็นลูกเขยทั้งนั้น แถมยังมีบุญคุณต่อกันเพราะเคยได้ช่วยชีวิตกันไว้ จะยิ่งเจราจาได้ง่ายขึ้น แต่ถ้าหากเป็นผู้หญิงแล้ว ก็คงต้องคิดอยู่อีกที
“อืม หากเป็นเช่นนี้ ข้าก็ไม่คิดมากแล้ว” เขาพูด “จะลองถามดู”
ฮูหยินเฉินเห็นสามีเห็นด้วยจึงพยักหน้า
“เพียงแต่แม่ของนางไม่อยู่แล้ว ครอบครัวของฝั่งพ่อก็ปล่อยปละละเลยนานหลายปี ยังดีที่มีลุงแท้ๆ อยู่ แต่กลับ…” นางขมวดคิ้วพูด “พวกเราต้องตัดสินใจก่อนว่าจะไปถามใครดี”
การทาบทามสู่ขอเป็นเรื่องใหญ่ หากคนเป็นพ่อแม่ตกลงแล้วไม่อาจคืนคำได้
เฉินเซ่ายิ้มอีกครั้ง
“ฮูหยินเลอะเลือนแล้ว ควรถามนางเอง” เขาตอบ “นางจะให้ใครตัดสินใจ ก็คือคนนั้น”
………………………..