ยามฟ้าเริ่มสาง เสียงหั่นผักก็ดังออกมาในครัวของเรือนไท่ผิง

ในเวลานี้นอกจากคนในโรงงานเต้าหู้แล้ว คนอื่นในร้านยังคงอยู่ในห้วงนิทรา

หลี่ต้าเสาเช็ดเหงื่อด้วยผ้าเช็ดหน้าที่จับด้วยมือขวา มองผักที่หั่นในจาน เขาหยิบชามน้ำด้วยมือซ้ายแล้วยกดื่ม จากนั้นก็ใช้มือขวาจับหัวของผัก ใช้มือซ้ายถือมีดแล้วหั่นต่อไป

จนกระทั่งฟ้าสว่าง คนในร้านอาหารตื่นขึ้นมาทำงานในวันใหม่กันอีกครั้ง หลังจากพ่อครัวในครัวและคนงานเข้ามาแล้ว หลี่ต้าเสาถึงได้หยุดลง

“พี่ใหญ่หลี่ พี่หั่นผักเสร็จหมดแล้วหรือ” ทุกคนเอ่ย “ทำให้พวกเราว่างอีกแล้ว”

“ข้าทำสิ่งนี้น่ะ เหมาะสมแล้ว อีกอย่างแค่หั่นผักเอง ยังต้องให้พวกเจ้ามาหั่นเนื้ออีก” หลี่ต้าเสาเอ่ย

นอกจากนี้หากเข้ามาในตอนนี้ ทุกคนจะได้ไม่ต้องวุ่นวาย

ครั้นเห็นห้องครัวเริ่มวุ่นวาย หลี่ต้าเสาจึงถอยออกไป พร้อมกับถั่วสองเม็ดในมือ เขากลิ้งมันไปมาในฝ่ามือข้างซ้ายพลางพักผ่อนไปด้วย

“พี่ต้าเสา” ซุนไฉคุกเข่าเข้ามา มองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถามอย่างสงสัย “เหตุใดท่านถึงไม่ใช่มือขวาเล่า ไม่ใช่ว่าฝึกมือขวาบ่อยๆ แล้วจะดีขึ้นหรือ”

หลี่ต้าเสากลิ้งถั่วพลางหัวเราะแหะๆ

“ต่อให้มือขวาของข้าจะดีขึ้น ก็คงไม่ดีเหมือนก่อนแล้วละ” เขาเอ่ย “สามารถหยิบจับเนื้อผักอะไรได้ หรือถือถาดได้ก็ดีแล้ว ข้าไม่ฝึกแล้วละ จะได้ไม่ต้องหวังว่ามันจะกลับไปเป็นเหมือนเก่า เอาความหวังไปไว้บนแขนข้างซ้ายยังจะดีเสียกว่า ข้าโง่กว่าคนอื่นอยู่แล้ว วันนี้ต้องเริ่มต้นใหม่ ก็ต้องตั้งใจมากกว่าเดิมถึงจะถูก”

ซุนไฉพยักหน้า ก่อนจะยกนิ้วหัวแม่มือให้หลี่ต้าเสา

“ท่านพี่ เมื่อก่อนข้าดูถูกท่านมาก ที่แท้ท่านคือนักสู้ตัวจริง” เขาเอ่ย

“นักสู้อะไรกันเล่า เป็นเพราะไม่มีทางเลือกต่างหาก” หลี่ต้าเสายิ้มพลางเอ่ย “ถ้าเป็นไปได้ ใครจะอยากเป็นนักสู้”

ซุนไฉพยักหน้า

“จริงด้วย หากข้ามีกินมีใช้ ข้ายอมเป็นไอ้โง่ที่ไม่ทำอะไรเลยมากกว่า” เขาหัวเราะพลางเอ่ย

หลี่ต้าเสาขำ

“เจ้าพูดไปเรื่อยใช่ไหม” เขาถ่มน้ำลายก่อนจะเอ่ย จากนั้นจึงลุกยืนขึ้น “ได้เวลาฝึกใช้มือแล้วล่ะ”

“ข้าก็ได้เวลาไปเคี่ยวน้ำพะโล้แล้วเช่นกัน” ซุนไฉยิ้มเอ่ย

ทั้งคู่หัวเราะ ต่างคนต่างเดินไปตามทางของตนเอง ทั้งคนทั้งมา บ้างก็มาส่งผัก บ้างก็มาส่งเต้าหู้ วิ่งสวนกันไปมาอยู่ที่สวนหลังร้าน ยุ่งแต่ไม่วุ่นวาย เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา

อีกด้านหนึ่ง เรือนนางฟ้าในเมืองหลวงก็ได้ฤกษ์เปิดร้านเช่นกัน

“ที่นี่เปิดอีกแล้วหรือ”

คนที่เดินทางผ่านไปมาพากันถามอย่างใคร่รู้

“ใช่น่ะสิ เปลี่ยนผู้ดูแลร้านแล้ว วันนี้ราบรื่นมาก เรียนเชิญทุกท่านมาอุดหนุน” ผู้ดูแลอู๋ยืนอยู่ริมประตู เอ่ยพลางหัวเราะ

“เช่นนั้นยังขายแค่นางฟ้าผ่านทางอยู่ไหม” มีคนถาม

“ใช่แล้ว” ผู้ดูแลอู๋อมยิ้มพลางพยักหน้า “ขายแค่นางฟ้าผ่านทาง”

“นางฟ้าผ่านทางที่ไม่อร่อยเท่าสุขใจไร้กังวล แถมยังแพงอีกต่างหาก” มีคนเรียกร้อง

ผู้ดูแลอู๋ยังคงยิ้มตาหยี

“นางฟ้าก็มีข้อดีของตัวเอง ต่างคนต่างมีดี กินแค่รสชาติเดียวจะไปอร่อยได้อย่างไรกัน ทุกท่านต้องลองชิมดูก่อน” เขายิ้มเอ่ย

ผู้ดูแลร้านท่าทางดูเป็นคนใจดี แต่ในความใจดีมีความทะนงตน ไม่แข็งกร้าวจนดูเย่อหยิ่ง ไม่ถ่อมตนจนดูต่ำต้อย กลับทำให้คนอื่นรู้สึกดี

ผู้คนห้อมล้อเพื่อมาดูความคึกคักมากขึ้นเรื่อยๆ

เช่นเดียวกับที่อี๋ชุนถัง

“ที่นี่มีแม่นางหมอเทวดาไหม” มีคนถามลองเชิง

“มี” พนักงานร้านคนหนึ่งรีบตอบ “เพียงแต่ยังเป็นกฎเดิม ไม่ไปตรวจถึงบ้าน ไม่ใกล้ตายจะไม่รักษา”

คำตอบนี้ทำให้ผู้คนที่มาเยือนมีความยินดีมาก อดไม่ได้ที่จะยื่นหน้ามองเข้าไปข้างใน

“ตอนนี้แม่นางเฉิงไม่อยู่ หากมีคนมาตรวจโรค พวกเราจะไปเรียกให้เดี๋ยวนี้” พนักงานเอ่ย เอ่ยจบก็ชะงักทันใด “นอกจากนี้เรายังมียาที่แม่นางเฉิงทำเองด้วย”

เหล่าผู้มาเยือนตะลึง

“ยาอะไร” เขาถาม

ครั้นพูดจบ ก่อนที่ชายคนนั้นจะตอบ ก็มีคนพุ่งเข้ามา

“ยา!” เขาตะโกน “ข้าจะเอายาทั้งหมดที่แม่นางเฉิงทำ!”

ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นยาอะไรก็จะเอาทั้งหมดเลยหรือ

ผู้มาเยือนก่อนหน้าตกตะลึงเล็กน้อย แต่ยังไม่จบเพียงแค่นั้น ผู้คนอีกมากมายพากันหลั่งไหลเข้ามา

“ยาของแม่นางเฉิงหรือ”

“ข้าต้องการ ข้าต้องการ ข้าต้องการทั้งหมด”

“โหวกเหวกอะไรของเจ้า ข้ามาก่อน!”

“เจ้ามาก่อนแล้วอย่างไรเล่า ข้าจ่ายเงินก่อน…”

ความคึกคักของที่นี่พาลทำให้ร้านขายยาโดยรอบอิจฉา

“มีหมอเทวดานี่ดีเหลือเกินนะ เมื่อก่อนอี๋ชุนถังไม่เคยดังขนาดนี้เลย”

“ต้องขอบคุณที่หมอเทวดาผู้นี้จะไม่รักษาคนที่อาการไม่เจียนตาย มิฉะนั้นพวกเราก็ไม่มีทางรอดแล้ว”

ท่ามกลางความพลุกพล่าน ท่านชายหวังสิบเจ็ดที่จูงม้าผ่านมา ก็อดหันมามองไม่ได้

“ดูสิ นี่ถึงจะเป็นเมืองหลวง” เขาพูดพลางชะโงกหน้าเข้าไปดูร้านขายยา “แม้แต่จะซื้อยาก็ยังต้องแย่งกัน!”

ท่านชายเฉิงสี่มองตามด้วยเช่นกัน สีหน้าประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด ทว่าไม่นานเขาก็หันกลับมา แล้วมองไปยังท่านชายหวังสิบเจ็ดที่กำลังมุ่งไปข้างหน้า

“เจ้าจะไปที่ใด ตระกูลโจวไปทางนี้” เขาเอ่ย

“รีบไปทำไมเล่า พวกเราไปที่หอเต๋อเซิ่งก่อน” หวังสิบเจ็ดเอ่ย “อุตส่าห์ได้มาเมืองหลวงทั้งที ไปหาประสบการณ์ชีวิตกันสักหน่อยสิ”

ท่านชายเฉิงสี่ร้อนรนขึ้นมาในทันใด

“เจ้าจะไปที่นั่นทำไม จะไปรับน้องสาวข้ากลับไปไม่ใช่หรือ” เขาถาม

“นั่นก็ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนนี่นา อย่างไรเสียน้องสาวเจ้าก็อยู่ที่บ้านท่านตามิใช่หรือ หนีไปไหนไม่ได้หรอก” หวังสิบเจ็ดเอ่ย ก่อนจะเดินออกมาจากถนนแออัด แล้วรีบกระโดดขึ้นม้า “อีกเดี๋ยวค่อยไปก็ยังไม่สาย ข้าไปดูก่อนว่าจะได้เจอแม่นางจูได้ไหม”

หญิงงามที่ยังคว้ามาไม่ได้ต่างหากล่ะที่สำคัญกว่า

ยามที่เห็นเขาควบม้าออกไป ท่านชายเฉิงสี่ทั้งโกรธทั้งร้อนรน ก่อนจะกระโดดขึ้นมาแล้วตามไป ทว่ากลับเห็นบ่าวข้างกายชะงักไป

“เกิดอะไรขึ้น” ท่านชายเฉิงสี่ถาม

บ่าวมองไปอีกด้านอย่างเหม่อลอย

“เหมือนว่าเมื่อครู่ข้าจะเห็นจินเกอร์” เขาเอ่ย

ตอนมาถึงพี่ชุนหลานกำชับอย่างดิบดี ว่าให้เขาส่งจดหมายให้จินเกอร์ ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบ หากขอร้องให้คุณชายสี่พาจินเกอร์กลับมาด้วยจะดีมาก

“จินเกอร์หรือ” ท่านชายเฉิงสี่เอ่ย ก่อนจะรีบหันหน้ากลับมามอง “ไหน”

บนท้องถนนมีทั้งคนรถและม้าคราคร่ำ วิ่งผ่านไปมาจนตาลาย

“บางทีข้าอาจจะตาฝาดกระมัง” บ่าวพึมพำขึ้นอีกครั้ง

ท่านชายเฉิงสี่ส่ายหัวและไม่สนใจเขาอีก ก่อนจะรีบเร่งม้าแล้วตามหวังสิบเจ็ดไป

จินเกอร์นั่งอยู่ด้านหน้ารถ ยกแส้ตีม้าอย่างดีใจ

“ไม่ถูก ไม่ถูก เจ้าหนู เร่งม้าเช่นนี้ไม่ได้” คนขับรถแนะนำ

จินเกอร์แลบลิ้น แล้วดูการเคลื่อนไหวของคนขับรถ

รถจอดลงที่หน้าประตู เฉิงเจียวเหนียงลงจากรถ นางมองไปยังรถที่จอดตามติดอยู่ข้างหลัง ก็เห็นท่านชายฉินกำลังยิ้มพลางโบกมือบอกลานาง

“ครั้งนี้ต้องขอบคุณเจ้ามากที่หาสุราชั้นดีมาให้” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย

“เป็นสิ่งที่ข้าควรทำอยู่แล้ว เป็นสิ่งที่ข้าควรทำอยู่แล้ว” ท่านชายฉินยิ้มพลางเอ่ย

เฉิงเจียวเหนียงมองเขาแล้วยิ้มเช่นกัน

“ไม่ใช่เสียหน่อย” นางเอ่ย “สิ่งที่เจ้าควรทำ ก็คือให้ข้ารักษาขาของเจ้าเท่านั้นเอง”

ท่านชายฉินยิ้มแหยๆ อย่างอึดอัด

“เรื่องนี้ แม่นางจะคิดอย่างไรก็ได้” สีหน้าของเขากลับมาเป็นปกติอีกครั้ง ไม่ได้อารมณ์เสียแต่อย่างใด ก่อนจะอมยิ้มพลางเอ่ย “ขอแค่แม่นางมี่ความสุขก็พอ”

“หากข้าไม่มีความสุขเล่า” เฉิงเจียวเหนียงมองเขาพลางเอ่ย “ไม่อยากรักษาขาให้ท่านแล้วเล่า”

ท่านชายฉินหัวเราะ

“แล้วแต่ความสุขของแม่นางเลย” เขาเอ่ย

“เช่นนั้นก็รอให้ข้ามีความสุขก่อน ค่อยรักษาก็แล้วกัน” เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้าพลางเอ่ย ก่อนจะหันตัวเดินเข้าไป

ประตูถูกจินเกอร์ดันออกจนเกิดเสียงเอี๊ยดอ๊าด ท่านชายฉินที่นั่งอยู่บนรถหน้าประตูเรือนยังคงยิ้มค้างอยู่อย่างนั้น ทว่าขณะที่เขากำลังส่ายแล้วเตรียมออกรถไป ก็เห็นรถม้าอีกคันเข้ามาจอด

ท่านชายฉินประหลาดใจเมื่อได้เห็นหญิงสาวที่ลงมาจากรถ

จินเกอร์ที่เป็นคนเปิดประตูออกก็รู้สึกแปลกใจเช่นกัน

ในเมืองหลวงแห่งนี้ตระกูลเฉินไปมาหาสู่กับพวกเขาบ่อยที่สุด แต่ส่วนใหญ่เป็นแม่นางสิบแปด ไม่ก็ตันเหนียงหรือสาวใช้ น้อยครั้งนักที่ฮูหยินเฉินในฐานะมารดาของตระกูลจะมาหาที่บ้านด้วยตัวเองเช่นนี้

“ข้าไปดูวัสดุทำเสื้อผ้า ก็เลยถือโอกาสเอามาให้เจ้าด้วย”

ฮูหยินเฉินนั่งนิ่งอยู่ในห้องโถงกำลังเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

สาวใช้ข้างกายยื่นถุงผ้ามาให้

สาวใช้รีบเข้าไปรับก่อนจะเอ่ยขอบคุณ

เฉิงเจียวเหนียงก็คำนับเช่นกัน

ฮูหยินเฉินจิบชาไปสองอึก

“วันนี้แม่นางก็อายุไม่น้อยแล้ว ถึงเวลาที่คนในตระกูลจะคุยเรื่องออกเรือนได้แล้วกระมัง” นางเอ่ย

สาวใช้ตกตะลึง

อย่าบอกนะ…

“เจ้าค่ะ” เฉิงเจียวเหนียงตอบ

“ข้ามีคนอยากแนะนำคนหนึ่ง แม่นางคิดว่าข้าควรไปคุยกับใครดี” ฮูหยินเฉินถาม

เฉิงเจียวเหนียงมองนาง ก่อนจะเงียบไปชั่วขณะ

“ฮูหยินหมายถึงตระกูลใด” นางถาม

จะให้ตนเองไปคุยแล้วหรือ ฮูหยินเฉินอุทานในใจ

“ไม่ใช่คนอื่นคนไกล ตระกูลข้าเอง คือ…” นางเอ่ย

ยังพูดไม่จบ ก็ถูกเฉิงเจียวเหนียงขัดจังหวะเสียก่อน

“หากเป็นตระกูลท่าน ก็ไม่ต้องคุยแล้ว” นางเอ่ย

ฮูหยินเฉินตกตะลึง

“ทำไมเล่า” นางถามอย่างไม่รู้ตัว

สามีนางพูดถูกจริงหรือ นาง… ไม่ยอมใช่ไหม ดูถูกอย่างนั้นสิ

“เพราะ ข้าไม่แต่งงานกับคนที่ข้าเคยช่วยชีวิต” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย “นี่เป็นกฎข้อสาม”

นางยื่นมือออก ก่อนจะชูสามนิ้ว

ไม่แต่งงานกับคนที่เคยช่วยชีวิตด้วยหรือ

นี่มันกฎอะไรเนี่ย!

ฮูหยินเฉินตะลึงงัน

………………………