นางมีกฎในการรักษาโรค หนึ่งคือไม่ไปรักษาถึงที่ สองคือคนไม่ถึงตายไม่รักษาให้ ที่แท้ยังมีกฎข้อที่สาม
เฉินเซ่าได้ยินดังนั้นก็ส่ายหน้าแล้วหัวเราะ
“นางไม่ได้พูดปัดป้อง” เขาเอ่ย “แต่เป็นกฎจริงๆ”
ฮูหยินของเฉินเซ่าถอนหายใจ ยังคงขมวดคิ้วอยู่เล็กน้อย
“นี่มันกฎอะไรกัน” นางเอ่ย “มีกฎแบบนี้ที่ไหนกัน”
“เจ้าก็ไม่เคยได้ยินกฎที่ว่าคนไม่ถึงตายก็ไม่รักษาให้อย่างนั้นหรือ” เฉินเซ่าเอ่ย
ฮูหยินเฉินจ้องสามีด้วยสายตาตำหนิ
“จะเหมือนกันได้อย่างไร” นางเอ่ย “ว่ากันว่าบุญคุณที่ช่วยชีวิตต้องตอบแทนด้วยร่างกายไม่ใช่หรือ เหตุใดนางถึงได้ตั้งกฎห้ามเอาไว้เล่า คนที่มีเงินมารักษากับนางต่างเป็นตระกูลร่ำรวย ไม่ก็สูงศักดิ์ นางทำเช่นนี้ ก็ไม่มีโอกาสได้แต่งงานกับคนตระกูลเหล่านี้แล้วสิ เป็นหญิง ก็ต้องหาคนตระกูลดีๆ แต่งงานด้วยไม่ใช่หรือ เหตุใดนางจึงปิดทางตนเองเช่นนั้นเล่า”
เฉินเซ่าลูบเครา
นั่นสิ ปิดทางตนเอง หนทางที่สามารถหาคู่ชีวิตที่ดีได้จากวิชาแพทย์
ทว่าแต่ก็เป็นแค่หนทางทางหนึ่งเท่านั้น
ใต้ฟ้ากว้างใหญ่มีเป็นหมื่นเป็นพันหนทาง แค่ทางเดียวจะใส่ใจไปทำไม
“ถือว่าเป็นคนหยิ่งทะนงคนหนึ่งเลยนะ” เขาพยักหน้าแล้วเอ่ยขึ้น แล้วก็ส่ายหน้าด้วยความเสียดายทันใด “เสียดายที่เกิดมาเป็นหญิงจริงๆ”
หากเป็นชายและยังมีสติปัญญาเช่นนี้ บวกกับที่ตนก็มีใจคิดจะช่วยส่งเสริม คงไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีตำแหน่งหน้าที่การงาน
เพียงแต่นางเป็นหญิงสาว ถึงแม้จะมีวิชาแพทย์ สุดท้ายก็เป็นได้แค่หมอคนหนึ่ง นอกจากนี้แล้วจะทำอะไรได้อีก
เสียงไอดังขึ้นเป็นครั้งที่สาม เฉิงเจียวเหนียงก็หยุดงานในมือแล้วหันไปทางกำแพง
“ข้ารบกวนเจ้าหรือ” จิ้นอันจวิ้นอ๋องรีบเอ่ยพร้อมป้องปากด้วยหลังมือ
“เจ้าป่วยหรือ” เฉิงเจียวเหนียงถาม
จิ้นอันจวิ้นอ๋องรีบส่ายหน้า
“ไม่ ไม่ใช่” เขาเอ่ย “ข้าไม่ได้ป่วย เพียงแค่เจ็บคอเท่านั้น”
เมื่อเขาพูดคำนี้ขึ้นมาก็ไออีกระลอกด้วยสีหน้าเคอะเขิน
“เช่นนั้น ข้าน่าจะป่วยแล้ว ข้า… ไปก่อนนะ” เขาเอ่ย
“รอเดี๋ยว” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยพร้อมวางสากบดยาตรงหน้าลง
จิ้นอันจวิ้นอ๋องมองดูนางด้วยความประหลาดใจ
ยามมองจากมุมบนก็จะเห็นทุกส่วนของตัวเรือน เขาเห็นหญิงสาวลุกขึ้นเรียกสาวใช้ทั้งสองมา ไม่นานพวกนางก็ยกเตาดินและกาน้ำมา
“ข้าเตรียมใบชามา ประเดี๋ยวจะต้มให้เจ้ากิน” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยแล้วเหลือบมองเขา “เจ้าจะมากินหรือไม่”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องชะงักไปทันใด
“แต่ข้าน่าจะป่วยนะ” เขาเอ่ย
เลยไม่มีแรงปีนข้ามกำแพงมางั้นหรือ สาวใช้ขมวดคิ้วมองดูหนุ่มน้อยผู้นี้
“ข้าก็เป็นคนบ้านี่” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
อะไรกันนี่ สาวใช้หันไปมองเฉิงเจียวเหนียง ยิ่งไม่เข้าใจไปใหญ่
หนุ่มน้อยบนกำแพงนั้นกลับยิ้มหน้าบาน
“เอาบันไดมา เอาบันไดมา” เขาตะโกนให้คนด้านล่าง
บันไดถูกส่งมาจากอีกฟาก จินเกอร์และปั้นฉินก็ช่วยพยุง วุ่นวายอยู่สักพัก เมื่อหนุ่มน้อยผู้นี้กระโดดลงมา ชาของเฉิงเจียวเหนียงก็เตรียมใกล้เสร็จแล้ว
นี่เป็นครั้งที่สองที่ได้พบกัน นับตั้งแต่การพบกันครั้งแรกที่วัดผู่ซิว
จิ้นอันจวิ้นอ๋องยืนอยู่ในเรือนหลังเล็กด้วยความสงสัยใคร่รู้
“ดูจากด้านบนกับยืนดูในนี้ไม่เหมือนกันเลย” เขาเอ่ยพลางสังเกตไปรอบๆ “นี่เจ้าตกแต่งเองหรือ”
เฉิงเจียวเหนียงใส่เกลือและน้ำส้มสายชูลงไปในน้ำชาหนึ่งช้อน กลิ่นเปรี้ยวฟุ้งกระจายไปทั่ว
“ข้าตกแต่งเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ส่วนมากจะเป็นสาวใช้ข้าที่เป็นคนทำ” นางตอบ
“ไม่เลวเลยจริงๆ” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ยพร้อมยื่นมือออกมาวิดน้ำใต้หินประดับ “ไว้ข้ามีบ้านของตนเอง ข้าก็จะตกแต่งเช่นนี้เช่นกัน”
เขาเหลียวหลังมามองหญิงสาวใต้ต้นไม้ในเรือน
“ถึงเวลานั้นข้าจะเชิญเจ้ามาดื่มชา” เขายิ้ม
เฉิงเจียวเหนียงยิ้มเล็กน้อยแล้วรินชายกให้เขา
จิ้นอันจวิ้นอ๋องรีบเดินไปหา นั่งคุกเข่าลงตรงเบาะรองที่สาวใช้วางให้แล้วคำนับ เขารับน้ำชามาด้วยสองมือแล้วยกน้ำชาขึ้นดื่ม ความเผ็ดร้อนเปรี้ยวฝาดทำให้สดชื่นขึ้นมาทันใด
“นี่ชาอะไร” เขาถามอย่างประหลาดใจ เมื่อดื่มเข้าไปแก้วหนึ่ง ความแสบคันในลำคอก็หายเป็นปลิดทิ้ง
เฉิงเจียวเหนียงตักชาให้เขาอีกช้อนหนึ่ง
“นี่ข้าทำเอง ที่จริงไม่ใช่ชา เป็นเครื่องดื่มแทนชา” นางเอ่ย “ทำมาจากยาสิบสี่ชนิด”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องรับมาแล้วดื่มจนหมดอีกครั้ง
“ข้าหายดีแล้ว” เขากระแอมแล้วเอ่ยเสียงดัง “หายแล้วจริงๆ! ไม่เจ็บคอแล้ว เหตุใดจึงได้ผลเช่นนี้ นายหญิงเป็นหมอเทวดาดังว่าจริงๆ”
“ก็แค่ตำรับนอกตำรา” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยพร้อมยื่นก้อนใบชาให้ “เจ้าเอาไปสิ ช่วยบำรุงอวัยวะภายในและเลือดลมได้”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องวางแก้วชาลง ยื่นมือมารับไว้แล้วมอง จากนั้นยิ้มขึ้นมาในทันใด เขาแล้วเม้มปากแต่แล้วก็ยิ้มออกมาอีก เขาอ้าปากเหมือนจะพูดอะไร แต่ก็ไม่รู้จะพูดอะไร
“ได้ เช่นนั้นต่อจากนี้ไป ข้าก็จะไม่ป่วยอีกต่อไปแล้ว” ในที่สุดเขาก็เอ่ยขึ้น
“เช่นนั้นข้าก็กลายเป็นเทพเซียนไปแล้วสิ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยพลางล้างอุปกรณ์ชงชา
“ข้าชมเจ้านะ อย่าทำลายความตั้งใจคนอื่นสิ” จิ้นอันจวิ้นอันเอ่ย
เฉิงเจียวเหนียงชะงักไปทันใด เหมือนว่ากำลังคิดอย่างตั้งใจอยู่
“เช่นนั้น เจ้าก็กลายเป็นเทพเซียนแล้วสิ” นางเอ่ย
จิ้นอันจวิ้นอ๋องชะงักไปแล้วหัวเราะเสียงดังขึ้นมาทันที
สาวใช้ถอนหายใจ แล้วใช้แขนสะกิดปั้นฉินที่อยู่ด้านข้าง
“เจ้าคิดว่าตลกหรือไม่” นางถามเสียงแผ่วเบา
ปั้นฉินร้อง ‘หา’ ด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ
เห็นได้ชัดว่า เพียงแค่นายหญิงหัวเราะ ปั้นฉินก็จะหัวเราะด้วย ส่วนตลกหรือไม่ มันสำคัญตรงไหนกัน
“ก็ได้ ถือว่าข้าถามไปอย่างนั้นแล้วกัน” สาวใช้ยิ้มขึ้นก่อนแล้วตบแขนปั้นฉิน
“พี่ปั้นฉิน วางใจได้” ปั้นฉินเอ่ยเสียงเบาด้วยรอยยิ้ม “ยากนักที่จะมีคนฟังนายหญิงพูด ข้าคิดว่า คนที่ฟังนายหญิงพูดได้ ไม่น่าจะเป็นคนร้ายกระมัง”
สาวใช้ยิ้มทันใด
“ต่อให้เป็นคนร้ายจริง ก็ไม่มีอะไรน่ากลัวหรอก” นางยิ้มแล้วเอ่ยเสียงแผ่วเบา “เราพบคนดีสิน่าแปลก”
ยังพูดไม่ทันขาดคำ บนกำแพงข้างบ้านก็มีคนยื่นหน้ามา
“องค์…ท่านชาย…” คนผู้นั้นสีหน้าตึงเครียดเล็กน้อย ตะโกนเสียงเบาว่า “มีคนมา…”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องตกใจอย่างเห็นได้ชัดแล้วรีบลุกขึ้น
“เช่นนั้นข้าขอตัวลา” เขาเอ่ยแล้วรีบปีนบันไดข้ามกำแพงกลับไป
สาวใช้ทั้งรู้สึกโกรธแต่ก็รู้สึกขำขันเช่นกัน
“นี่มันเรื่องอะไรกัน!” นางเอ่ย แต่ก็ไม่รอช้า รีบช่วยปั้นฉินและจินเกอร์ดันบันไดข้ามกำแพงไป
จิ้นอันจวิ้นอ๋องโบกมือให้เฉิงเจียวเหนียงบนกำแพง
เสียงเคาะประตูดังขึ้น
“นี่อะไร” สาวใช้มองดูบ่าวสองคนหามต้นไม้เข้ามาแล้วเอ่ยขึ้นอย่างประหลาดใจ
ท่านชายฉินถือไม้เท้าเดินตามเข้ามา
“ชาวัดผู่ซิวที่นายหญิงอยากได้” เขายิ้ม
สาวใช้เบิกตาโพรงด้วยความตกใจ
“เจ้าขุดต้นไม้ของเขามาเลยหรือ” นางเอ่ย
“ทำเช่นนี้จึงจะอยู่ได้ยาวนานน่ะ” ท่านชายฉินยิ้มแล้วหันไปมองเฉิงเจียวเหนียง “นายหญิงมีอะไรจะสั่งอีกหรือไม่”
หลายวันมานี้ เฉิงเจียวเหนียงให้ท่านชายฉินช่วยทำอะไรหลายอย่าง ทั้งเหล้าจากทางการของเรือนนางฟ้าและเรือนไท่ผิง แล้วยังจะเอาชาของวัดผู่ซิวอีก
เรื่องเหล้าจากทางการฟังดูเหมือนจะยุ่งยาก แต่เอาเข้าจริงกลับง่ายดายนัก แต่เรื่องชานั้น ฟังดูเหมือนง่าย
แต่กว่าจะได้มานั้นยากเย็นยิ่งนัก ไม่รู้ว่าต้องพูดหว่านล้อมนานเท่าไรจึงจะทำสำเร็จ แล้วยังขุดต้นไม้มาทั้งต้นได้อีก
ชาต้นนี้พระอาจารย์หมิงไห่เป็นคนปลูกเองกับมือ และยังเห็นเป็นของล้ำค่าเสียด้วย
“ตอนนี้ยังไม่มีอะไร” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยแล้วลุกขึ้นคำนับเป็นการขอบคุณ
ท่านชายฉินยิ้มพร้อมคำนับกลับ สายตาตกกระทบบนอุปกรณ์ชงชาด้านหน้าเฉิงเจียวเหนียง
“เมื่อครู่นายหญิงกำลังดื่มชาหรือ” เขาอดถามขึ้นมาไม่ได้ สายตาก็ตกอยู่บนเบาะรองนั่งข้างอีกด้านของโต๊ะเตี้ย
สามารถนั่งตรงข้ามกับเฉิงเจียวเหนียงได้ จะต้องไม่ใช่บ่าวหรือสาวใช้ในเรือนเป็นแน่
มีแขกมาเยี่ยมหรือ
“นี่ชาอะไรหรือ” เขาดมแล้วเอ่ยถาม ไม่เหมือนกับที่เคยดื่มเลยสักนิด
“ไม่ใช่ชาที่เจ้ากิน” เฉิงเจียวเหนียง “หากเจ้าไม่มีธุระอะไรแล้ว ก็เชิญกลับเถิด”
คำสั่งไล่แขกนั้นช่างตรงไปตรงมาและเด็ดขาดยิ่งนัก ท่านชายฉินยิ้มและขานรับ
“อ้อ จริงสิ” เฉิงเจียวเหนียงเหมือนนึกอะไรขึ้นได้จึงเรียกเขา
ท่านชายฉินอมยิ้มแล้วหันหลังกลับ
“ได้ยินว่าเจ้ายิงธนูเป็นหรือ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย “เช่นนั้นพรุ่งนี้ไปแข่งกันที่เรือนไท่ผิง”
“ได้สิ” ท่านชายฉินพยักหน้าด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
เหล่าบ่าวรับใช้ปลูกต้นชาในเรือนหลังเสร็จ ท่านชายฉินก็ขอตัวลา เมื่อเห็นรถม้าออกไปแล้ว ท่านชายโจวหกในโรงน้ำชาข้างทางนั้นก็ละสายตากลับมา
“ท่านชาย เติมน้ำชาอีกหรือไม่” คนงานในโรงน้ำชาเข้ามาถาม
ท่านชายโจวหกมองดูถ้วยน้ำชาตรงหน้าแล้วลุกขึ้นมาเพื่อบรรเทาความอิ่มท้อง เขาส่ายหน้าแล้วโยนถุงเงินลงด้วยความหมดอาลัยตายอยาก ก่อนจะเดินจากไป
ผู้คนบนท้องถนนล้นหลาม มีทั้งคนเรียกหาเพื่อนพ้อง คนพยุงคนแก่ คนจูงมือเด็กเล็กหัวเราะพูดคุยเสียงดัง
ท่านชายโจวหกไม่ได้จูงม้า ไม่ได้มองทาง เอามือไขว้หลังก้มหน้าเดินท่ามกลางฝูงชน
เมื่อยามฟ้าสาง บ่าวรับใช้ก็สะดุ้งตื่นเพราะเสียงของไม้เท้ากระทบพื้น เขาขยี้ตาแล้วเห็นท่านชายฉินเดินไปมาในห้อง
“ท่านชาย ท่านต้องการอะไรหรือขอรับ” เขารีบลุกขึ้นแล้วเอ่ยถาม
“ข้าจะเอาธนูสองคัน” ท่านชายฉินเอ่ย “ธนูไม้สาลี่ครั้งก่อนเล่า”
บ่าวรีบลุกไปช่วยหา
“ท่านชาย ไหนบอกว่าไปตอนกลางวันมิใช่หรือ นี่ยังเช้าอยู่เลย…” เขาอดเอ่ยขึ้นไม่ได้ พร้อมทั้งเงยหน้าดูนาฬิกาน้ำ
ในฤดูร้อนฟ้าจะสว่างเร็วกว่าทุกที ที่จริงแล้วตอนนี้แค่ยามเหม่า เท่านั้น
ท่านชายฉินหยุดชะงักไปแล้วมองไปยังนาฬิกาน้ำเช่นกัน
“ยังเช้าอยู่หรือ” เขาเอ่ย สีหน้าค้างชะงักไปเล็กน้อย เขาวางของในมือลงแล้วประคองไม้เท้าเดินออกไปช้าๆ มองดูท้องฟ้าอันสว่างจ้า “เหตุใดเวลาจึงผ่านไปช้าเช่นนี้”
………………………