รอจนใกล้ถึงเวลา ท่านชายฉินกำลังรีบร้อนออกจากเรือน แต่กลับถูกฮูหยินฉินเรียกเอาไว้

“หลายวันมานี้ลูกทำอะไรอยู่หรือ” นางเอ่ยถาม

“เที่ยวเล่นน่ะขอรับ” ท่านชายฉินยิ้มตอบ “ท่านแม่มาหาข้ามีเรื่องใดหรือ”

ฮูหยินฉินกำลังจะเอ่ยปากพูด ท่านชายฉินก็พูดขึ้นก่อน

“มีธุระค่อยคุยกันพรุ่งนี้นะขอรับ ข้าต้องรีบไปแล้ว” เขาเอ่ย

ฮูหยินฉินหุบยิ้ม มองดูลูกชายที่รีบร้อนออกไป

“ที่จริงข้าไม่ได้จะถามอะไรหรอก” นางยิ้มตอบ โบกพัดทรงกลมในมือ ชี้นิ้วไปทางที่ลูกชายออกไปให้แม่นมที่อยู่ข้างๆ ดู “ข้าก็แค่อยากเห็นว่าตอนข้าถาม เขาจะหนีอย่างไร”

บรรดาแม่นมหัวเราะกันใหญ่

“ฮูหยิน เหตุใดท่านแกล้งท่านชายเช่นนี้เจ้าคะ เขายิ่งกำลังจิตใจว้าวุ่นอยู่” พวกนางยิ้มตอบ

“นี่เป็นครั้งแรกที่ลูกชายของข้าคอยตามเอาใจแม่นางน้อยผู้นั้น คนเป็นแม่อย่างข้าจะพลาดโอกาสได้เช่นไร” ฮูหยินฉินใช้พัดป้องปากหัวเราะตอบ

บรรดาแม่นมหัวเราะจนท้องแข็ง

“ฮูหยิน ท่านชายเอาใจคนอื่นมิใช่เพื่อเหตุผลอื่นใด ก็เพื่อที่จะรักษาขา” พวกนางเอ่ย สีหน้าติติงเล็กน้อย

“ฮูหยิน ท่านไม่ช่วยก็ไม่เป็นไร แต่ยังมองเป็นเรื่องสนุกเสียอีก”

ฮูหยินฉินยังคงหัวเราะไม่หยุด

“ช่วย ช่วย ข้าก็จะไปช่วยอยู่นี่ไง” นางเอ่ย แล้วจึงเรียกบ่าว “ไป พวกเราไปบ้านตระกูลเฉินกัน”

ไปบ้านตระกูลเฉินหรือ

บรรดาแม่นมรู้สึกประหลาดใจ

ไปทำอะไรที่บ้านตระกูลเฉินหรือ

“ท่านชายจะกินอะไรขอรับ”

บ่าวเอ่ยถาม

ท่านชายโจวหกละสายตาจากนอกหน้าต่าง ขมวดคิ้วเล็กน้อย

“มีอะไรก็เอามาเถิด” เขาเอ่ย

แขกที่เข้ามาถึงในร้านแต่ไม่รีบร้อนสั่งอาหาร เพียงแต่มองนอกหน้าต่างชมบรรยากาศ บ่าวในร้านก็เพิ่งจะเคยเจอครั้งแรก ร้านอาหารมีผู้คนเข้าออกมากมาย คนประหลาดก็ได้พบเจอมามากแล้ว ก็ไม่ถือเป็นเรื่องแปลก

เขาอมยิ้มพยักหน้าตอบรับ

“เช่นนั้นข้าจัดให้ท่านเอง เอาเป็นเนื้อหนึ่งจาน ผัดผักสองจาน ผลไม้เย็นๆ สักสี่อย่าง เหล้าอวี้ถังชุน ชาวัดผู่ซิว ดีหรือไม่” เขาเอ่ย

ชาวัดผู่ซิวมาก็มีด้วยหรือ

ท่านชายโจวหกตะลึง ชานี้ใช่ว่าแค่อาศัยเต้าหู้ไท่ผิงแล้วจะแลกมาได้ ไม่คิดว่าจะออกปากให้เขาหามาให้จนได้ หญิงผู้นี้ช่างกล้าดีนัก!

อย่างไรเสียได้ลงแรงช่วยก็ย่อมดีกว่าไม่ช่วยอยู่แล้ว เพียงแต่เหตุใดเขาถึงได้รู้สึกชอบกลนัก

“ท่านชายขอรับ”

บ่าวในร้านเรียกดึงสติ มองดูชายหนุ่มที่กำลังเหม่อลอย

ยังหนุ่มอยู่แท้ๆ เหตุใดช่างดูวิตกกังวลเช่นนี้

ท่านชายโจวหกได้สติกลับมาก็รีบปัดป่ายมือ

“เอาตามนั้นก็แล้วกัน” เขาเอ่ย ก่อนจะมองออกไปข้างนอกอีกครั้ง ดวงตาหรี่มองรถม้าสองคันที่ตามกันเข้ามาในลานหลังบ้านของเรือนไท่ผิง

หลังเกิดเหตุยิงสังหารพวกอันธพาลและก่อเรื่องอาละวาดที่เรือนนางฟ้า ร้านแห่งนี้ก็สงบสุขมาโดยตลอด ผู้คนก็เชื่อสนิทใจว่าที่เรือนไท่ผิงมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์สถิตอยู่เพื่อคอยคุ้มภัย

ลานหลังบ้านที่ไม่มีใครกล้าย่างกรายเข้าไป ที่กล้าเข้าไปนั้นเห็นจะมีแต่คนของที่นี่

ลูกธนูหลุดออกจากคันธนูเสียงดังพรึ่บ ก่อนจะปักลงห่างจากใจกลางเป้าประมาณสิบห้าก้าวได้ ใจกลางเป้ามีลูกธนูปักสูงต่ำลดหลั่นกันอยู่สี่ห้าดอก เรียกได้ว่าเข้าเป้าทั้งหมด

“ไม่เลว” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย สาวใช้มัดเชือกที่แขนเสื้อให้

ท่านชายฉินหัวเราะนาง

“คิดไม่ถึงเลยว่า ขนาดท่านยืนไม่มั่นยังสามารถยิ่งธนูได้” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยต่อ

ท่านชายฉินยังคงยิ้ม เพียงแค่ไม่ได้เอ่ยคำใด

เฉิงเจียวเหนียงมัดแขนเสื้อเสร็จ ก็ยกคันธนูยืนนิ่ง เสียงผึ่งดังขึ้น ก่อนลูกศรจะออกจากสายธนู แต่ก็พลาดเป้าออกไป

ซุนไฉรีบเร่งไปยืนที่ข้างประตู

ผ่านมาก็นานแล้ว เหตุใดฝีมือถึงไม่ดีขึ้นเลย…

ท่านชายฉินหัวเราะขึ้นมา

เฉิงเจียวเหนียงเหลือบมองเขา แฝงความโกรธเคืองอยู่เล็กน้อย

แน่นอนว่านี่คือการคาดเดาเอาเองของท่านชายฉิน เพราะอันที่จริงแล้วนอกจากยิ้ม หญิงสาวผู้นี้ก็มีเพียงสีหน้าเรียบเฉย

ลูกธนูถูกยิงออกไปสามครั้งติดต่อกัน สุดท้ายตรงกลางเป้ามีเพียงสองดอกที่สั่นไหวปักอยู่ตรงใจกลาง

“แรงของแม่นางยังน้อยอยู่” ท่านชายฉินหัวเราะขึ้น พลางหยิบคันธนูของตนเองขึ้นมาอีกครั้ง

“แล้วเป็นเช่นไร” เฉียงเจียวเหนียงลดคันธนูลง มองเขาพลางเอ่ยอย่างเรียบนิ่ง “ข้าก็มิได้ต้องการนำสิ่งนี้มาพิสูจน์ว่าข้าเหมือนคนทั่วไป”

มือที่กำคันธนูของท่านชายฉินก็ลดลงเช่นกัน เขาหัวเราะแต่ว่าไม่ได้เอ่ยคำใด

เสียงง้างธนูยาวดังขึ้น ก่อนจะปักเข้าตรงกลางเป้าอีกครั้ง

“พี่ใหญ่”

เฉิงเจียวเหนียงส่งเสียงตะโกนเรียกทันที

ฟ่านเจียงหลินที่ยืนอยู่ริมระเบียงตอบรับ ก่อนจะรีบก้าวเข้ามาหา

“พี่ใหญ่ ท่านลองดูสักหน่อย” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย

ฟ่านเจียงหลินเหลือบมองท่านชายฉิน

ท่านชายฉินหัวเราะขึ้น ยื่นคันธนูในมือของตนส่งให้

“ท่านชายใช้ของข้าเถิด เป็นคันธนูโค้งกลับ” เขาเอ่ย

ฟ่านเจียงหลินไม่ได้เกรงใจแต่อย่างใด รับคันธนูมา แล้วใช้มือง้างออก

“พี่ใหญ่ อย่าทำขายหน้านะเจ้าคะ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย

เสียงของธนูดังเคล้ากับเสียงของนาง ลูกธนูพุ่งออกไปที่กลางเป้า ด้วยพละกำลังมหาศาลจึงทะลุผ่านเป้าฟางไป

ซุนไฉตกตะลึงรีบเปิดประตูวิ่งหนีเข้าเรือนไป

ฝีมือไม่ดีก็อันตราย ฝีมือดีก็อันตรายเช่นกัน

สาวใช้โห่ร้องขึ้น

“ท่านชายใหญ่เก่งมากเลยเจ้าค่ะ!” นางปรบมือพลางร้องตะโกน ไม่ได้แสร้งทำเป็นตกตะลึงแต่อย่างใด

ท่านชายฉินก็ยิ้มพลางชื่นชม

“ไม่เสียแรงที่เป็นวีรบุรุษผู้สังหารฝูงหมาป่ายามราตรี” เขายิ้มเอ่ย

ฟ่านเจียงหลินรีบคำนับขอบคุณมิกล้าตอบรับคำชม

เฉิงเจียวเหนียงยิ้มบาง ก่อนจะก้าวขึ้นมาข้างหน้า

“เห็นหรือยัง นี่ถึงเรียกว่าบุรุษที่สมบูรณ์แบบตัวจริง” นางเอ่ย “เจ้าจะแสร้งทำเช่นไรก็เป็นเช่นเขาไม่ได้”

เอ่ยคำนี้ออกมา ภายในลานบ้านก็เงียบลง

“พ่อหนุ่มคนนี้ เป็นศัตรูของแม่นางหรือ” ซุนไฉกระซิบถามบ่าวในเรือนอย่างอดไม่ได้

จะตอบเช่นไรดี…

หากเป็นเด็กผู้หญิง คงจะกลัวจนวิ่งร้องไห้หนีไปแล้ว

ทว่าท่านชายฉินไม่ใช่เด็กผู้หญิง จึงเพียงแค่หน้าเจื่อนลงแล้วยิ้มออกมา

“ข้าไม่ได้เสแสร้ง” เขาเอ่ย

“เจ้าไม่ได้แสร้งทำจริงหรือ ถ้าเช่นนั้นคนขาเป๋อย่างเจ้า เหตุใดจึงเรียนยิงธนู เรียนขี่ม้าเล่า” เฉิงเจียวเหนียงถาม “คนขาเป๋ไม่ใช่ว่าต้องนั่งอยู่บนรถคอยมองดูคนขี่ม้ายิงธนูหรอกหรือ เจ้าเรียนไปก็เท่านั้น มิอาจเปลี่ยนความจริงที่เจ้าขาเป๋ได้หรอก”

ประตูลานหลังบ้านถูกเตะออกดังโครม

ฟ่านเจียงหลินตกตะลึง สัญชาตญาณตั้งรับตื่นตัวขึ้นมาในทันที

ท่านชายโจวหกเดินจ้ำเข้ามา แม้แต่ตะเกียบยังถือค้างอยู่ในมือ

“เฉิงเจียวเหนียง! เจ้าจะยังไม่ยอมเลิกราใช่ไหม” เขาตะคอกใส่

ฟ่านเจียงหลินยืนอยู่ตรงหน้าเฉิงเจียวเหนียง ขวางท่านชายโจวหกที่พุ่งเข้ามา

ท่านชายฉินก็ใช้ไม้เท้าขวางเขาไว้

“ไม่เลิก” เฉิงเจียวเหนียงจ้องเขาแล้วตอบ “ข้าเคยบอกไปแล้วไม่ใช่หรือ”

ตะเกียบในมือท่านชายโจวหกร่วงลงบนพื้น

“เฉิงเจียวเหนียง! ตกลงเจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่” เขาตะคอกใส่ “ฆ่าคนไม่เลือกหน้า แล้วยังจะมาทำร้ายจิตใจผู้อื่นแบบนี้อีกหรือ”

“ข้าก็ไม่ได้อยากจะทำอะไรเสียหน่อย แค่เห็นพวกเจ้าเป็นเช่นนี้ ข้าก็แค่รู้สึกสนุกดี” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย

ท่านชายโจวหกโกรธจนตาแดงก่ำ ตัวสั่นไปทั้งร่าง

ท่านชายฉินยื่นมือไปรั้งเขาไว้ แล้วมองเฉิงเจียวเหนียงอีกครั้ง

“แม่นางเฉิง ข้าไม่เชื่อ” เขาเอ่ยขึ้น ยิ้มพลางส่ายศีรษะ

ไม่เชื่อสิ่งใดหรือ

ทุกคนต่างไม่เข้าใจ

เฉิงเจียวเหนียงหัวเราะขึ้นมา

“ความจริงแล้วข้าก็ไม่เชื่อ” นางเอ่ย มองไปยังท่านชายฉิน “เจ้าน่ะ ไม่เคียดแค้นเขาสักนิดเลยหรือ”

นางเอ่ยพลางยื่นมือไปสะกิดท่านชายโจวหก

ท่านชายโจวหกโกรธเลือดขึ้นหน้า กำหมัดแน่นจนกระดูกทั้งกายลั่นเสียงดัง มองดูก็รู้ว่าโกรธแทบจะบ้า

“ความจริงข้าต้องการเพียงแค่ประโยคเดียวเท่านั้น” เฉิงเจียวเหนียงพูด ไม่ได้รับรู้ถึงความโกรธเกรี้ยวของท่านชายโจวหกเลย แต่กลับมองไปยังท่านชายฉิน “เจ้าจะเสแสร้งทำเป็นคนดีต่อไป หรือจะยอมรับความจริงที่อยู่ในใจ”

ท่านชายฉินมองนางแล้วหัวเราะอีกครั้ง ก่อนจะสูดหายใจลึก

“ข้าก็ยังไม่เชื่อ” เขาเอ่ยอีกครั้ง

ไม่เชื่อเรื่องใดกันเล่า

“เฉิงเจียวเหนียง ต้องให้ข้าตายหรือเจ้าถึงจะพอใจ เจ้าจะทรมานเขาไปเพื่ออะไร เขาช่วยเจ้ามามาก เจ้าไม่สำนึกบุญคุณเลยหรือ” ท่านชายโจวหกพูด

“เจ้าหุบปาก!”

เสียงตะคอกแทรกเสียงพูดของท่านชายโจวหก

ภายในลานบ้านเงียบลงไปในทันที ทุกคนดูเหมือนจะไม่เชื่อ พลางมองท่านชายฉิน

ชายหนุ่มท่าทางคงแก่เรียน ใบหน้าแสนอ่อนโยนที่ยิ้มแย้มอยู่เสมอ สามารถเอ่ยคำแสนหยาบโลนเช่นนี้ออกมาได้ด้วยหรือ

“ใช่ ข้าโกรธแค้น โกรธแค้นมาก” เขาเอ่ย สีหน้ายังคงยิ้มอยู่ ก่อนจะค่อยๆ พยักหน้า “แต่ว่าข้าไม่ได้เกลียดเขา เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับคนอื่น”

เขาผายมือออก มองไปยังไม้เท้าสองข้างที่ค้ำใต้รักแร้ของตัวเอง

“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับใครทั้งสิ้น เพียงแต่ มันเกี่ยวกับชีวิตของข้าก็เท่านั้น” เขาพูดแล้วเผยยิ้มออกมา รอยยิ้มบนใบหน้าเหยเก “ข้าขาเป๋ ชีวิตถูกกำหนดมาให้ขาเป๋ แล้วจะให้ทำอย่างไรได้เล่า ข้าจะร้องแรกแหกกระเชออย่างไรขาข้าก็ไม่หายเป๋อยู่ดี”

เมื่อประโยคสุดท้ายถูกตะโกนออกมาก ท่านชายโจวหกที่ยืนอยู่ใกล้ๆ แทบลืมความโกรธไป หันมามองเขาด้วยสายตาเหม่อลอย

“ใช่แล้ว ข้าคือเจ้าเป๋” ท่านชายฉินค้ำไม้แล้วถอยหลังไป “ข้ากำลังแสร้งทำอยู่ ข้าไม่แสร้งทำแล้วจะให้ทำเช่นไร! จะให้ร้องไห้ยามผู้อื่นหัวเราะเยาะอย่างนั้นหรือ หรือว่าให้หลบซ่อน ข้าจะหลบซ่อนที่ใดได้เล่า นอกเสียจากตายไปเสีย จะให้ข้าหลบซ่อนที่ใดกัน”

เขามองไปยังเฉิงเจียวเหนียง

“เจ้าพอใจหรือยัง” เขาเอ่ยขึ้น “เจ้าพูดออกมาสิ ว่าจะให้ข้าคุกเข่าขอร้องเจ้า ข้าก็จะคุกเข่าให้เจ้า ก็แค่คุกเข่ามิใช่หรือ คุกเข่าก็คุกเข่าสิ คุกเข่าทั้งชีวิตข้าก็ทำได้”

เสียงตะโกนของเขาหยุดลง ภายในลานบ้านเงียบสงัด

“ชายสิบสาม พวกเราไปเถิด” ท่านชายโจวหกเอ่ย เดินเข้าไปรั้งเขาอย่างรีบร้อน

“เจ้าไปให้พ้น เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า” ท่านชายฉินตะเบ็งเสียง

ท่านชายโจวหยุดฝีเท้าลง สูดหายใจเข้าลึก

“เฉิงเจียวเหนียง ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าเป็นคนเช่นนั้น” ท่านชายฉินพูดขึ้นอีกครั้ง แล้วมองไปยังเฉิงเจียวเหนียงพลางส่ายหน้า “ข้าไม่เชื่อ ข้าไม่มีทางเชื่อ”

เฉิงเจียวเหนียงมองหน้าเขาด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก

“ใช่ ข้าไม่ได้เป็นเช่นนั้น” นางเอ่ย “ข้ารู้เพียงแค่ ข้าทำผิดไปแล้ว”

ทำผิดหรือ

คนในลานบ้านล้วนมองมายังนาง

“ข้านึกว่าข้าโกหกใครไม่เป็น” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย

“เจ้าไม่โกหกใครแน่นอน!” ท่านชายฉินตะโกนขึ้น ใบหน้านั้นไม่มีรอยยิ้มอีกต่อไป

“เรียกหลี่ต้าเสามาสิ” เฉิงเจียวเหนียงพูด

ฟ่านเจียงหลินได้สติกลับมา ก็รีบตอบรับ ทว่ากลับไม่เดินออกไปจานลานบ้าน เขายืนอยู่ที่เดิมพลางตะโกนเรียกหลี่ต้าเสา

ไม่นานหลี่ต้าเสาก็เดินตามเสียงเรียก ในมือของเขายังคงถือมีดแกะสลักอยู่ เขายืนอยู่กลางลานบ้านทำอะไรไม่ถูก

“นายหญิงมีอะไรให้ข้ารับใช้ขอรับ” เขาเอ่ย

เฉิงเจียวเหนียงไม่ได้มองเขา กลับมองไปที่ท่านชายฉิน

“ดูที่มือของเขาสิ” นางเอ่ย

สายตาของทุกคนมองตามโดยสัญชาตญาณ มือของหลี่ต้าเสาวางอยู่ข้างหน้าลำตัว ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ ยิ่งมองจากระยะไกลแล้ว ก็แทบจะมองไม่เห็นรอยแผลด้วยซ้ำ

“ตอนนี้เขาใช้มือซ้าย” เฉิงเจียวเหนียงพูดต่อ แววตายังคงมองไปที่ท่านชายฉิน

ประโยคนั้นเรียกสติของท่ายชายโจวหกให้ตื่นขึ้น เขาเพิ่งเห็นว่ามือที่หลี่ต้าเสาถือมีดอยู่เป็นมือซ้าย แต่ไม่ใช่มือขวาข้างที่ถนัด

ใบหน้าของท่านชายฉินเริ่มซีดเผือด ร่างทั้งร่างสั่นเครือ ค้ำไม้เท้าถอยไปด้านหลัง

“ข้าไม่เชื่อ” เขาเอ่ย

ท่านชายโจวหกก็เพิ่งจะเข้าใจ สีหน้าของเขาขาวซีด

เฉิงเจียวเหนียงมองหน้าเขา

“ข้านึกว่าข้าทำได้ แต่ข้าทำไม่สำเร็จ” นางเอ่ย

“หุบปาก!” ท่านชายฉินตะโกนขึ้นเสียงดัง

แต่ทว่ากลับไม่สามารถหยุดยั้งคำพูดของเฉิงเจียวเหนียงได้

“ข้าทำไม่สำเร็จ!” นางตะเบ็งเสียงดังขึ้น รีบสาวเท้ามาข้างหน้า เสียงแหบแห้งสูงขึ้น เสียงแหลมแต่ก็กลับแผ่วเบา “ข้าหลอกท่าน! ข้ารักษาขาของท่านให้หายไม่ได้หรอก! ”

ท่านชายฉินมองนาง

“ข้าไม่เชื่อ” เขาเอ่ย ยังมิทันสิ้นเสียง ร่างทั้งร่างก็ล้มลงไปข้างหลัง

เสียงตะโกนโหวกเหวกดังขึ้นกลางลานบ้านในทันใด

…………………….