ท่านชายโจวหกรู้เพียงแค่ว่าตอนนี้สมองอื้ออึงไปหมด
เหตุการณ์เช่นนี้เหมือนเขาเคยพบเจอที่ไหนมาก่อน
ที่ใดกันนะ
ใช่แล้ว ตอนที่ท่านชายฉินเล่าเหตุการณ์ตอนที่ราชเลขาหลิวเป็นลมล้มชักไปอย่างไรเล่า
“ข้าพูดแค่ประโยคเดียว ใต้เท้าหลิวก็ล้มตึงลงไป… เสียสติไปเลย”
ท่านชายโจวหกรู้ดีว่าประโยคที่เขาพูด ไม่ได้รุนแรงดั่งคำพูดของเฉิงเจียวเหนียง
แต่มาวันนี้นางกลับพูดประโยคนั้นออกมา
‘ข้ารักษาขาของเจ้าไม่ได้…’
ก็เลยมีคนเป็นลมล้มพับลงไปอีกคน
ฆ่าคนโดยไร้รอยเลือด! คำพูดอาบยาพิษ!
แล้วน้ำชานั่นอีก! เขารู้อยู่แต่แรกแล้วว่าไม่ใช่ชา แต่มันคือยาพิษ!
เจ็บใจนักที่พวกเขาเชื่อคำพูดของนาง! เจ็บใจนักที่ชายสิบสามเชื่อใจนาง!
ท่านชายโจวหกส่งเสียงฮึดฮัด ก่อนจะพุ่งตัวเข้าไปหาท่านชายฉิน
บ่าวข้างกายของท่านชายฉินตกใจจนสั่นไปหมด แถมอีกคนหนึ่งยังร้องไห้ฟูมฟายออกมาอีกต่างหาก
“ท่านชาย ท่านชายไม่หายใจแล้วขอรับ” เขาตะโกนโห่ร้อง สะอื้นฟูมฟาย
ท่านชายโจวหกแข้งขาอ่อนแรงจนยืนไม่มั่น ล้มคุกเข่าลงข้างกายท่านชายฉิน
ชายหนุ่มใบหน้าซีดเผือด ดวงตาปิดสนิท
ท่านชายโจวหกยื่นมือออกไปรองใต้จมูกตรวจดูลมหายใจ วินาทีนั้นร่างทั้งร่างของเขาก็เย็นเฉียบขึ้นมา สมองขาวโพลนไปหมด
“เฉิงเจียวเหนียง!”
สาวใช้มองอย่างเหม่อลอย ก่อนจะหันไปมองเฉิงเจียวเหนียงที่อยู่ข้างกายอย่างเชื่องช้า
“นายหญิง ข้าผิดไปแล้ว” นางเอ่ยพึมพำ
เดิมทีนางนึกว่านายใหญ่ของนางปากคอเราะร้าย ด่าคนจนอกแตกตายได้ ก็ถือว่าร้ายกาจนักแล้ว แต่นึกไม่ถึงเลยว่าที่ร้ายกาจยิ่งกว่านั้นไม่ต้องสบถคำด่า ต่อล้อต่อเถียง แต่เป็นเพียงคำไม่กี่คำก็ทำให้คนโมโหจนอกแตกตายได้เหมือนกัน
แต่ก่อนนางคงเข้าใจผิดไปเองว่านายหญิงพูดไม่เก่ง ใช่เสียที่ไหนกันเล่า…
ซุนไฉเพิ่งเดินมาถึง คนงานของโรงงานเต้าหู้อีกสองคนตกใจจะไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว
“มีคนตายอีกแล้ว มีคนตายอีกแล้ว ที่นี่ไม่ใช่ร้านอาหารแล้ว นี่มันตำหนักยมบาลชัดๆ” ซุนไฉนั่งลงกับพื้นพลางบ่นพึมพำ
ขณะเดียวกัน ณ เรือนตระกูลเฉิน ฮูหยินเฉินและฮูหยินฉินกำลังโบกพัดในมือพูดคุยหัวเราะกันอย่างสบายใจ
“ฮูหยินลองเดาสิว่าข้ามาพบท่านเรื่องอะไร” นางเอ่ย
ฮูหยินเฉินเองก็จนใจเพราะไม่รู้
“แม่นางสิบเอ็ด ข้าเขลานัก เจ้าอย่าแกล้งข้าเลย มีอะไรก็ว่ามาตามตรงเถิด” นางตอบ
ฮูหยินฉินยิ้มพลางวางพัดกลมในมือลง
“พอท่านเป็นแม่คนแล้ว นับวันยิ่งเล่นสนุกด้วยไม่ได้แล้ว” นางเอ่ยพลางหัวเราะ
“แม่นางสิบเอ็ด ข้าเป็นแม่เด็กตั้งสี่ห้าคน ยังคิดว่าข้าเป็นเด็กอยู่อีกหรือ” ฮูหยินเฉินเอ่ยเหน็บ
“แล้วอย่างไรเล่า ท่านก็ยังเป็นท่านเช่นเดิม ข้าก็ยังเป็นข้าเช่นเดิม” ฮูหยินฉินเอ่ยพลางยิ้มก่อนจะกระแอมขึ้นมา ตั้งท่าจะเล่าเรื่อง ปรับสีหน้าในสงบนิ่ง “ฮูหยิน ข้าจะมาถามเรื่องแม่นางหมอเทวดาจากท่าน”
ฮูหยินเฉินร้องอ๋อขึ้นมาในทันใด ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่ายามนี้ผู้คนที่มาเยี่ยมเยียนนางที่บ้าน ต่างก็พากันมาถามไถ่เรื่องของแม่นางเฉิงทั้งนั้น
“เรื่องของชายสิบสามหรือ” นางถาม
แววตาของฮูหยินฉินเปลี่ยนไปในทันที
“ฮูหยิน ท่านลองทายดูว่าข้ามาเพื่อตัวชายสิบสาม หรือมาเพื่อขาของชายสิบสาม” นางถามขึ้นพร้อมกับหัวเราะคิกคัก
ฮูหยินเฉินตาเบิกโพลง
“ไม่ว่าเจ้าจะมาเพื่ออะไร แต่ข้าบอกเจ้าได้เพียงแค่ว่า หากเจ้ามาเพื่อขาของชายสิบสามแล้ว ก็อย่าหมายมาเพื่อตัวเขา แต่หากเจ้ามาเพื่อตัวเขา ก็อย่าหมายว่าจะได้รักษาขาเขา” นางเอ่ย
ฮูหยินฉินได้ยินดังนั้นก็ชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมา
“ฮูหยิน ท่านนี่พูดอ้อมค้อมเก่งนัก” นางเอ่ยพลางหัวเราะ “ข้าฟังไม่เข้าใจเลยสักนิด”
ทว่าเหมือนมีบางสิ่งที่ดูผิดแปลกไป
เหมือนเคยได้ยินที่ไหนมานะ
‘หากนางตกลงแต่งงานกับข้า ก็เท่ากับว่านางจะไม่รักษาให้ข้า’
‘ยามนี้นางไม่ตกลง ก็เท่ากับว่าข้ายังมีโอกาสรักษาให้หายอยู่’
เสียงของเด็กหนุ่มลอยเข้ามาในหู
ฮูหยินฉินนึกออกในทันที
“บังเอิญเสียจริง ชายสิบสามของข้าเองก็…” นายเอ่ยพลางหัวเราะ ทว่ากำลังจะเอ่ยปากพูดก็มีเสียงฝีเท้าโครมครามดังขึ้น
ไร้มารยาทเสียจริง
ฮูหยินฉินและฮูหยินเฉินขมวดคิ้วยุ่ง
บ่าวหนุ่มผู้หนึ่งกระวีกระวาดล้มลุกคลุกคลานเข้ามาในห้อง
“ฮูหยิน ฮูหยิน แย่แล้วขอรับ ท่านชายสิบสาม… ท่านชายสิบสาม … เกิดเรื่องแล้ว” เขาตะโกนร้องไห้สะอื้น
ฮูหยินฉินสะดุ้งตัวโยน
ฮูหยินเฉินรีบเอื้อมมือไปพยุงตัวนางไว้
“หยุดนะ! พูดจาเหลวไหลอะไรของเจ้า” ฮูหยินเฉินด่าบ่าวรับใช้
“ชายสิบสามชอบพูดจาเหลวไหล แต่บ่าวของเขาคงไม่กล้าพูดเหลวกระมัง” ฮูหยินฉินกุมมือฮูหยินเฉินเอาไว้ ใบหน้าของนางเริ่มซีดเผือดก่อนจะหันไปหาบ่าวรับใช่ “ว่ามา เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
บ่าวรับใช้น้ำตานองหน้า
“ฮูหยิน ฮูหยินขอรับ ท่านชายสิบสาม ท่านชายสิบสาม ถูกคนยั่วโมโหจนอกแตกตาย…” เขาเอ่ยพลางสะอื้น
ทั้งห้องเงียบสงัด
ฮูหยินเฉินรู้สึกหัวใจเย็นวาบขึ้นมา ผุดลุกผุดนั่งจนอยู่ไม่สุข
ทว่าฮูหยินฉินกลับหัวเราะคิกคักเสียอย่างนั้น
“ชายสิบสามจะโมโหก็ไม่แปลก แต่โมโหจนอกแตกตายเลยหรือ เป็นไปไม่ได้หรอก” นางเอ่ยพลางหัวเราะ
ฮูหยินเฉินร้อนใจนัก เอื้อมมือไปลูบหลังนาง
ยามพบเรื่องเศร้าโศกเสียใจต้องร้องไห้ไม่ใช่หรือ เหตุใดถึงได้หัวเราะเช่นนี้
“ฮูหยินขอรับ ท่ายชายสิบสาม ถูกแม่นางหมอเทวดาตระกูลโจวยั่วโมโหจนอกแตกตายไปแล้วขอรับ!” บ่าวรับใช้ยังคงร้องไห้สะอื้น
พอได้ยินประโยคนั้น รอยยิ้มบนใบหน้าของฮูหยินฉินก็นิ่งค้างไป ฮูหยินเฉินเองก็เหม่อลอย ผ่านไปครู่หนึ่งแล้ว ทั้งสองยังไม่เชื่อคำของบ่าวรับใช้ที่ตนได้ยิน
“ผู้ใดนะ” ฮูหยินฉินถามเสียงแข็ง
“แม่นางเฉิงตระกูลโจว บ้านกุยเต๋อหลางเจียงขอรับ แม่นางที่ชุบชีวิตคนตายให้ฟื้นได้” บ่าวรับใช้ร้องไห้พลางเอ่ย
หากบอกว่าเป็นคนอื่น นางก็อาจจะไม่เชื่อ แต่หากบอกว่าเป็นแม่นางเฉิง…
ชุบชีวิตคนตายให้ฟื้นขึ้นมาได้ เช่นนั้นแล้วคร่าชีวิตคนคงไม่ใช่เรื่องยากกระมัง
แถมนางยังหมางใจกับชายสิบสามเพราะท่านชายโจวอีกต่างหาก
โมโหจนอกแตกตายอย่างนั้นหรือ ไม่ต้องลงมือก็ฆ่าคนได้ ฆ่าคนด้วยวิธีการเช่นนี้จะเอาโทษกันก็คงไม่ได้…
ผู้ใดรู้เข้าก็คงหัวเราะเยาะเพราะไร้ความอดทน
ฮูหยินฉินนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม ใบหน้าซีดเผือด
“เป็นไปไม่ได้!” ฮูหยินเฉินเอ่ยเสียงสั่น ก่อนจะเอื้อมมือออกไปคว้าแขนของฮูหยินฉินไว้ “ต้องเป็นเรื่องเข้าใจผิดแน่ๆ นางไม่ใช่คนเช่นนั้น”
ฮูหยินฉินสะบัดนางออกแล้วลุกขึ้นในทันใด ร่างของนางโอนเอนไปมา เหล่าแม่นมพากันมาพยุงตัวไว้
“ฮูหยิน พวกเราล้วนแต่เป็นแม่คนกันแล้วทั้งคู่ แต่เรายังเป็นเพื่อนกันเหมือนแต่ก่อนใช่หรือไม่” นางเอ่ยพลางมองหน้าฮูหยินเฉิน
ฮูหยินเฉินใบหน้าขาวซีด
“แม่นางสิบเอ็ด นี่เป็นเรื่องเข้าใจผิดแน่นอน” นางเอ่ยอย่างร้อนรนพลางยื่นมือออกไป
“ข้าไม่สนว่าจะเป็นเรื่องเข้าใจผิดหรือไม่” ฮูหยินฉินเอ่ย “ข้าถามเจ้า ว่าเจ้ากับข้า ยังเป็นเพื่อนกันเหมือนแต่ก่อนใช่หรือไม่ ใครแกล้งข้า เจ้าก็จะช่วยข้า หากเจ้าถูกใครแกล้ง ข้าก็จะช่วยเจ้า”
ฮูหยินเฉินจ้องมองนาง น้ำตาไหลพราก
“แม่นางสิบเอ็ด…” นางส่ายหน้าเบาๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ข้าต้องช่วยนาง…”
ฮูหยินฉินมองนางแล้วยิ้มออกมา
“ดี เช่นนั้นก็เท่ากับว่าพวกเราไม่ได้เป็นเพื่อนกันเหมือนแต่ก่อนแล้ว” นางเอ่ยแล้วหันหลังกลับเดินออกไปในทันที
“แม่นางสิบเอ็ด นี่ต้องเป็นเรื่องเข้าใจผิดแน่ๆ แม่นางเฉิงไม่ได้เป็นคนเช่นนั้น” นางตะโกน
ฮูหยินฉินไม่แม้แต่จะหันหลังกลับ จ้ำเท้าเร่งเดินออกไป
ฮูหยินเฉินรีบตามออกไป แต่กลับหยุดฝีเท้าลงแล้วโบกมือไป
“นายท่านอยู่ที่ใด” นางตะโกน หันไปมองสาวใช้และแม่นมที่ตามออกมา ก่อนจะก้มหน้าคิดทบทวนอะไรบางอย่าง
ท่านชายฉินสิบสามถูกเฉิงเจียวเหนียงยั่วโมโหจนอกแตกตาย หรือนี่จะแพร่งพรายออกไปไม่ได้เด็ดขาด
พอเห็นฮูหยินเฉินทำท่าครุ่นคิด เหล่าแม่นมและสาวใช้ก็พากันนั่งคุกเข่าลง รอคำสั่งจากนางอย่างใกล้ชิด
“เรื่องเมื่อครู่ห้ามแพร่งพรายออกไปข้างนอกเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นข้าจะฝังพวกเจ้าทั้งเป็นตามกฎของตระกูล!” ฮูหยินเฉินตะโกนเสียงเข้ม
เหล่าแม่นมและสาวใช้ขานรับคำ
ฮูหยินเฉินหันหลังกลับ สีหน้าของนางร้อนรนยิ่งนัก…
ให้ตายเถอะ แม่นางเฉิงผู้นี้…
“เมื่อครู่แอบวิ่งหนีออกไปคนหนึ่ง…”
ฟ่านเจียงหลินเอ่ยเสียงแผ่วเบาแฝงไปด้วยความกังวล
“น้องสาว ข้าขอตัวก่อน จะไปดักเขาให้ทัน”
ลานด้านหลังของเรือนไท่ผิงกลับมาเงียบสงบดังเดิม
ท่านชายฉินนอนแน่นิ่ง ท่านชายโจวหกที่คุกเข่าอยู่ด้านข้างก็ไม่ไหวติงเลยสักนิด บ่าวอีกสองคนก็ถูกจับตัวไว้แถมยังถูกผ้ายัดปาก แม้จะร้องอย่างไรก็ไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมา เหล่าพีน้องแห่งเขาเม่าหยวนซานคอยเฝ้าเวรยามตาไม่กะพริบ
เฉิงเจียวเหนียงก้าวเดินไปข้างหน้า สาวใช้ที่หอบคันธนูอยู่ในมือก็เดินตามไป
“หนีออกไปคนหนึ่งงั้นรึ ไปบอกข่าวแล้วจะได้อะไรขึ้นมาเล่า…” ท่านชายโจวหกค่อยๆ ปริปากออกมา น้ำเสียงของเขาแหบพร่า “แม้พวกเจ้าจะขังข้าไว้ที่นี่ คราวนี้เจ้าคิดว่าจะหนีรอดได้หรือ”
“เขาโมโหจนอกแตกตายไปเอง พวกข้าไม่ได้ทุบตีเขาเสียหน่อย” สาวใช้เอ่ยขึ้น “พวกข้าไม่กลัวหรอก”
ท่านชายโจวหกเงยหน้าขึ้น หันไปมองเฉิงเจียวเหนียง ใบหน้าซีดเผือด ดวงตาแดงก่ำ
“เฉิงเจียวเหนียง เจ้าพอใจหรือยัง” เขาถาม
เฉิงเจียวเหนียงหยุดฝีเท้าลง
“เขาตายแล้วหรือ”
“ตายแล้ว” ท่านชายโจวหกตอบทั้งที่ยังจ้องมองนางอยู่ ทว่าไม่ได้แค้นเคืองเหมือนดั่งแต่ก่อน
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า
“เช่นนั้นข้าก็พอใจแล้ว” นางเอ่ยพลางยื่นมือออกมา “กว่าจะทำให้เขาโมโหจนอกแตกตายได้ ข้าคิดว่าต้องใช้กำลังเยอะกว่านี้เสียอีก ที่แท้ง่ายดายแค่นี้เองหรือ”
ท่านชายโจวหกกระเด้งตัวลุกขึ้นในทันที สาวใช้กรีดร้องเสียงแหลม กอดร่างเฉิงเจียวเหนียงเอาไว้เพื่อป้องกัน
ทว่าไม่ได้มีกำปั้นแห่งความโกรธแค้นพุ่งเข้ามาแต่อย่างใด
ท่านชายโจวหกถูกฟ่านเจียงหลินขวางเอาไว้
เฉิงเจียวเหนียงไม่สนใจเขาแม้แต่นิด ก่อนจะเดินไปหยุดอยู่ที่เบื้องท่านชายฉิน
“ตายได้ครู่หนึ่งแล้วกระมัง” นางก้มลงมองก่อนจะเอ่ยขึ้น “หามเข้าไป ข้าจะรักษาเขาแล้ว”
รักษาอย่างนั้นรึ
ทุกคน ณ ที่นั้นต่างตกตะลึง
……………………………..