เมื่อถึงยามบ่าย เรือนไท่ผิงก็เริ่มสงบลง

เหล่าลูกค้าจ่ายเงินแล้วเดินออกไปด้วยความอิ่มหนำสำราญ บางคนยังหิ้วกล่องที่ใส่ขนมแกล้มน้ำชาสูตรเฉพาะของเรือนไท่ผิงอยู่ด้วย เพราะซื้อกลับได้ คนที่ชอบกินจึงซื้อกลับไปเพื่อกินแกล้มน้ำชาเองมากมาย

ลูกค้าในร้านที่หัวเราะพูดคุยกันอยู่ ไม่นานก็ถูกขัดจังหวะโดยเสียงรถม้าที่วิ่งมาอย่างรีบร้อน ทุกคนพากันมองไปยังฝุ่นตลบบนท้องถนน

“คนมากินข้าวกันมากมายถึงเพียงนี้เชียวหรือ” พวกเขาเอ่ยอย่างประหลาดใจ ก่อนจะหันไปเห็นม้าสิบกว่าตัวและรถม้าหนึ่งคันพุ่งตัวเข้ามา

ทว่าคนเหล่านี้ไม่ได้มาทางนี้ แต่จอดอยู่หน้าประตูเรือนหลังของเรือนไท่ผิง

ฝุ่นควันจางหายไป ทุกคนจึงเห็นว่าหน้าประตูนั้นมีคนยืนล้อมอยู่มากมาย

เกิดเรื่องอีกแล้วหรือ

“ไม่ต้องกลัวหรอก ที่นี่มีสิ่งศักดิ์สิทธิคุ้มครองอยู่” ลูกค้าประจำเอ่ยขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ พลางมองดูลูกค้าคนอื่นที่ตื่นตระหนก เขาเอ่ยขึ้นอย่างภาคภูมิใจที่รู้ความลับมากกว่าคนอื่น “เรื่องใหญ่เทียมฟ้าสุดท้ายก็สลายหายไปได้”

เหล่าบุตรชายตระกูลเฉินลงจากม้าอย่างร้อนรน ฮูหยินเฉินลงจากรถม้าเองโดยไม่ต้องมีคนประคอง ก็เห็นว่าท่านชายโจวหกอยู่หน้าประตู

“ท่านชายโจวหก ข้าแยกแยะบุญคุณกับความแค้นออกอย่างชัดเจน เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับตระกูลโจวของเจ้า” ฮูหยินฉินเอ่ย

“ฮูหยิน นางรักษาคนป่วยอยู่” ท่านชายโจวหกเอ่ย แล้วพูดย้ำประโยคเดิม “กรุณารอสักครู่”

“เช่นนั้นเจ้าบอกข้ามา ชายสิบสามของข้า ตายหรือยัง” ฮูหยินฉินถาม

ตายหรือยัง

เขาเป็นคนจับลมหายใจของอีกคนเอง…

ท่านชายโจวหกเงียบ ไม่ได้ตอบออกไป

“ท่านชายโจวหก เจ้าเป็นเด็กที่ไม่เคยพูดปด เจ้าพูดอะไร ข้าก็จะฟัง” ฮูหยินฉินเอ่ยขึ้นอีก

“นาง คนไม่ถึงตาย ไม่รักษาให้” ท่านชายโจวหกเอ่ย

ฮูหยินฉินหัวเราะเสียงดัง หัวเราะจนน้ำตาไหลออกมา

“สรุปก็คือ ทำร้ายลูกข้าจนตาย แล้วช่วยชีวิตเขากลับมาอย่างนั้นหรือ” นางเอ่ย “แล้วข้าต้องคุกเข่าขอบคุณที่นางช่วยชีวิตด้วยหรือไม่”

ท่านชายโจวหกเงียบไป ทำได้เพียงขวางประตูไว้ไม่ขยับไปไหน

“หากเขาเป็นอะไรไป ข้าจะชดใช้ด้วยชีวิตเอง” เขาเอ่ยเสียงพึมพำ

ฮูหยินฉินถ่มน้ำลาย

“ชีวิตของเจ้ามีค่าอะไร!” นางหัวเราะเย้ยหยัน “ชีวิตคนทั้งตระกูลเจ้ามีค่าอะไร!”

นางยื่นมือชี้และตะคอกใส่

“จัดการมัน”

ฮูหยินฉินมาอย่างรีบร้อน มีเพียงบ่าวและองครักษ์ติดตามมาสองสามคน คนอื่นๆ ล้วนแต่เป็นสาวใช้กับแม่นม

เวลานี้ เมื่อออกคำสั่งไป ไม่ว่าหญิงหรือชายต่างก็โถมกันเข้าใส่ท่านชายโจวหก

ท่านชายโจวหกยังคงเฝ้าประตูไว้ไม่ยอมถอยห่าง ปล่อยให้กำปั้นต่อยตีมายังร่างของตนดั่งสายฝนโหมกระหน่ำ

“อย่าตีกัน มีอะไรค่อยพูดค่อยจากันก็ได้!” ฮูหยินเฉินรีบเอ่ยแล้วเดินเข้าไปอย่างเร็วไว

ท่านชายสองคนของตระกูลเฉินพาคนมาล้อมไว้เช่นกัน เมื่อเทียบกับฮูหยินฉินแล้ว คนของตระกูลเฉินนั้นมีจำนวนเยอะกว่ามาก ไม่นานก็บีบให้คนของฮูหยินฉินถอยออกไป

“ฮูหยินเฉิน” ฮูหยินฉินมองดูฮูหยินเฉินด้วยสายตาเกรี้ยวกราด “ตระกูลเฉิน จะปกป้องคนชั่วนี่ให้ได้ใช่หรือไม่”

“แม่นางสิบเอ็ด นางไม่ใช่คนเช่นนั้น ต้องมีอะไรเข้าใจผิดกันเป็นแน่” ฮูหยินเฉินเอ่ยด้วยน้ำเสียงขอร้อง “ลองรอดูสักครู่ เมื่อครู่บอกว่ากำลังรักษามิใช่หรือ ชีวิตคนสำคัญที่สุด เจ้าบุกเข้าไปเช่นนี้ หากเสียโอกาสสุดท้ายไป แม่นางสิบเอ็ด ถึงแม้เจ้าจะสังหารพวกเขาเป็นสิบคน ก็ไม่พอชดใช้ให้กับชายสิบสามคนเดียวนี่”

อาลักษณ์หลวงฉินรีบพุ่งออกมาจากศาลาว่าการ มือไม้สั่นเทา บ่าวรับใช้ด้านหลังต้องวิ่งตามจึงจะตามทัน

“ใต้เท้า ใต้เท้า ม้าอยู่นี่ขอรับ” ผู้ติดตามตะโกนเรียก ขณะที่มองดูอาลักษณ์หลวงฉินเดินมุ่งตรงออกประตูไป

อาลักษณ์หลวงฉินหันหลังกลับแล้วเดินมายังม้า

ชายสิบสามของเขาเกิดเรื่องแล้ว ชายสิบสามของเขาเกิดเรื่องแล้ว

อาลักษณ์หลวงฉินดึงบังเหียนด้วยมืออันสั่นเทา ดึงอยู่สองสามครั้งก็ยังขึ้นม้าไม่ได้ เหล่าบ่าวรับใช้จึงจำเป็นต้องช่วยพยุงอยู่ด้านข้าง

กว่าจะขึ้นหลังม้าได้ แต่ก็ถูกคนที่ตามมาอย่างร้อนรนนั้นดึงบังเหียนเอาไว้

“ใต้เท้าฉิน” เฉินเซ่าตะโกนเรียกด้วยสีหน้ากระวนกระวาย “ฟังข้าก่อน”

อาลักษณ์หลวงฉินแย่งบังเหียนคืน

“นำทางข้าไป นำทางข้าไป” เขาพูดด้วยเสียงสั่นเครือ ราวกับไม่ได้ยินและไม่เห็นคนตรงหน้า

เฉินเซ่าจับบังเหียนไว้แน่นไม่ยอมปล่อยมือ

“ใต้เท้าฉิน ท่านฟังข้าก่อน” เขาเอ่ยตะโกนอย่างร้อนรน

เสียงเอะอะวุ่นวายพาให้เหล่าขุนนางชั้นผู้น้อยแอบมอง

“ข้าไม่มีเวลามาฟังท่านหรอก” อาลักษณ์หลวงฉินเอ่ย ในที่สุด้เขาก็มองไปทางเฉินเซ่า “ลูกชายข้า รอข้าไปเจอหน้าครั้งสุดท้าย ถ้าช้าไป ก็จะไม่ได้พบอีกแล้ว ไม่ได้พบหน้าอีกแล้ว”

เสียงอันสั่นเครือดังขึ้นอย่างเรียบเฉย ช่างบีบคั้นหัวใจคนยิ่งนัก

เฉินเซ่ากำบังเหียนไว้แน่น

“คนที่มาบอกข่าวเจ้า เขาโมโหอยู่” เขาเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา “ใต้เท้าฉิน แม่นางเฉิง ไม่ใช่คนเช่นนั้น และอีกอย่าง ชายสิบสามของท่านก็เคยช่วยเหลือนาง นางไม่มีทางทำร้ายเขาจนถึงชีวิตได้เป็นแน่”

อาลักษณ์หลวงฉินพยักหน้า

“นั่นสิ ชายสิบสามของข้าเป็นคนดีที่สุด” เขาเอ่ย “เขาน่าสงสารพอแล้ว เหตุใดยังมีคนคิดจะร้ายเขาอีก”

ขณะที่เขาพูดคำนี้ออกมา ก็มองไปที่เฉินเซ่า

“ข้าไม่สนว่านางเป็นใคร และไม่สนว่าจะเจตนาหรือไม่ เทพเซียนก็ดี ปีศาจก็ช่าง เพียงแค่นางทำร้ายชายสิบสาม นางก็จะต้องตาย!” เขาพูดทีละคำ “ไม่ว่าใครมาขวาง และไม่ว่าจะใช้วิธีอะไร นางก็ต้องตาย!”

เขายื่นมือมาแย่งบังเหียนกลับไป

เฉินเซ่าดึงไว้ไม่ยอมปล่อย

“ใต้เท้า ยังจำบทเรียนเรื่องจื้อจงยุคชุนชิวเกี่ยวกับการตายของเหวินจื้อได้หรือไม่” เขาก็พูดเน้นทีละคำเช่นกัน

อาลักษณ์หลวงฉินชะงักไป

เมื่อเห็นคนและม้ามาเพิ่ม ฮูหยินทั้งสองที่เผชิญหน้ากันอยู่นั้นก็รีบรุดเข้าไป

ฮูหยินฉินน้ำตาไหลไม่ได้พูดอะไร

ฮูหยินเฉินก็ยกมือขึ้นมาเช็ดน้ำตาเช่นกัน

เฉินเซ่ามองไปที่ข้างประตู มีคนยืนขวางอยู่ไม่น้อยกว่าสิบคน ในนั้นมีบุตรชายและบ่าวของบ้านตน มีหนุ่มน้อยตระกูลโจว และยังมีชายหนุ่มที่ตนไม่รู้จักอีกหลายคน คนเหล่านั้นน่าจะเป็นเหล่าพี่ชายร่วมสาบานของเฉิงเจียวเหนียงกระมัง

เขาถอนหายใจเล็กน้อย

“ท่านจะโน้มน้าวข้าหรือ ท่านเชื่อคำพูดพวกเขาหรือ”

ทางนั้น ฮูหยินฉินกำลังตะโกนกรีดร้องเสียงแหลม

เฉินเซ่าและภรรยารีบหันไปมอง ก็เห็นสีหน้าของฮูหยินฉินที่อยากจะเชื่อหูตัวเอง

“อาจจะ เข้าใจผิดกันจริงๆ ก็ได้…” อาลักษณ์หลวงฉินเอ่ยอย่างลังเล

“ข้าไม่สนว่าจะเข้าใจผิดอะไรหรือไม่!” ฮูหยินฉินตะโกนพลางน้ำตาไหล “ข้ารู้แต่ว่าชายสิบสามของข้าตายแล้ว!”

นางยื่นมือมากำเสื้อเอาไว้เหมือนจะยืนไม่ไหว

“ชายสิบสามของข้าตายแล้ว…”

ฮูหยินเฉินน้ำตาคลอเบ้าตาม ฮูหยินฉินแทบจะขาอ่อนล้มพับไปกับพื้น

“นางรักษาได้แน่ นางรักษาได้แน่นอน” นางรีบเดินเข้าไปประคองไหล่ฮูหยินฉินเอาไว้พลางสะอื้น

ฮูหยินฉินผลักนางออก แล้วหันกลับกระโจนไปหน้าประตู

“ข้าจะพบหน้าชายสิบสามของข้า ข้าทำร้ายเขาเอง ข้าเองที่ทำให้เขาเป็นเช่นนี้ ความผิดของข้าเอง เหตุใดกรรมต้องสนองที่เขาด้วย! พระโพธิสัตว์ ให้ข้าเน่าตาย ให้ข้าตาบอดไปเสียเถิด เหตุใดต้องทำร้ายชายสิบสามของข้าด้วย”

เห็นว่านางโถมร่างเข้ามา คนหน้าประตูก็วุ่นวายเล็กน้อย แต่ก็ยังยืนแน่นิ่งอยู่อย่างนั้น

เหล่าแม่นมก็ไม่ยอมให้ฮูหยินของตนตีกับเหล่าชายหนุ่มบ่าวรับใช้ต่อหน้าผู้คนกลางวันแสกๆ จึงรีบรั้งเอาไว้

ความอลหม่านดึงดูดความสนใจของเหล่าลูกค้าในเรือนไท่ผิงแต่แรกเริ่ม เวลานี้ยังมีเฉินเซ่าและอาลักษณ์หลวงฉินมาอีก แม้ลูกค้าจะมีไม่มาก แต่ก็มีคนที่สอดรู้สอดเห็นก็จำพวกเขาได้ในทันที

คนที่เข้ามามุงล้อมมีมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งยังเริ่มพากันถกเถียงวิพากษ์วิจารณ์

“เข้าไปในเรือนก่อน แล้วค่อยว่ากันเถิด” เฉินเซ่าเอ่ยเสียงแผ่วเบา

สวีเม่าซิวได้ยินดังนั้นก็รีบนำทาง

“ใต้เท้า เชิญทางนี้ นี่เป็นเรือนที่พวกข้าพักอาศัยกัน” เขาเอ่ย

อาลักษณ์หลวงฉินเห็นประตูที่ถูกกั้นอย่างแน่นหนา และฝูงชนที่ยืนวิพากย์วิจารณ์กันอยู่ทางนั้น ก็ถอนหายใจแล้วโบกมือ

เหล่าแม่นมรีบพยุงฮูหยินฉินที่ร้องไห้จนแทบจะเป็นลมไปแล้วรีบตามเข้าไป

“เกิดอะไรขึ้นกันแน่”

เฉินเซ่ารีบเอ่ยถามขึ้น

แต่ก็ไม่มีใครตอบได้

บ่าวที่อยู่ในเวลานั้นและคนอื่นๆ ต่างก็ถูกขังไว้ในเรือน บ่าวที่วิ่งออกมาส่งข่าวก็ได้ยินเพียงว่าท่านชายตายแล้ว ส่วนระหว่างนั้นเกิดอะไรขึ้นเขาก็ไม่รู้เช่นกัน คนเดียวที่รู้ความจริงของเรื่องนี้คือท่านชายโจวหก

แต่ท่านชายโจวหกที่ถูกเรียกเข้ามานั้นกลับไม่พูดอะไรเลย

“เด็กคนนี้ รีบพูดออกมาให้กระจ่าง จะเป็นการดีต่อนาง” ฮูหยินเฉินเอ่ยอย่างร้อนรน

“พูดหรือไม่พูดก็ไร้ประโยชน์” ท่านชายโจวหกเอ่ยเสียงคลุมเครือ แล้วเงยหน้ามองคนในห้อง “พูดอะไรไปก็ไร้ประโยชน์ รอดูผลแล้วกันขอรับ”

นั่นสิ พูดให้กระจ่างแจ้งจะเป็นอะไรไป

ต่อให้เป็นการเข้าใจผิดจริง เรื่องนี้จะจบง่ายๆ หรือ

คนในห้องนั้นต่างไม่มีผู้ใดปริปากออกมา

ต่อให้ช่วยชีวิตกลับมาได้ แต่เรื่องนี้เกรงว่าจะไม่จบง่ายๆ!

นอกเสียจากว่า…

อาลักษณ์หลวงฉินเงยหน้าขึ้น และหันไปมองเฉินเซ่า เฉินเซ่าก็มองมาทางเขาพอดีเช่นกัน สีหน้าของทั้งสองคนนั้นเต็มไปด้วยอารมณ์ที่ซับซ้อน

เรื่องนั้น เป็นไปได้หรือ

เป็นไปได้จริงหรือ

……………………….