กว่าตระกูลโจวจะรู้ข่าวก็กลางดึกของคืนนั้นแล้ว หรืออาจเป็นเพราะพวกเขาไม่เห็นท่านชายโจวหกกลับมา ฮูหยินโจวให้คนไปถาม จึงรู้ว่าไปเรือนไท่ผิง

เรือนไท่ผิงเป็นทรัพย์สินของหญิงผู้นั้น ฮูหยินโจวไม่สบายใจจึงขอให้คนไปดู พอเจอท่านชายโจว สุดท้ายก็ได้รู้เรื่องราว

ฮูหยินโจวแทบจะเป็นลม

“ฆะ ฆ่าตายไปอีกคนหนึ่งแล้ว…” นางตะโกนเสียงสั่น พลางจับแขนเสื้อนายใหญ่โจว ใบหน้าซีดเผือด “นะ นางอัปมงคลเพียงนี้ได้อย่างไร… คงไม่ได้กินคนเป็นอาหารหรอกใช่ไหม…”

นายใหญ่โจวสะบัดนางออกอย่างไม่สบอารมณ์

“อย่ามาพูดจาเหลวไหล! นี่คือการรักษาโรค!” เขาตะคอกเสียงต่ำ

“มีการรักษาแบบนี้ที่ไหนกัน!” ฮูหยินโจวน้ำตาไหลรินไม่หยุด “นายใหญ่ นายใหญ่ พวกเราหนีกันเถอะ กลับส่านโจว…”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ก็คิดถึงท่านชายโจวหกอีกครั้ง นางร้องไห้โฮขึ้นมาทันใด

“ลูกของข้ายังอยู่ในกำมือของนาง…”

นายใหญ่โจวโกรธมากจนไม่รู้จะทำอย่างไร จึงต้องปล่อยให้แม่นมคอยดูแล ในขณะที่ตัวเขาเองสั่งให้คนเตรียมรถม้า เพื่อไปเรือนไท่ผิงนอกเมือง

คนของเรือนไท่ผิงไม่นอนกันทั้งคืน

พอถึงรุ่งสาง ประตูพลันถูกเปิดออก

สวีเม่าซิวที่เฝ้าประตูกระเด้งตัวขึ้นมาเป็นคนแรก และท่านชายโจวหกก็ลุกขึ้นยืนตามกันมาติดๆ

“ขะ ข้าจะไปเตรียมหั่นผัก”

หลี่ต้าเสาเอ่ยอย่างขลาดกลัว

ท่ามกลางความโกลาหลเมื่อวานนี้ ทุกคนถูกขังอยู่ในลานบ้าน ยกเว้นหลี่ต้าเสา แต่ก็เพื่อประโยชน์ของพวกเขาเช่นกัน ไม่เช่นนั้นคงจะถูกถามหรือสงสัยไปต่างๆ นานา

คนในห้องก็วิ่งออกมาเมื่อได้ยินการเคลื่อนไหว ฮูหยินฉินวิ่งอยู่หน้าสุด หน้าซีด ตาบวมแดง ไร้ซึ่งท่าทางของหญิงสูงศักดิ์เช่นในอดีต

“พี่ปั้นฉินอนุญาตให้เปิดประตูได้…” หลี่ต้าเสาเอ่ย แม้ว่าเขาจะโง่ แต่ก็รู้ว่าต้องซ่อนตัวในเวลานี้ เขาวิ่งหนีออกไปโดยไม่รอให้ฮูหยินฉินเดินเข้ามา

ฮูหยินฉินกำลังพุ่งเข้าไปด้านใน แต่กลับมีคนเบียดเข้ามาอีกครั้ง

“วันนี้ได้เวลาส่งเต้าหู้แล้ว…” ซุนไฉพยักหน้าอย่างกระอักกระอ่วนและเอ่ย “ระ รถ เรียกรถให้มาตรงนี้ที”

ยังจำว่าจะต้องส่งเต้าหู้ได้ด้วยหรือ

นี่มันเวลาไหนแล้ว

“เมื่อคืนพวกเจ้ายังทำเต้าหู้หรือ” คนคนหนึ่งถามโดยไม่รู้ตัว

“ก็ใช่น่ะสิ ถั่วแช่ไปแล้ว จะเสียเวลาไม่ได้…” ซุนไฉเอ่ย

ยังไม่ทันเอ่ยจบ ก็ถูกฮูหยินฉินผลักให้หลีกออกไป

“ชายสิบสาม!” นางตะโกน พลางร่ำไห้พุ่งเข้าไปด้านใน

สวีเม่าซิวและท่านชายโจวหกรีบวิ่งเข้ามาขวาง ซุนไฉไปไม่เป็น โกลาหลวุ่นวายกันอยู่ด้านหน้าประตู

“เข้ามาเถิด ยกเขาออกไปด้วย แม่นางรักษาเสร็จแล้ว”

เสียงของสาวใช้ดังขึ้นที่ลานบ้าน

คนที่หน้าประตูชะงักไป ฮูหยินฉินผลักออกทุกคนออกแล้วพุ่งตัวเข้าไป ตามติดด้วยคนอื่นๆ ที่เบียดเสียดกันเข้ามา

ประตูห้องรับแขกถูกเปิดออก ก็ปรากฏร่างของท่านชายฉินที่นอนราบอยู่ทันที

“ชายสิบสาม”

ฮูหยินแห่งตระกูลฉินรุดเข้าไป ก่อนจะคุกเข่าลงพลางร่ำไห้ อาลักษณ์หลวงฉินเองก็ยกมือป้องปากไว้

ลมหายใจอุ่นสัมผัสรดบนฝ่ามือ ร่างกายอันเหนื่อยล้าของเขาทรุดนั่งลง

“ยังมีชีวิตอยู่ ยังมีชีวิตอยู่” เขาพึมพำ

ท่านชายโจวหกเข้ามาด้านในเป็นคนที่สาม ขาอ่อนแรงลงก่อนจะเอื้อมมือพยุงประตู

ยังมีชีวิตอยู่ ยังมีชีวิตอยู่…

“พาเขากลับไปเถิด นี่คือยาที่ต้องกินทุกๆ สี่ชั่วยาม” สาวใช้เอ่ย

ฮูหยินฉินลุกขึ้นเมื่อนางพูดจบ

“นางแพศยาคนนั้นเล่า นางแพศยาคนนั้นไปไหน” นางตะโกนพลางร่ำไห้ “ออกมา ออกมา!”

สาวใช้มองนางอย่างไม่เกรงกลัว

“นายหญิงของข้าเสียแรงกายแรงใจอย่างมากในการรักษา ตอนนี้ไปพักผ่อนแล้ว หากฮูหยินต้องการขอบคุณ ไว้วันหลังแล้วกัน” นางเอ่ย

ทำให้ชายสิบสามของข้าโกรธจนตาย ช่วยชีวิตเขาได้ เรากลับต้องขอบคุณหรือ

ฮูหยินฉินตัวสั่นด้วยความโกรธ

ขอบคุณหรือ ขอบคุณอย่างนั้นหรือ

ถุย!

“ฮูหยิน ฮูหยิน เรื่องของชายสิบสามสำคัญกว่า!” อาลักษณ์หลวงฉินตะโกน

สวีเม่าซิวและคนอื่นๆ ที่ตามเข้ามาได้ยืนอยู่ตรงหน้าของสาวใช้แล้วและเฝ้าระวังฮูหยินฉิน

สายตาของฮูหยินฉินกวาดมองทีละคน

“พวกเจ้าทุกคนอย่าได้คิดหนีไปไหนเลย!” นางกัดฟันพูด พลางสะบัดแขนเสื้อและคุกเข่าลงบนพื้น กอดท่านชายฉินร่ำไห้

เมื่อรถม้าของตระกูลฉินออกไป ความตึงเครียดในเรือนก็หายไป

“เกิดอะไรขึ้นกันแน่” ฮูหยินเฉินมองสาวใช้พลางถามอย่างร้อนรน

“ไม่มีอะไรหรอก” สาวใช้เอ่ย “เขาอยากให้นายหญิงรักษาขาให้เขา เป็นการตกลงกันตั้งแรกแล้ว”

เหตุถึงบอกว่าทำให้เขาโมโหจนอกแตกตายเล่า

ฮูหยินเฉินอยากจะถามต่อ ทว่าเฉินเซ่ารั้งนางไว้

“อย่าถามเลย พวกเขาก็เหนื่อยเหมือนกัน ให้พวกเขาไปพักผ่อนเถอะ” เขาพูดพลางมองไปที่สาวใช้และสวีเม่าซิว ”บอกให้แม่นางพักผ่อนให้เต็มที่”

สาวใช้และสวีเม่าซิวรีบคำนับขอบคุณ

เฉินเซ่าเดินจากไป แม้ว่าฮูหยินเฉินจะไม่เต็มใจนัก แต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่น ได้แต่ถอนหายใจแล้วเดินตามไป

ภายในเรือนพลันเงียบสงัดยิ่งกว่าเดิม

นายใหญ่โจวยืนอยู่ในห้อง มองสวีเม่าซิวและสาวใช้

“ไม่ได้ลงมือหรือ” เขาถามขึ้นทันใด

คำพูดนี้ทำให้ทุกคนตกตะลึง สาวใช้ยิ้มโดยพลัน

“เปล่า” นางเอ่ย “นายหญิงแค่พูดเพียงไม่กี่ประโยคเท่านั้นเอง”

พูดไม่กี่ประโยคก็ทำให้คนโกรธจนอกแตกตายได้เลยหรือ

นายใหญ่โจวสีหน้าสงสัย ในสมองพาลคิดเชื่อมโยงเรื่องราวต่างๆ ขึ้นมาอย่างอดไม่ได้

ราชเลขาหลิวจู่ๆ ก็…

เขากลืนน้ำลายอย่างอดไม่ได้

“ไม่ได้ลงมือก็ดี” เขาเสียงแห้ง “สงครามน้ำลายน่ะ พอเกิดเรื่องอะไรแล้วก็ได้แต่โทษตัวเองเท่านั้น”

หากมีการฟ้องร้องเกิดขึ้น สามารถยืนยันได้เพียงเท่านี้

แต่ถึงจะชนะคดี เรื่องนี้ก็ไม่จบลงด้วยดี…

“ท่านลุง ไม่ต้องห่วง จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นแน่นอน” สาวใช้เอ่ย

ไม่ต้องห่วงหรือ  ไม่ห่วงแล้วจะทำอะไรได้อีก

ตอนที่รับหญิงผู้นี้เข้ามาในเมืองหลวง ในวันนั้นชีวิตพวกเขาก็เหมือนแขวนอยู่บนเส้นด้ายแล้ว!

ไม่สิ ควรจะพูดว่าตั้งแต่หญิงผู้นี้เกิดมา ตระกูลโจวของพวกเขาก็ถูกนางมัดไว้ และไม่สามารถกำจัดได้อีกต่อไป!

ทั้งหมดเป็นเพราะโชคชะตา! จำใจต้องยอมรับสินะ!

นายใหญ่โจวถอนหายใจโบกมือแล้วไม่พูดอะไร ก่อนจะหันหลังเดินออกไปอย่างช้าๆ

สาวใช้หาวหวอด

“ท่านชายสาม ข้าก็จะไปนอนแล้วละ” นางเอ่ย

สวีเม่าซิวพยักหน้า

“ไปเถิด ข้าอยู่ที่นี่เอง” เขาพูด

ทุกคนในเรือนก็แยกย้ายกันไป ท่านชายโจวหกยังคงยืนอยู่ตรงทางเดิน แน่นิ่งเสมือนรูปปั้นหิน

ยามราตรีกลับมาอีกครั้งและทุกอย่างก็เงียบลง

ในตระกูลฉินเรือนตระกูลฉินแสงไฟริบหรี่

เสียงเพล้งดังก้องอย่างชัดเจนในห้องอันเงียบงัน

สาวใช้หยิบขึ้นมาอย่างระมัดระวังและมองไปที่ฮูหยินฉินที่หลับตาบนเก้าอี้

“เร็วๆ” นางกระซิบพร้อมกับโบกมือ

สาวใช้ร่างอวบสี่คนยกเก้าอี้และเดินเข้าไปข้างในอย่างระมัดระวัง

สาวใช้เดินอ้อมม่านมาอีกด้านหนึ่ง มองอาลักษณ์หลวงฉินที่คุกเข่าอยู่ พลางจ้องมองท่านชายฉิน

“นายใหญ่ ยาที่ฮูหยินกินออกฤทธิ์แล้ว หลับไปแล้ว” นางกระซิบ

อาลักษณ์หลวงฉินพยักหน้า

“นายใหญ่ก็ไปพักผ่อนด้วยเถิด” สาวใช้เกลี่ยกล่อมด้วยเสียงกระซิบ “อดนอนมาคืนหนึ่งแล้ว จะอดนอนอีกไม่ได้แล้วนะเจ้าคะ”

อาลักษณ์หลวงฉินไม่พูดอะไรและไม่ขยับเขยื้อนด้วย

“หมอมาดูอาการแล้ว บอกว่าท่านชายสิบสามไม่เป็นอะไรแล้ว ท่านไม่ต้องห่วง” สาวใช้พูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาอีกครั้ง

อาลักษณ์หลวงฉินลุกขึ้นยืน เนื่องจากนั่งมานานร่างกายจึงโงนเงน สาวใช้รีบเข้ามาพยุง

อาลักษณ์หลวงฉินลุกขึ้นยืนมั่น จึงค่อยๆ เดินออกไป

“นายใหญ่” สาวใช้นึกอะไรขึ้นได้จึงเรียกเขา

อาลักษณ์หลวงฉินชะงัก

“ยานี้ ยังให้ท่านชายสิบสามกินอยู่ไหม” สาวใช้กระซิบถาม

ยาหรือ

อาลักษณ์หลวงฉินหันหน้าไป มองขวดลายครามที่อยู่บนโต๊ะวางชา

นี่คือยาที่หญิงผู้นั้นกำชับไว้ สาวใช้อุตส่าห์จำได้ และถามหมอแล้ว แม้หมอจะชิมแล้ว แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นสิ่งใด จึงไม่อาจตัดสินใจ หลังจากกลับมากินได้ถึงสองครั้งแล้ว ต่อไปยังต้องกินอีกไหม

อาลักษณ์หลวงฉินเงียบไปครู่หนึ่ง

“กินเถิด” เขาเอ่ย ก่อนจะเดินออกไป

ท่านชายฉินรู้สึกว่าตนเองกำลังฝัน ทว่าเมื่อเทียบกับความฝันในอดีตแล้ว ฝันครั้งนี้เหนื่อยกว่าเล็กน้อย

เขาอดไม่ได้ที่จะบิดขี้เกียจ เงยหน้ามองเพดานอันขมุกขมัว ก่อนจะเอียงหน้าไปมองบ่าวรับใช้ที่นอนอยู่บนพื้น ดังเช่นที่ผ่านมา

เขายิ้ม ก่อนจะเอื้อมมือออกไป รอยยิ้มพลันหายไปและรีบลุกขึ้นมา

ข้างเตียงไม่มีไม้เท้า

ไม้เท้าเล่า

ท่านชายฉินรู้สึกกระวนกระวายอยู่ในใจ

แต่ไม่นานก็ใจเย็นลง

ฝันนี่นา เขาในฝันย่อมทำอะไรตามที่ใจตนหวังได้อยู่แล้ว อันที่จริงเขาไม่ชอบฝัน เพราะในฝัน เขาถึงจะได้พบกับความอิสระ ไม่ต้องใช้ไม้เท้าเดินเหิน

แน่นอน ความอิสระเช่นนี้มีไม่มากนัก เพราะเขากำลังควบคุม ควบคุมให้ตัวเองยอมรับความจริง แม้แต่ความฝันก็ไม่อาจหลบหนี

แต่ว่าปล่อยไปตามอำเภอใจสักครั้งก็คงไม่เป็นอะไร

ท่านชายฉินลุกขึ้นนั่ง ก้มมองขาของตัวเอง

ขาที่อยู่ภายใต้กางเกงนอนสีฟ้ามองดูแล้วเหมือนคนอื่นทั่วไป ทว่าตอนที่ยืนกลับยืดได้ไม่ตรงนัก…

เขาถอนหายใจและยกขากางเกงขึ้นเบาๆ

สีหน้าของเขาดูประหลาดใจอีกครั้ง

ขาที่บิดงอข้างนั้นที่ไม่กล้าเผยให้ใครเห็น บัดนี้กลับกลายเป็นเหมือนขาคนปกติทั่วไปแล้ว

ฝันสินะ…

ท่านชายฉินลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะวางขาลงบนพื้นและเหยียบลงพลางกัดฟัน เขายืนได้แล้ว

ยืนขึ้นได้แล้ว!

จู่ๆ เขาก็นั่งหลังตรงอีกครั้ง รู้สึกว่าหัวใจเต้นแรงอย่างบ้าคลั่ง เหงื่อไหลลงมาจากหน้าผาก แต่ก็ยังยืนนิ่งอยู่นาน

ภายในห้องเงียบสงัด บ่าวรับใช้ที่กำลังนอนอยู่แทบเท้าละเมอออกมา

แค่ความฝันไม่ใช่หรือ ตกใจขนาดนี้เชียว

ท่านชายฉินยิ้มอีกครั้ง เขาลุกขึ้นยืนด้วยมือและยืนอย่างมั่นคงสักครู่ ก้มศีรษะลงและก้าวช้าๆ

ความรู้สึกของเท้าที่สัมผัสพื้น…

เขาก้าวไปอีกก้าวและกระโดดข้ามบ่าวรับใช้ที่กำลังนอนเอกเขนกอยู่เบาๆ

ไร้ซุ่มเสียงจากเท้าเปล่าที่อยู่บนไม้กระดาน

ท่านชายฉินยิ้ม พลางมองบ่าวรับใช้ที่นอนอย่างไม่รู้สึกตัวแล้วเดินออกไป

ด้านนอกห้องมีสาวใช้สองคนที่ยังคงหลับใหล

แต่ต่อให้มีคนหลับอีกมากมายเพียงใดก็ไม่เป็นอะไร เขาเดินได้ เดินได้ด้วยขาของตัวเอง ย่อมไม่มีคนรู้ว่าวิ่งไปไหน เฉกเช่นท่านชายโจวหก เหมือนกับคนหนุ่มคนสาวทั่วไปต่างก็ทำเช่นนั้น

ชายหนุ่มผมเผ้าปลิวไสว สวมเฉพาะเสื้อผ้าตัวในวิ่งเข้าสู่หมอกขมุกขมัวอย่างรวดเร็ว

เสียงกรีดร้องทำลายความสงบของเรือน

ฮูหยินฉินเดินหน้าเข้ามาอย่างโซเซ ขาอ่อนแทบจะไม่สามารถเดินได้อีกต่อ

ชายสิบสาม ชายสิบสาม ชายสิบสาม…

“ฮูหยิน ท่านชายหายไปแล้วเจ้าค่ะ!”

เสียงของสาวรับใช้แทรกเสียงร่ำไห้ของนางขึ้นมา

ฮูหยินฉินตกตะลึง ก่อนจะมองเตียงด้วยน้ำตาคลอเบ้า

ที่นั่นไม่มีศพอันเยือกเย็น ไม่มีใครสักคนหนึ่ง

หายไปอย่างนั้นหรือ

จะหายไปได้อย่างไร หรือว่ามีใครลักพาตัวเขาไปจากเรือนใหญ่ของพวกเขาโดยที่ไม่รู้ตัวอย่างั้นหรือ

เป็นไปไม่ได้!

จะว่าไปมีทางเดียวที่เป็นไปได้ ก็คือเขาเดินออกไปเอง

“ไม้เท้าอยู่ไหน” ฮูหยินฉินถาม

บ่าวรับใช้วิ่งวุ่น จากนั้นเขาก็ได้ไม้เท้าจากหลังโต๊ะ เมื่อวานนี้ยุ่งวุ่นวาย และเนื่องจากท่านชายฉินยังคงไม่ได้สติ จึงไม่ได้ใช้ไม้เท้า เขาจึงโยนมันทิ้งไปอีกที่หนึ่ง

“ไม่ได้ใช้ไม้เท้าหรือ”

เสียงของอาลักษณ์หลวงฉินดังออกมาจากประตู

ทุกคนหันกลับไปมอง เห็นว่าเขามึนงง ก่อนจะค่อยๆ หน้าแดงและตัวสั่นเทา

“นายใหญ่” ฮูหยินฉินรีบตะโกนออกมา

ยังไม่ทันขาดคำ อาลักษณ์หลวงฉินก็เดินออกไปข้างนอก

“ไม่ได้ใช้ไม้เท้า!” เขาตะโกนเสียงสั่น

ไม่ได้ใช้ไม้เท้า…

ไม่ได้ใช้ไม้เท้า!

“ชายสิบสาม!”

เสียงร้องไห้ทำลายความเงียบของเช้าวันใหม่ จนสาวใช้ที่กำลังกวาดพื้นอยู่ชะงักไปแล้วหันมามอง

เมื่อวานถูกหามกลับมา อย่าบอกนะว่า…

อาลักษณ์หลวงฉินเดินไปอย่างรวดเร็ว พร้อมกับตะโกนเสียงดัง สถานที่ที่ลูกชายมักจะไปคือสวนหลังบ้าน ไม่ใช่สวนดอกไม้ แต่เป็นสนามฝึกที่สร้างขึ้นเหมือนกับตระกูลโจว

ทันทีที่เข้าไป ก็เห็นร่างใครคนหนึ่งยืนอยู่ที่นั่น

“ชายสิบสาม!” อาลักษณ์หลวงฉินตะโกน จู่ๆ ก็ก้าวไม่ออกเมื่อมองเห็นคนตรงหน้า

ชายผู้นั้นหันกลับมาแล้วยิ้มให้เขา

“ท่านพ่อ เหตุใดถึงมาอยู่ที่นี่ได้เล่า” เขาเอ่ยพร้อมกับก้าวไปข้างหน้า

เดินมาแล้ว เดินมาแล้ว

อาลักษณ์หลวงฉินรู้สึกแค่ว่าตัวเองหายใจไม่ออก ร่างกายแข็งทื่อขยับไม่ได้ ราวกับหากหายใจเข้าออกหรือขยับแม้แต่นิดเดียวทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้าจะหาบวับไปราวกับฟองสบู่

“เป็นเช่นนั้นจริงๆ ด้วย จื้อจงยุคชุนชิว การตายของเหวินจื้อ จื้อจงยุคชุนชิว การตายของเหวินจื้อ” เขาพึมพำซ้ำไปซ้ำมา

“ชายสิบสาม!”

เสียงร้องของฮูหยินฉินดังขึ้น นางวิ่งผ่านอาลักษณ์หลวงฉินไป พุ่งเข้าไปราวกับคนบ้า

“ชายสิบสาม! ชายสิบสามของข้า” นางคว้าตัวลูกชายไว้ น้ำตานองหน้า “เจ้าเดินได้แล้วหรือ เจ้าเดินได้แล้วหรือ ขาของเจ้าหายแล้วหรือ”

ท่านชายฉินถูกแม่เขย่าจนยืนได้ไม่นิ่ง

“เป็นความผิดของข้าทั้งหมด ข้าทำให้ท่านแม่ยั้งสติไม่อยู่เช่นนี้ในฝันของข้า” เขายิ้มพลางเอ่ย พร้อมกับเอื้อมมือไปพยุงฮูหยินฉิน “ใช่แล้ว ใช่แล้ว ข้าเดินได้แล้ว”

ฮูหยินฉินมองเขา เอื้อมมือไปจับมือของเขา ก่อนจะกรีดร้องออกมา

เมื่อน้ำตาที่หยดลงบนมือของท่านชายฉิน เขารู้สึกถึงสัมผัสอุ่นชื้นนั้น

สัมผัสอุ่นชื้น…

ท่านชายฉินก้มมองมือของตัวเองอย่างอดไม่ได้

“นี่ ไม่ใช่ความฝันหรือ” เขาเอ่ย

จากนั้นคนมากมายก็พากันกรูเข้า ล้วนแต่เป็นบรรดาพี่ชายและน้องสาวของเขา

“สวรรค์ ให้ตายเถอะ ชายสิบสาม! ชายสิบสามเดินได้แล้ว!”

พวกเขาตะโกนร้องลั่นโวยวาน

ท่านชายฉินมองด้วยความงุนงง ข้างหูมีแต่เสียงอื้ออึงไปหมด ราวกับมีเสียงดังแต่ตัวเขากลับไม่ได้ยินอะไรเลย

ไม่ใช่ความฝันหรือ

ไม่ใช่ความฝันอย่างนั้นหรือ

ทันใดนั้นเขาก็ก้มหน้าลงมองที่ขาของตัวเอง ขาที่ยืนอยู่บนพื้นอย่างมั่นคง

ไม่ใช่ความฝัน…

ดวงตาของท่านชายฉินมืดลง ก่อนจะหงายหลังล้มลงไป

เสียงกรีดร้องในตระกูลฉินดังขึ้นอีกครั้ง

…………………..