ตายแล้วฟื้น ฟื้นแล้วตาย
คือความรู้สึกของฮูหยินฉินในสองวันที่ผ่านมานี้
ยามเห็นลูกชายถูกหามเข้าไปในห้องนอน นางแทบอยากจะเป็นลมล้มพับลงไป
ทว่านางทำเช่นนั้นไม่ได้
“เร็วเข้า รีบไปเชิญแม่นางเฉิงมา” นางตะโกนร้อง จากนั้นตนเองก็รีบวิ่งออกไป
ประตูเรือนสะพานอวี้ไต่ถูกทุบจนแทบพังแต่กลับไม่มีผู้ใดเปิดออก
ทันใดนั้นรถม้าก็เคลื่อนตัวออกไปอย่างรวดเร็ว
เรือนไท่ผิงยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน คราคร่ำไปด้วยผู้คนมากมาย
ยามรถม้าของฮูหยินฉินจอดลง ท่านชายโจวหกก็ยืนอยู่ที่หน้าประตูหลังเรือนแล้ว พอเห็นฮูหยินฉินน้ำตานองหน้าลงรถม้ามา ใบหน้าของเขาก็ซีดเผือด ก้มหน้าลงพร้อมกำหมัดแน่นข้างตัว
“แม่นางเฉิง” ฮูหยินฉินตะโกนโห่ร้อง ฝีเท้าแทบจะก้าวไม่มั่นคงแต่กลับจ้ำเดินอย่างรวดเร็ว เหล่าแม่นมต้องพากันวิ่งถึงจะตามทัน
ท่านชายโจวหกขวางเอาไว้ ริมฝีปากของเขาสั่นเครือ ทว่ากลับไม่เอ่ยคำใดออกมา
“ชายหก ชายหก” ฮูหยินฉินเอ่ยน้ำตาไหลพราก “ขอบใจเจ้านัก”
วินาทีนั้นท่านชายโจวหกแทบจะหยุดหายใจ
“เจ้ารีบไปดู เจ้ารีบไปดูสิ” ฮูหยินฉินเอ่ยทั้งน้ำตา พลางมองเขา “ชายสิบสามเดินได้แล้ว ชายสิบสามเดินได้แล้ว”
ท่านชายโจวหกจ้ำเท้าราวกับจะบินออกไป ทว่าเดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าวก็หยุดลงแล้วหันกลับมา
ในตอนนั้นฮูหยินฉินก็เดินเข้าไปถึงหน้าห้องโถงของเรือนเฉิงเจียวเหนียงแล้ว แต่ก็ถูกขวางไว้อีกครั้ง
“นายหญิงของข้ายังหลับอยู่เจ้าค่ะ” สาวใช้ขมวดคิ้วพลางเอ่ยเสียงแข็ง “ท่านมีธุระอันใดหรือ”
ยังไม่ตื่นอีกหรือ
ฮูหยินฉินตกตะลึงไม่น้อย
“หากไม่ใช่เพราะต้องรักษาท่านชายฉินสิบสามลูกชายท่าน นายหญิงของข้าก็คงไม่ต้องเหนื่อยล้าเช่นนี้” สาวใช้ขมวดคิ้วพูด “ท่านหยุดร้องไห้ได้แล้ว ออกไปก่อนเถิดเจ้าค่ะ”
ฮูหยินฉินยกมือป้องปาก กลั้นเสียงสะอื้นไม่ให้ดังออกมา
“ข้าไม่ร้องแล้ว ข้าจะไม่เสียงดังรบกวนนาง” นางเอ่ยเสียงสะอื้น “ข้าอยากขอบคุณนาง แล้วก็อยากจะถามนางว่าชายสิบสามของข้าเดินได้แล้วใช่ไหม”
“แน่นอนอยู่แล้วเจ้าค่ะ” สาวใช้ตอบ “นายหญิงของข้าไม่เคยโกหก บอกว่าจะรักษา ก็ต้องรักษาให้หาย”
‘เพราะข้าไม่เคยพูดโกหก’
ท่านชายโจวหกมองเข้าไปในห้องโถง ภาพของหญิงสาวสีหน้าไร้อารมณ์ก็ลอยเข้ามาในหัว
นายใหญ่โจวเดินเข้าห้องมา ก็เห็นห่อผ้าเล็กใหญ่กระจัดกระจายอยู่เต็มพื้นไปหมด ก่อนจะยกเท้าเขี่ยเพื่อแหวกทาง
ฮูหยินโจวกรีดร้องเสียงแหลม
“นายท่าน ข้าเพิ่งเก็บเสร็จเองนะ ท่านทำอะไรของท่าน จะไม่ทันการณ์อยู่แล้ว” นางตะโกนพลางเก็บห่อผ้าที่กระจาย ทั้งที่ยังสะอื้นไม่หยุด “หากยังไม่รีบหนีจะไม่ทันการณ์เอา…”
“จะหนีไปที่ใดกัน ผู้ใดกล้าไล่ตระกูลโจวอย่างพวกเรากัน!” นายใหญ่โจวเอ่ยพลางหัวเราะยกใหญ่
ทุกคนทั้งห้องนิ่งชะงักไป
“ดูสิ นายท่านโมโหจนเสียสติไปแล้ว” ฮูหยินโจวร้องมือทาบอก
จู่ๆ ที่ศาลาว่าการก็เกิดเรื่อง แต่พอรีบกลับมาเรื่องก็คลี่คลาย ทว่าสบายใจได้ไม่นาน ก็เกิดเหตุให้ตระกูลต้องล่มสลายอีกเสียแล้ว เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายสลับผลัดเปลี่ยนกันไปเช่นนี้ ไม่สติแตกก็แปลกแล้ว
“ท่านพ่อ! เป็นดั่งการตายของเหวินจื้อในเรื่องจื้อจงยุคชุนชิวจริงๆ ด้วยขอรับ ยอมสละชีพของตนเองเหมือนดั่งหมอเหวินจื้อมิปาน” เฉินเซ่าเอ่ยพลางเดินเข้ามาอย่างรีบร้อน
ตอนแรกเขาก็แค่ทำใจกล้าพูดออกไปอย่างนั้น เพื่อให้อาลักษณ์หลวงฉินใจเย็นลง อย่างน้อยก็พอช่วยบรรเทาความโกรธได้สักนิดก็ยังดี ทว่าในใจกลับร้อนรนนัก แต่คิดไม่ถึงเลยว่าความจริงจะเป็นเหมือนดั่งที่เขาคาดการณ์ไว้
เป็นวิธีรักษาของนางจริงๆ ด้วย ใช้วิธียั่วโมโหด้วยคำดูถูกเหยียดหยาม แต่กลายเป็นรักษาหายได้เสียอย่างนั้น
นายใหญ่เฉินและเหล่าลูกสาวที่นั่งอยู่ในห้องต่างหันมามอง สีหน้าทุกคนต่างตกตะลึง
เฉินเซ่าปรับสีหน้าให้นิ่งสงบในทันใด หากจะเสียกิริยาต่อหน้าลูกสาวเช่นนี้คงขายหน้านัก
“ท่านพ่อ อะไรคือจื้อจงยุคชุนชิวหรือเจ้าคะ” เฉินตันเหนียงถามอย่างสงสัย
“เป็นเรื่องเล่าสมัยโบราณน่ะ” เฉินเซ่านั่งลงก่อนจะเล่าให้ลูกสาวฟัง “ในตอนนั้น ฮ่องเต้แคว้นฉีล้มป่วย จึงได้เชิญคนผู้หนึ่งจากแคว้นซ่งมา นามว่าเหวินจื้อ…”
นายใหญ่เฉินก้มหน้ามองม้วนหนังสือในมือ
บันทึกชุนชิวตระกูลหลี่ว์
เขาพลิกเปิดหนังสือ บันทึกเหมันตฤดูที่สิบเอ็ด
“พอเหวินจื้อมาถึงก็ถามอาการของฮ่องเต้ แล้วก็บอกกับองค์รัชทายาทว่า โรคของฮ่องเต้นั้นรักษาหายได้ แต่จะรักษาหายได้ ก็ต่อเมื่อตนเองต้องตายเท่านั้น…” เฉินเซ่าเล่าต่อ
เฉินตันเหนียงสงสัย ตาลุกวาว
“เพราะเหตุใดกัน” นางถาม
แม่นางเฉินสิบแปดส่งเสียงให้นางเงียบ
“ฟังท่านพ่อก่อน อย่าเพิ่งพูดแทรก” นางกระซิบเสียงแผ่วเบา
เฉินตันเหนียงแลบลิ้น ก่อนจะนั่งลงจ้องหน้าเฉินเซ่า
“เหวินจื้อบอกว่า จะรักษาให้หายได้ต้องทำให้ฮ่องเต้กริ้วเท่านั้น พอฮ่องเต้กริ้วแล้วตนจึงต้องตาย” เฉินเซ่าพูด “ตอนแรกองค์รัชทายาทก็ครุ่นคิด ถามเขาว่ามีหนทางนี้เพียงอย่างเดียวหรือ หากเป็นเช่นนั้นจริง เขาและฮองเฮาจะช่วยพูดให้ ไม่ให้ฮ่องเต้ประหารเขา ฮ่องเต้ย่อมเห็นแก่เขาและฮองเฮาอยู่แล้ว ต้องยกโทษให้เขาแน่”
“แล้วเขาตกลงไหมเจ้าคะ” เฉินตันเหนียงยังถามไม่หยุด
“ตกลง พอองค์รัชทายาทรับปาก เหวินจื้อก็ให้คนไปบอกฮ่องเต้แคว้นฉีว่าเขายอมจะรักษาให้…” เขาเอ่ยต่อ
“จากนั้นเขาก็ผิดนัดถึงสามหน ฮ่องเต้แคว้นฉีโกรธมาก พอเหวินจื้อมาถึงก็เหยียบขึ้นเตียงฮ่องเต้ พร้อมทั้งสวมชุดของฮ่องเต้ แล้วถามฮ่องเต้ว่าป่วยเป็นอะไร ฮ่องเต้กริ้วหนัก ไม่ยอมตอบคำถาม เหวินจื้อจึงยั่วโมโหเขายิ่งกว่าเดิม จู่ๆ ฮ่องเต้ก็ลุกขึ้นจากเตียงได้ แล้วก็หายป่วยไปโดยปริยาย”
นายใหญ่เฉินอ่านหนังสือพร้อมคิดตาม
เฉินตันเหนียงจู่ๆ ก็อารมณ์ดีขึ้นมาอย่างปิดไม่มิด
“ที่แท้ความโกรธและคำเหยียดหยามก็รักษาโรคได้อย่างนั้นหรือ” นางเอ่ยร้อง
“บนโลกนี้มีวิธีรักษาโรคนับร้อยนับพัน นึกไม่ถึงเลยว่าแม่นางเฉิงก็รู้จักวิธีนี้เช่นกัน” แม่นางเฉินสิบแปดเอ่ยขึ้น พลางมองท่านพ่อราวกับกำลังคิดอะไรบางอย่าง
เฉินเซ่าพยักหน้าแล้วยิ้มแต่ไม่พูดอะไร
“แล้วหลังจากนั้นล่ะเจ้าคะ” แม่นางเฉินสิบแปดถามด้วยสายตาเป็นประกาย
“หลังจากนั้น ฮ่องเต้ก็กริ้วมากแต่ก็ยังไม่ยอมบอกว่าเจ็บป่วยตรงไหน สั่งให้คนต้มเหวินจื้อทั้งเป็น องค์รัชทายาทและฮองเฮามาช่วยพูด แต่ก็ไม่เป็นผล เหวินจื้อจึงถูกต้มทั้งเป็น…” เฉินเซ่าเอ่ย
เฉินตันเหนียงร้องตกใจ
“แล้ว…เหตุใดถึงเป็นเช่นนั้นเล่า” นางถาม
“เพราะเขาพูดจาหมื่นฮ่องเต้” แม่นางเฉินสิบแปดเอ่ยขึ้น
“แต่ก็เพื่อรักษาเขาไม่ใช่หรือ” เฉินตันเหนียงเอ่ย “เขาทำเช่นนั้นเพื่อต้องการช่วย”
“ความจริงฟังอย่างไรก็ไม่เข้าหู” เฉินเซ่าเอ่ย “พวกเจ้าจำไว้นะ ความจริงฟังอย่างไรก็ไม่เข้าหู หากได้ยินเรื่องใดที่เป็นความจริง ก็อย่าได้เคียดแค้น ต้องตั้งสติแล้วคิดทบทวน ไม่เช่นนั้นจะคนดีจะถูกปรักปรำ ความจริงฟังไม่เข้าหูอย่างไร คำโกหกก็หอมหวานเช่นนั้นแล”
เหล่าลูกสาวขานรับในทันที
“แต่ว่าหมอเหวินก็น่าสงสารนัก เช่นนั้นก็ไม่ควรรักษาฮ่องเต้ตั้งแต่แรก!” เฉินตันเหนียงเอ่ยหน้าหงิก
เฉินเซ่ามองบรรดาลูกสาวแต่ไม่พูดอะไรออกมา แม้เขาเองก็เห็นด้วยกับตันเหนียง
“ทำแบบนั้นก็ไม่ถูก” เขาเอ่ย “พวกเจ้ารู้จักคำว่าคุณธรรมไหม”
แน่นอนว่าเฉินตันเหนียงต้องส่ายหน้า
“คุณธรรมหมายความว่า อย่าได้ดีใจเพียงเพราะผู้อื่นเข้าใจการกระทำของตน อย่าได้เสียใจเพียงเพราะผู้อื่นไม่เข้าใจตน” เฉินเซ่าพูด “คนเราอย่าเลือกจะทำหรือไม่ทำการใด เพียงเพราะกลัวว่าผู้อื่นจะไม่เข้าใจหรือเข้าใจผิด ก่อนหน้าเรื่องนี้ ยังมีอีกเรื่องหนึ่งคือเรื่องของท่านชายเซินที่ยุยงให้ฮ่องเต้ฆ่าแรดตัวเมีย พวกเจ้าลองไปอ่านดูแล้วจะเข้าใจเอง”
เหล่าลูกสาวพยักหน้าแล้วคำนับที่ท่านพ่อสอนบทเรียนให้
“เช่นนั้นวันพรุ่งนี้ให้อาจารย์มาสอนบันทึกเหมันตฤดูยุคชุนชิวดีไหม” นายใหญ่เฉินเอ่ย
เฉินเซ่าขานรับ
บรรดาลูกสาวพากันลุกขึ้นโค้งคำนับแล้วออกจากห้องไป เหลือเพียงสองพ่อลูกที่กำลังคุยกันอยู่
“โชคดีที่เรื่องของการรักษาของเหวินจื้อเป็นจริง ข้าคิดว่าคนโบราณโกหกเสียอีก ที่แท้มีวิธีการรักษาเช่นนั้นอยู่จริงด้วยหรือนี่” นายใหญ่เฉินเอ่ยพลางหัวเราะ
ยั่วโมโหท่านชายฉินก็เพื่อรักษาขาของเขา ทั้งยังเพื่อรักษากฎไม่ถึงตายไม่รักษาให้ของตัวเอง
ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ไม่ต้องถามอะไรทั้งนั้น ขอเพียงแค่ตอนนี้ท่านชายฉินเดินได้แล้วก็พอ ไม่ว่าจะคำถามใดก็ไร้ความหมายทั้งนั้น
เขายิ้มพลางส่ายหน้า ความกังวลภายในจิตใจสุดท้ายก็คลายลงเสียที เขาถอนลมหายใจยาวออกมา
แม่นางผู้นี้ทำการสิ่งใดล้วนเป็นไปตามกฎของนาง ไม่เคยบิดพลิ้ว
“คนเข้าใจก็อย่าดีใจ คนไม่เข้าใจก็อย่าได้เสียใจ” เขาเอ่ยพึมพำ “นางช่างคุณธรรมสูงส่งยิ่งนัก”
ทว่าชอบทำให้คนตกอกตกใจอยู่เรื่อย
ไม่รู้ว่าวันหน้าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีก!
นายใหญ่เฉินส่ายหน้าพล่างยิ้มเจื่อน
เด็กบ้าแห่งเจียงโจวผู้นี้หนอ!
“ท่านพ่อ ท่านยังเรียกนางว่าเด็กบ้าแห่งเจียวโจวอยู่อีกหรือ” เฉินเซ่าเอ่ยพลางหัวเราะ
“จะเรียกนางว่าอย่างไรก็ได้อยู่แล้ว นางไม่ใส่ใจหรอก” นายใหญ่เฉินเอ่ยพลางยิ้มบาง “จะเรียกอย่างไรก็ได้ทั้งนั้น เพราะขึ้นอยู่กับเจตนาของคน ดูอย่างคนตระกูลโจวสิ หากตอนนี้พูดถึงเด็กบ้าแห่งเจียงโจว ในใจของพวกเขาคงรู้สึกแตกต่างจากแต่ก่อนโดยสิ้นเชิง”
……………………………