ค่ำคืนอันมืดมิด ภายในห้องของท่านชายฉินสิบสามยังคงสว่างไสว

สายตาของทุกคนจับจ้องไปที่หมอเฒ่าที่ยืนอยู่ข้างเตียง

“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร แค่เลือดลมไหลเวียนไม่คล่องก็เท่านั้น ค่อยเป็นค่อยไป ค่อยๆ ปรับธาตุในร่างกาย วันหน้าก็เดินเหินได้อย่างใจหมายแล้ว” หมอเอ่ยพลางลุกขึ้นยืน

แม้วันนี้จะได้ยินคำนี้มานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว แต่อาลักษณ์หลวงฉินแล้วฮูหยินฉินก็ยังตื่นเต้นไม่หาย

“ชายสิบสาม ชายสิบสาม เจ้าได้ยินไหม” ฮูหยินฉินเอ่ยน้ำตานอง

ท่านชายสิบสามที่นอนอยู่บนเตียงฟื้นขึ้นมาตั้งนานแล้ว พอได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มออกมา

“ท่านแม่ ข้าไม่ใช่แค่ได้ยินแล้ว แต่ข้าได้ยินจนหูอื้อไปหมดแล้วต่างหาก” เขาเอ่ย

ฮูหยินฉินเผลอยิ้มออกมา แต่ก็ยังเช็ดน้ำตาไม่หยุด

“ท่านแม่ ข้าไม่เป็นอะไรแล้ว ท่านรีบไปพักผ่อนเถิด” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ย

ฮูหยินฉินพยักหน้า ยิ้มทั้งน้ำตา

“ได้ แม่จะไปพักผ่อนเดี๋ยวนี้แหละ จะไปแล้ว” นางเอ่ยพลางลุกยืนขึ้น

เหล่าแม่นมรีบเข้ามาพยุงตัว

“ข้าจะไปหลับสักพัก ข้าจะไปหลับสักพัก ข้าไม่ได้นอนอย่างสงบใจมานานมากแล้ว…” นางเอ่ยพึมพำพลางกุมหน้าเดินออกไป

พอเห็นท่านแม่เดินโซซัดโซเซออกไป ท่านชายฉินสิบสามก็เริ่มแสบจมูกขึ้นมา

“เอาล่ะ เจ้าเองก็นอนได้แล้ว หมอกี่คนก็พูดแบบนี้ แม่นางเฉิงเองก็บอกเหมือนกัน เช่นนี้พวกเราก็วางใจได้แล้ว เจ้าต้องรักษาตัวให้ดี” อาลักษณ์หลวงฉินเอ่ย

แสงไฟภายในห้องดับลง ทุกคนพากันออกไปหมดแล้ว ห้องก็เงียบสงัดลงในทันใด

ท่านชายฉินสิบสามนอนอยู่บนเตียง แต่ยังคงตื่นเต็มตา

เขาค่อยๆ เอื้อมมือแล้วงอตัวออกไปจับน่องของตนเอง

หายดีแล้ว…จริงๆ หรือนี่

ไม่ได้ฝันไปจริงๆ หรือ

“เอาล่ะ เอาล่ะ ไม่เดินแล้ว พักได้แล้ว”

ฮูหยินฉินรีบเอ่ยขึ้น ยามมองดูท่านชายฉินที่มีบ่าวสองคนคอยประคองขณะก้าวเดินไปอย่างเชื่องช้า

ตั้งแต่ที่โมโหจนสลบไปแล้วฟื้นขึ้นมา จากนั้นก็ตกใจจนหมดสติไปแล้วฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง ระยะเวลาก็ล่วงเลยมากว่าสามวันแล้ว

สามวันที่ผ่านมานี้ท่านชายฉินไม่เคยฝันว่าตัวเองเดินเหินอย่างคล่องแคล่วเลยสักครั้ง แล้วก็ไม่ต้องมีคนพยุงแล้วด้วย เอาเป็นว่าพอจะมีแรงและขาก็เริ่มมีความรู้สึกแล้ว

ฮูหยินฉินไปพบเฉิงเจียวเหนียงด้วยตัวเองอีกครั้ง ทว่ากลับได้รับคำตอบจากสาวใช้เหมือนเดิมว่านางกำลังพักผ่อนอยู่ ไม่รับแขก ทั้งยังบอกว่ามาเอายาไปก็พอแล้ว

“นางบอกว่าอย่าหักโหมมากนัก” ฮูหยินฉินเอ่ย พลางมองสาวใช้เช็ดเหงื่อให้กับท่านชายฉินสิบสาม ใบหน้าของนางเปี่ยมไปด้วยความสุข “ค่อยเป็นค่อยไป พวกเรามิได้รีบร้อน”

ท่านชายฉินยิ้มพลางขานรับ

ใช่แล้ว ไม่รีบ เขารอได้

จากสิ้นหวังกลายเป็นมีหวัง จากความหวังกลายเป็นความจริง เหตุใดเขาถึงจะรอไม่ได้กัน

เขาล้มนอนลงบนเตียงอีกครั้ง ก่อนจะล้วงยาที่อยู่ในขวดดินเผาออกมากิน ภายในห้องของท่านชายฉินสิบสามนั้นเงียบสงัด

เขาบอกว่าไม่ชอบให้ในห้องมีคนมากนัก เพราะอยากจะสงบจิตใจ

คราวนี้ไม่มีผู้ใดมาขัดขวางการสงบจิตใจของเขาได้แล้ว

เพราะตอนนี้เข้าไม่จำเป็นต้องมีคนคอยติดตามข้างกายตลอดเวลาอีกต่อไป แม้จะยังเดินโซเซอยู่เหมือนเดิม แต่เขาก็เดินได้แล้วจริงๆ เขาสามารถเดินได้ด้วยตนเอง อยากจะทำอะไรก็ทำได้ทั้งนั้น

ท่านชายฉินนำหมอนมารองใต้คอ เพราะรู้สึกว่าในหูมีแต่เสียงอื้ออึงเต็มไปหมด ในสมองมีแต่เรื่องวุ่นวาย

“เป็นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ”

ท่านชายฉินบ่นพึมพำนอนมองดูเพดานอยู่บนเตียง

ตั้งแต่ฟื้นขึ้นมาหลังจากหมดสติไปคราวนั้น ไม่นานเขาก็จำเรื่องราวทุกอย่างได้ทั้งหมด แทบไม่น่าเชื่อราวกับความฝันจริงๆ

เขาเคยบอกแล้วว่าไม่เชื่อ

เขาเคยบอกแล้วว่านางไม่เคยโกหก

มุมปากของท่านชายฉินสิบสามเผยรอยยิ้มออกมา เขานอนยกขาขึ้นบนเตียง ก่อนจะแกว่งไปมาช้าๆ

ตอนนี้เขาทำท่านี้ได้แล้ว ไม่ใช่เพียงแค่ท่านี้ ท่าทางอื่นๆ ที่ผู้อื่นทำได้แต่เขาทำไม่ได้ ตอนนี้ก็ทำได้ทั้งหมดแล้ว

ผู้ใดจะเชื่อว่าเป็นเรื่องจริงกัน

ตอนนั้นท่านพ่อก็เคยบอกกับทุกคนในห้องโถง บอกว่าตอนแรกที่เขายอมเชื่อคำพูดโน้มน้าวของเฉินเซ่าก็เพราะนึกถึงเรื่องนี้

วิธีการรักษานี้มีบันทึกอยู่ในตำรา

วิธีรักษาฮ่องเต้ของเหวินจื้อโดยใช้คำดูถูกเหยียดหยามที่ถูกบันทึกไว้ในบันทึกชุนชิวของตระกูล หลี่ย์

ใช่แล้ว ไม่มีผิดพลาด เป็นเช่นนั้นจริงๆ

เขารู้สึกว่าเรื่องราวชักไม่ชอบมาพากลตั้งแต่แรกแล้ว เพราะนางไม่ใช่คนปากคอเราะร้ายเช่นนั้น แถมยังไม่ชอบพูดด้วยซ้ำไป

นางเริ่มทำแบบนี้ตั้งแต่เมื่อใดกันนะ

ตั้งแต่ที่นางเอ่ยคำว่าเจ้าเป๋ออกมาครั้งแรกอย่างนั้นหรือ

หรือว่าตั้งที่นางบอกว่า ‘หากคราวนี้เจ้าช่วยข้า ข้าจะช่วยรักษาขาของเจ้า’

หลังจากนั้นเขาก็เริ่มดื่มชาของนาง ฟังคำพูดของนาง ติดกับดับของนาง ตกหลุมพรางเชื่อคำของนาง

“ที่แท้ข้าก็เหมือนราชเลขาหลิวหรือนี่” เขาพึมพำกับตัวเองอีกครั้ง “เขาหัวเราะเยาะคนอื่น ที่แท้ตัวเองก็ไม่ได้เก่งกาจไปกว่าเขาสักเท่าไหร่”

ที่แท้ก็ทำให้ป่วย เพื่อที่จะได้รักษา

เขาหัวเราะออกมา ทว่ากลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ ทันใดนั้นก็กระเด้งตัวขึ้น ก่อนจะเอื้อมมือไปคว้าไม้เท้าตามความเคยชิน แต่กลับควานหาไม่เจอสิ่งใด

ใช่แล้ว จากนี้ไป เขาไม่จำเป็นต้องใช้มันแล้ว

เขาลุกยืนขึ้นก่อนแล้วค่อยๆ ยืนให้มั่น แม้จะยังไม่มีแรงสักเท่าไหร่ แม้เท้าจะยังคงสั่นเครือ แต่พอลองก้าวเดินออกไป แม้จะโซเซอยู่บ้าง แต่ก็สามารถก้าวเดินไปข้างหน้าได้ด้วยตนเอง

เสียงฝีเท้าดังขึ้นจากด้านนอก ท่านชายสิบสามเงยหน้าขึ้นก็เห็นท่านชายโจวหกยืนอยู่ที่ประตู

แม้เขาจะพอจะคาดการณ์ความจริงไว้ก่อนแล้ว แต่พอได้เห็นกับตาเองจริงๆ ก็อดตกตะลึงไม่ได้

“ทำไมเจ้าถึงเพิ่งมาเยี่ยมข้าเอาป่านนี้” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ยพลางยิ้ม น้ำเสียงแฝงไปด้วยความตัดพ้อ

ท่านชายโจวหกไม่พูดอะไรเอาแต่จ้องมองเขาอยู่อย่างนั้น

ท่านชายฉินเผยยิ้มบาง ผายมือออกก่อนจะหมุนตัวไปรอบๆ

“เป็นอย่างไรบ้าง ดูเหมือนชายหนุ่มรูปงามบ้างหรือไม่ รู้สึกอิจฉาข้าบ้างหรือยัง” เขาเอ่ยพลางหัวเราะ

ท่านชายโจวหกที่หน้าตาบึ้งตึงก็หลุดหัวเราะออกมา ก่อนจะทำหน้าหงิกขึ้นมาอีกครั้ง

“นางเป็นอย่างไรบ้าง” ท่านชายฉินถาม

“ไม่รู้สิ” ท่านชายโจวตอบ

แม้จะไม่เอ่ยชื่อ แต่ก็รู้ว่านางที่เอ่ยถึงคือผู้ใด

นางไม่อยากพบเขา เขาก็ไม่มีหน้าไปพบนางหรอก

เขาเองก็ไม่รู้ว่าควรจะไปที่ใดดี ท่านพ่อท่านแม่และคนในบ้านต่างพากันดีใจ พูดถึงแต่เจียวเจียวร์ไม่หยุดปาก ใครจะรู้บางไหมว่ายามที่ได้ยินชื่อนี้ เขานั้นทุกข์ใจเพียงใด

ที่บ้านเขาเองยังดีใจกันเสียขนาดนั้น ก็อยากรู้เหมือนกันว่าบ้านตระกูลฉินจะเป็นเช่นไร

ท่านชายโจวหกใบหน้าเหยเก เขาสะบัดชายเสื้อแล้วนั่งลง

“เป็นแบบนี้อีกแล้ว” ท่านชายฉินเอ่ยพลางหัวเราะ ก่อนจะเยื้องย่างเข้ามาใกล้แล้วพูดขึ้นว่า “คราวก่อนที่นางบอกว่าจะไม่ยอมรักษาขาให้ข้าก็เพราะเจ้า ข้าต่างหากที่ควรร้อนใจ แต่กลับกลายเป็นว่าต้องมาปลอบใจเจ้า พอคราวนี้ขาข้ารักษาหายแล้ว ข้าที่ควรจะดีใจกลับกลายมาเป็นคนปลอบใจเจ้าอีกแล้ว ท่านชายโจวหก นี่เป็นเวรกรรมอะไรของข้าเนี่ย”

“ที่นางพูดแบบนั้นเพื่อรักษาเจ้า แต่จะบอกข้าก่อนสักคำไม่ได้เลยหรืออย่างไร” ท่านชายโจวหกไม่สนใจ บ่นเสียงฮึดฮัด

“เจ้าเป็นคนโผงผาง โกหกก็ไม่เก่ง ขืนบอกเจ้า เจ้าจะอดใจไม่บอกข้าได้หรือ อย่าว่าแต่เจ้าเลย แม้แต่พ่อแม่ของข้า ไม่ว่าเรื่องใดที่เกี่ยวกับข้า หากนางพูดออกไปแถมยังเป็นเรื่องน่ายินดีเช่นนี้อีก ใครก็คงทำตัวมีพิรุธกันทั้งนั้น ข้าฉลาดถึงเพียงนี้ พวกเขาปิดบังข้าไม่ได้หรอก” ท่านชายฉินเอ่ยพลางหัวเราะ

ท่านชายโจวหกส่งเสียงฮึดฮัดไม่พอใจ

“เจ้าฉลาดนักนี่ ถึงว่าล่ะถึงได้โดนยั่วโมโหจะเกือบตายไปแล้ว” เขาเอ่ย

ท่ายชายฉินสิบสามหัวเราะลั่น ก่อนจะค่อยเดินต่อไป

“คราวนี้ต้องขอบใจเจ้ามาก หากไม่มีเจ้าคอยพูดสอดพูดแทรกอยู่ข้างๆ ข้าก็คงไม่โมโหจนหน้ามืดไปเร็วขนาดนั้น”

“เจ้าหยุดเดินสักทีจะได้ไหม” ท่านชายโจวหกเอ่ย

“ไม่ได้” ท่านชายฉินเอ่ยพลางหัวเราะ “หลายวันมานี้ข้าไม่ทำอะไรเลยนอกจากเดิน ข้าจะเดินชดเชยสิบกว่าปีที่ผ่านมาให้หมดเลย”

ท่ายชายโจวหกเงียบไปครู่หนึ่ง

“นางพูดไม่ชัดเจนเอง ไม่ใช่ความผิดของข้า” เขาเอ่ยขึ้น ไม่รู้ว่าพูดให้ท่านชายฉินฟังหรือให้ตัวเองฟังกันแน่

“ใช่ เจ้าไม่ผิด ไม่มีใครบอกว่าเจ้าผิดนี่” ท่านชายฉินเอ่ยพลางยิ้ม ค่อยๆ ก้าวเดินอย่างระมัดระวังทีละก้าว เขาตั้งใจไม่สวมถุงเท้าแต่เดินด้วยเท้าเปล่า เพื่อให้ฝ่าเท้าได้สัมผัสกับพื้นผิวที่แท้จริง พอสัมผัสถึงอะไรบางอย่างบนพื้นก็ก้มหน้ามอง แล้วก็หัวเราะชอบใจ “เจ้าดูสิบนหลังเท้าข้ามีแต่รูเข็มเต็มไปหมด เฮ้อ ไม่รู้ว่านางทำอะไรกับข้าบ้าง”

พอสิ้นคำนั้น ท่านชายโจวหกก็ลุกพรวดขึ้นในทันที

“อะไรอะไร พวกเจ้าก็ดีไปเสียหมด อะไรอะไร พวกเจ้าก็ดีไปเสียหมด พวกเจ้าฉลาดกันหมด พวกเจ้าเข้าใจทุกอย่าง มีแต่ข้าที่เป็นคนโง่! คนโง่ที่น่าหัวเราะ! พวกเจ้าไม่ต้องฟังคำพูดของคนโง่เช่นข้าหรอก! คนโง่อย่างข้าไม่มีสิทธิ์พูดกับพวกเจ้าหรอก!” เขาตะโกนออกมา

ท่านชายฉินสิบสามมองเขาตาค้าง ท่าทางดูตกใจอยู่ไม่น้อย

“ที่จริงนางต่างหากที่พูดผิด ที่บอกว่า ‘ไม่รักษาให้เจ้า’ ข้ากับเจ้าไม่ได้เข้าใจผิด” ท่านชายโจวหกเอ่ย “พอรักษาเจ้าแล้วก็เลย…”

เขาพูดถึงเพียงเท่านั้นก็กลืนคำที่เหลือลงคอไป จากนั้นก็หันหลังวิ่งออกไปทันที

เจ้าหมอนี่! หาเรื่องใส่ตัวอีกแล้ว

ท่านชายฉินร้องตะโกนอยู่หลายทีแต่ท่านชายโจวหกวิ่งออกไปไกลแล้ว เขาเดินไปสองสามก้าวก่อนจะค้ำประตูไว้ไม่กล้าวิ่งตามไป

ขาเพิ่งจะหายดี เขาไม่กล้าประมาท เหม่อมองไปยังลานบ้าน

ใช่แล้ว เพิ่งจะหายดีเอง…

เช่นนั้นคงต้องไปขอคำแนะนำจากแม่นางเฉิงแล้วล่ะ ดูสิว่านางจะมีอะไรจะสั่งอีก

ไม่ใช่สิ ไม่ใช่สิ ไม่ได้ไปเพื่อให้นางสั่งอะไร แต่ไปขอบคุณนางต่างหาก

“ใครก็ได้ ใครก็ได้ เตรียมรถให้ที”

“ไม่สิ เตรียมม้าให้ที”

“ไม่สิ ไม่ต้องเตรียมม้า ข้าจะเดินไปเอง”

……………………………………