สุดท้ายท่านชายฉินก็ไม่ได้เดินไปเอง เขาถูกเกลี้ยกล่อมจนยอมใช้รถม้าไป แถมเพิ่งรู้ว่าท่านแม่ของตัวเองได้ล่วงหน้าไปก่อนแล้วด้วย
ฮูหยินเฉินส่งคนมาบอกข่าวว่าวันนี้เฉิงเจียวเหนียงรับแขกแล้ว
ฮูหยินฉินมาถึงบ้านตระกูลเฉิน พอได้เจอหน้าฮูหยินเฉิน ทั้งสองยังไม่ทันได้พูดคุยกันก็เอาแต่ร้องไห้
“พอแล้ว พอแล้ว นี่เป็นเรื่องน่ายินดี อย่าร้องไห้เลย” ฮูหยินเฉินเช็ดน้ำตา “ยังดีที่เจ้าไม่ผูกใจเจ็บ พระโพธิสัตว์ส่องทางสว่างให้”
ฮูหยินฉินร้องไห้หนักขึ้นเรื่อยๆ
“สิบสี่ปีเชียวนะ ท่านพี่ สิบสี่ปี…” นางเอ่ยสะอื้น ย้ำคำเดิมซ้ำไปซ้ำมา
ฮูหยินเฉินเองก็กลั้นน้ำตาไม่อยู่ สองคนร้องไห้กอดกันกลม
เหล่าแม่นมให้ห้องก็พากันร้องไห้ตาม ปลอบกันไปปลอบกันมาสักพักก็ดีขึ้น เหล่าสาวใช้พากันยกอ่างสำริด ผ้าเช็ดมือ และเครื่องประทินโฉมเข้ามา
“แต่ว่า” ฮูหยินฉินหน้าแดงก่ำมองฮูหยินเฉิน ก่อนจะเอ่ยออกมา
ฮูหยินเฉินนิ่งไปครู่หนึ่ง นางเหม่อลอยลูบปลายผมไปมา แต่พอได้สติก็หัวเราะออกมา
“ข้ารู้อยู่แล้วว่าเรื่องของพวกเจ้าต้องจบลงด้วยดี” นางเอ่ย
“หากจบลงไม่ดีเล่า” ฮูหยินฉินเอ่ยพลางปักปิ่นรูปแมลงปอเกาะดอกไม้บนผม
“แม่นางเฉิงไม่ใช่คนเช่นนั้น” ฮูหยินเฉินเอ่ย “นางเป็นคนกตัญญูรู้คุณคน มีจิตใจเมตตา”
ฮูหยินฉินมองหน้านาง พลางควักขี้ผึ้งสีแดงชาดในตลับดินเผาสีครามขึ้นมาทาปาก
“แต่มีอย่างหนึ่งที่ข้ารู้ ในใจของเจ้า ข้าสู้นางไม่ได้เลย” นางเอ่ย
“เจ้าอายุเท่าไหร่แล้ว ยังจะมาหวงเพื่อนเป็นเด็กๆ ไปได้” ฮูหยินเฉินเอ่ยพลางหัวเราะ
“ในที่สุดวันนี้ข้าก็จะได้เจอเสียที คนที่ขโมยหัวใจเจ้าไปจากข้า แถมยังเป็นคนปากร้ายเสียจนชายสิบสามโมโหจนลมจับ จะเป็นคนพูดเก่งสักแค่ไหนกันเชียว” ฮูหยินฉินเอ่ยพลางหัวเราะแล้วลุกขึ้นยืน
ฮูหยินเฉินส่ายหน้า
“เจ้าคิดผิดแล้วล่ะ นางเป็นคนไม่ชอบพูดที่สุดเลย” นางเอ่ยพลางยิ้มก่อนจะลุกขึ้นตาม
ฮูหยินฉินเหลือบตามองนาง บ่งบอกว่าไม่เชื่อคำที่นางพูดหรอก
พอได้ยินว่าฮูหยินเฉินมา สาวใช้จึงออกไปต้อนรับด้วยตนเอง
“นายหญิงรู้แล้วว่าฮูหยินจะมาวันนี้ ก็เลยสั่งให้พวกข้ามาต้อนรับเจ้าค่ะ แต่ตอนนี้นางยังหลับอยู่
ฮูหยินโปรดรอสักครู่นะเจ้าคะ” สาวใช้เอ่ยพลางเชิญทั้งสองคนให้เข้ามานั่งในห้องโถง
“เหนื่อยแย่เลยสินะ” ฮูหยินเฉินถามอย่างเป็นห่วง
ตอนที่นางมารักษานายใหญ่เฉินที่เรือน ฮูหยินเฉินก็คุ้นเคยกับกิจวัตรของเฉิงเจียวเหนียงเป็นอย่างดี
สาวใช้พยักหน้าถี่ๆ สายตามองไปที่ฮูหยินฉิน
“ฮูหยินมาจากค่ารักษาใช่ไหมเจ้าคะ” นางเอ่ยขึ้น
ฮูหยินฉินหัวเราะพลางโบกมือไปมา
แม่นมรีบดันกล่องใบเล็กใบหนึ่งมาให้ในทันที
“ข้าพอจะเคยได้ยินกฎของแม่นางมาบ้าง สองหมื่นก้วนสำหรับค่าชุบชีวิตคน” ฮูหยินฉินเอ่ย
สาวใช้ยื่นมือมารับแล้วเปิดดู สีหน้าดูตกตะลึงไม่น้อย
“อีกสองหมื่นก้วนสำหรับค่ารักษาขา” ฮูหยินฉินเอ่ยพลางหัวเราะ
สาวใช้คำนับขอบคุณ ก่อนจะเก็บกล่องใบเล็กไป
ขณะที่ปั้นฉินกำลังยกน้ำชาเข้ามา เสียงฝีเท้าจากในห้องก็ดังขึ้น
“นายหญิงตื่นแล้วเจ้าค่ะ” สาวใช้เอ่ยพลางลุกยืนขึ้น ก่อนจะรีบร้อนเดินเข้าไป
ฮูหยินฉินเงยหน้าขึ้นมอง ทว่าหลังม่านไม่มีผู้ใดเดินออกมา มีแต่เพียงเงาเลือนรางของหญิงสาวผู้หนึ่ง
“ฮูหยินโปรดรอสักครู่ ขอเวลาข้าหวีผมรับแขก”
น้ำเสียงแหบพร่าของหญิงสาวดังขึ้น
“ไม่ต้องเกรงใจ” ฮูหยินเฉินเอ่ยพลางยิ้ม
ภายในห้องเงียบสงัด ได้ยินเพียงเสียงของเสื้อผ้าที่เสียดสีกันไปมา
ฮูหยินเฉินกระซิบบอกให้นางดื่มชา
ฮูหยินฉินยกชาขึ้นดื่มด้วยความประหม่า ก่อนจะส่งเสียงร้องออกมาด้วยความประหลาดใจ
“ชานี้ดียิ่งนัก” นางเอ่ย “เพียงแต่รสอ่อนไปนิดหน่อย”
ฮูหยินเฉินก็ไม่ได้มาที่นี่บ่อยนัก ได้ยินดังนั้นก็รีบดื่มตาม
“เปลี่ยนชาใหม่หรือ” นางถามปั้นฉินที่อยู่ข้างๆ
“เจ้าค่ะ ที่บ้านปลูกต้นชา นายหญิงเพิ่งทำเองเมื่อไม่กี่วันก่อน” ปั้นฉินเอ่ย
“แม่นางช่างมากความสามารถนัก” ฮูหยินฉินเอ่ย
ขณะที่กำลังพูดคุยเล่นกันอยู่นั้น ผ้าม่านก็ถูกเปิดออก ฮูหยินฉินเงยหน้าขึ้นมอง สิ่งแรกที่เห็นคือใบหน้าซีดขาวที่ไร้อารมณ์ จนนางเองก็ตกใจอย่างห้ามไม่ได้
“เจียวเหนียง” ฮูหยินเฉินกวักมือเรียกพลางชี้ไปที่ฮูหยินฉิน “นี่คือฮูหยินของตระกูลฉิน ท่านแม่ของชายสิบสาม”
ฮูหยินฉินมองหน้านาง นางเองก็มองหน้าฉินฮูหยิน
หากมองดูให้ดีจะเห็นว่าสันจมูกของนางเชิดรั้นขึ้น ใบหน้าสมส่วน จัดว่าเป็นหญิงงาม เพียงแต่ใบหน้านั้นเรียบเฉย มองดูได้อารมณ์ ทำให้คนไม่กล้าตีสนิทชิดเชื้อหรือเข้าใกล้
“ฮูหยินฉินมาจ่ายค่ารักษาเจ้าค่ะ” สาวใช้กระซิบบอก
คำพูดนั้นเรียกสติของฮูหยินฉินที่กำลังเหม่อลอย นางละสายกลับมา ก่อนจะจัดท่านั่ง แล้วคำนับอย่างนอบน้อม
“ขอบพระคุณแม่นางที่ช่วยชีวิต” นางเอ่ย
หญิงสาวตรงหน้าไม่มีท่าทีหวาดกลัวหรือตื่นตระหนก นางนั่งลงพร้อมคำนับกลับอย่างสงบนิ่ง แต่ก็ไม่พูดอะไร
“เรื่องคราวนี้ทำพวกข้าตกใจนัก จนเผลอเอ่ยคำพูดและแสดงกิริยาไม่เหมาะสม” ฮูหยินฉินพูดต่อ “หากได้ล่วงเกินเรื่องใดไป ขอแม่นางโปรดอภัยให้ด้วย”
“ไม่ได้ล่วงเกินหรอก” เฉิงเจียวเหนียงตอบ
ฮูหยินฉินนิ่งไปครู่หนึ่ง พอเห็นว่าหญิงสาวไม่มีทีท่าว่าจะพูดต่อ นางจึงเริ่มพูดเอง
“แม่นางมีวิชาเทพเซียนแท้ๆ สามารถรักษาชายสิบสามของข้าได้จริง ข้าไปหาหมอมาไม่รู้กี่ที่แต่ก็ไม่มีผู้ใดรักษาได้ ข้าคิดว่าชาตินี้คงไม่มีหวังเสียแล้ว” นางเอ่ยอย่างกลั้นน้ำตาไม่อยู่ “แม่นาง พวกเราไม่รู้ว่าจะขอบคุณแม่นางเช่นไรดี”
“แค่ค่ารักษาก็พอแล้ว” เฉิงเจียวเหนียงตอบ
นางพูดเพียงแค่นี้จริงๆ หรือ
ฮูหยินฉินเช็ดน้ำตา มองสีหน้าไร้อารมณ์ตรงหน้า ตั้งแต่เข้ามานางก็เอ่ยไม่ถึงสิบคำด้วยซ้ำ
แต่ทุกคำล้วนเป็นคำพูดที่แสนมีเมตตา จนนางไม่รู้ว่าจะตอบกลับเช่นไรดี
ความจริงแล้วนางตื่นเต้นมาก คำขอบคุณที่เพาะบ่มมานานหลายคืนวัน แต่พอได้พบหน้าหญิง
ผู้นี้เข้าจริง จู่ๆ ก็เหมือนพูดไม่ออกเสียอย่างนั้น
หญิงสาวยังคงนั่งหน้านิ่งอยู่ดังเดิม พอเห็นเช่นนั้นก็ทำให้รู้สึกประหม่าขึ้นมาเป็นเท่าตัว
บ้าไปแล้วจริงๆ นางเป็นลูกสาวตระกูลใด เป็นสะใภ้บ้านไหน แต่ไหนแต่ไรมามีแต่ผู้อื่นที่ตื่นกลัวจนทำอะไรไม่ถูกยามพบหน้านาง แต่เหตุใดนางถึงมีความคิดแปลกๆ ผุดขึ้นมา ยามอยู่ต่อหน้าเด็กสาวอายุคราวลูกนางเช่นนี้
อาจเป็นเพราะความรู้สึกขอบคุณในใจกระมัง
นางเคยพูดไว้ว่า หากชาตินี้ผู้ใดรักษาขาของชายสิบสามได้ นางจะกราบไหว้บูชาดั่งพระโพธิสัตว์ไปตลอดชีวิต!
ยามอยู่ต่อหน้าเทพเซียน เพราะแรงศรัทธาจึงประหม่า ก็เป็นเรื่องปกติมิใช่หรือ ไม่เห็นมีอะไรน่าอาย
“แม่นางยังเคืองที่คืนก่อนพวกข้าล่วงเกินแม่นางหรือ” นางถามออกไปตรงๆ
“เปล่า” เฉิงเจียวเหนียงส่ายหน้า “เป็นธรรมดาของมนุษย์ มิใช่เรื่องแปลก”
“ข้าบอกแล้วว่าเจ้าคิดมากไปเอง” ฮูหยินเฉินเอ่ยพลางหัวเราะ ก่อนจะหันไปหาเฉิงเจียวเหนียง “วันนี้นอกจากจะมาขอบคุณแล้ว อยากจะมาขอคำแนะนำว่าชายสิบสามต้องระมัดระวังเรื่องใดบ้าง”
“กินยาขวดนั้นให้หมดก็พอแล้ว” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
“แค่นั้นหรือ” ฮูหยินฉินถาม สีหน้าดูตกใจไม่น้อย “แต่ขาเขาพิการมาสิบกว่าปี…”
“ที่จริงไม่ได้เจ็บป่วยร้ายแรงอะไร เพียงแต่จิตใจหม่นหมองมานานหลายปี ยามนี้ได้ระบายออกมาแล้ว แค่ปรับธาตุ บำรุงอีกสักหน่อย ก็ไม่มีปัญหาแล้ว” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
จิตใจหม่นหมองอย่างนั้นรึ
“ชายสิบสามของข้าร่าเริงแจ่มใส จะจิตใจหม่นหมองได้อย่างไร” ฮูหยินฉินรีบเอ่ยขึ้น
“ของแบบนั้นดูด้วยตาได้หรือ” เฉิงเจียวเหนียงถาม
ฮูหยินฉินชะงักไปครู่หนึ่ง นั่นสินะ ของแบบนั้นจะดูออกด้วยตาเปล่าได้เช่นไร…
อย่างนี้นี่เอง เพราะเจ็บปวดถึงได้ระบายออกมา หากไม่เจ็บ ก็คงไม่ระบายออกมา
ทั้งห้องเงียบสงัด
ราวกับไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยคำใดออกไปดี
จะพูดเรื่องป่วยก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว จะคุยเล่นเรื่อยเปื่อย ดูจากสีหน้าของแม่นางก็คงจะไม่มีอารมณ์คุยนัก…
“เช่นนั้นแม่นางพักผ่อนเถิด พวกเราขอตัวลา” ฮูหยินเฉินตัดสินใจลุกขึ้นพร้อมเอ่ยลา
นางเองก็ไม่ได้รั้งไว้ ฮูหยินฉินจึงจำใจลุกขึ้นพร้อมบอกลา
พอขึ้นมานั่งบนรถ ฮูหยินฉินก็ยกมือขึ้นทุบอกอย่างห้ามไม่ได้
“แม่นางเฉิงผู้นี้ช่าง…น่าสนใจดีแท้” นางเอ่ย
ฮูหยินเฉินเม้มปากยิ้ม
“มีอะไรก็พูดมาตรงๆ แม้ข้าจะอยู่ข้างนาง แต่ก็ใช่ว่าจะฟังคำว่าร้ายจากปากเจ้าไม่ได้” นางเอ่ย
ฮูหยินฉินหลุดหัวเราะออกมา ก่อนจะยกม่านขึ้นแล้วมองไปที่ประตูเรือน
“ประหลาดดีแท้ แต่ชายสิบสามกลับบอกว่าดี” นางเอ่ย
“ชายสิบสามของเจ้าก็ประหลาดเหมือนกัน” ฮูหยินเฉินเอ่ยพลางหัวเราะ
ฮูหยินฉินมองไปด้านนอกแล้วเม้มปากคลี่ยิ้มออกมา
“เช่นนั้นคนประหลาดกับคนประหลาดก็เหมาะสมกันดีไม่ใช่หรือ” นางเอ่ย
“เจ้าอย่าคิดไปไกล ข้าบอกเจ้าแล้วไม่ใช่หรือ หากเจ้าต้องการรักษาขาของชายสิบสาม ก็อย่าได้คิดเรื่องอื่น” ฮูหยินเฉินเอ่ยพลางยิ้ม
“แม่นางเฉิงมีกฎในการรักษาคนป่วย”
“ข้ารู้น่า ต้องมาหาเองถึงที่ ไม่ถึงตายไม่รักษาให้” ฮูหยินฉินตอบ
“ยังมีอีกข้อ” ฮูหยินเฉินเอ่ย “ไม่แต่งงานกับตระกูลที่เคยรักษาให้”
ฮูหยินฉินหันควับกลับมามองนางอย่างตกตะลึง
“ไม่แต่งงานกับตระกูลที่เคยรักษาให้อย่างนั้นหรือ เจ้าพูดเองหรือเปล่า” นางถาม
“นางเป็นคนพูดเอง” ฮูหยินเฉินพูด
ฮูหยินฉินมองนางแต่ไม่พูดอะไรออกไป
“พอได้แล้ว ข้าพูดจริง เขาเคยลองถามเองแล้ว นางทำเสียข้าพูดไม่ออกอยู่เหมือนกัน” ฮูหยินเฉินเอื้อมมือออกไปตบบ่านาง ก่อนจะเอ่ยพลางยิ้ม
ฮูหยินฉินพยักหน้ายอมรับ ก่อนจะมองออกไปข้างนอกอีกครั้ง
“เช่นนั้น เจ้าลูกชายจอมโง่ของข้า ก็อดแล้วน่ะสิ” นางเอ่ย
ฮูหยินเฉินมองตามออกไปข้างนอก ก็เห็นท่านชายฉินสิบสามยืนอยู่หน้าประตูเรือนของเฉิงเจียวเหนียง
ภายใต้แสงอาทิตย์ ใบหน้าของชายหนุ่มยิ้มแย้มสดใส ดวงตาเป็นประกาย มีความหวัง มีความตื่นเต้น มีความฮึกเหิม ทั้งยังมีความสุขใจแผ่ซ่านออกมา
“เจ้าดูสิ เจ้าดูสิ”
เขาก้าวเข้าประตูไป ยืนนิ่งอยู่กลางลานบ้าน ผลักบ่าวรับใช้ที่คอยพยุงให้ถอยห่าง ก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
เฉิงเจียวเหนียงหันมองมาจากระเบียง
“เจ้าดูสิ” ท่านชายฉินมองนางแล้วยิ้ม เขากางแขนออกแล้วหมุนตัวช้าๆ “ถึงแม้แม่นางจะรู้อยู่แล้วว่าผลเป็นอย่างไร แต่ข้าก็อยากจะให้เจ้าเห็นกับตาด้วยตัวเองเป็นครั้งแรก เจ้าดูสิ ดูความสำเร็จของเจ้า”
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้าแล้วขานรับ
“เรื่องชายหก เจ้าอย่าได้ถือโทษเขาเลย” ท่านชายฉินเดินเข้ามาใกล้แล้วเอ่ยขึ้น
เฉิงเจียวเหนียงมองหน้า
“ข้าผิดไปแล้ว ข้าผิดไปแล้ว” ท่านฉินหัวเราะขึ้นมาในทันใดพร้อมโบกมือไปมา “ขาข้าหายดีแล้ว แต่สมองกลับใช้การไม่ได้เสียอย่างนั้น ข้าก็พูดไปเรื่อย แม่นางจะไปโทษเขาได้อย่างไร ข้ากังวลไปเองทั้งนั้น”
หญิงสาวที่อยู่เบื้องหน้ายังคงนิ่งเงียบ
ท่านชายฉินสิบสามไม่รู้จะพูดอะไรต่อเหมือนกัน ทว่ารู้สึกเหมือนบางอย่างเปลี่ยนไป…
“ข้าเองก็ไม่รู้ว่าแม่นางทำไปเพื่อรักษาข้า แต่ความจริงแม่นางก็พูดถูก ข้าเสแสร้งเก่งนัก ทั้งๆ ที่กังวลเรื่องขาของตัวเองขนาดนั้นแท้ๆ ทั้งที่ๆ กังวลว่าคนอื่นจะมองอย่างไร แต่กลับแสร้งทำเป็นไม่สนใจ” เขาเอ่ยพลางหัวเราะ ก่อนจะค่อยๆ ก้าวเดินเข้ามาใกล้ “เสแสร้งจนลืมไปแล้วว่าตัวเองเป็นใคร”
“เป็นธรรมดาของมนุษย์ ไม่ใช่เรื่องแปลก” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
พอได้ยินคำพูดติดตลกของนาง ท่านชายโจวหกก็ยิ้มกว้างยิ่งขึ้น
“พอข้าฟื้นขึ้นมาก็คิดได้ในทันที ข้าเข้าใจทุกอย่างแล้ว” เขาเอ่ยขึ้น ยิ้มแล้วเดินเข้ามาอีกก้าว “วันนี้ข้าหายดีแล้ว แม่นางอยากได้อะไรอีกไหม เจ้าชอบชานี่ นอกจากชาวัดผู่ซิวแล้ว ข้าก็พอจะรู้ว่าที่ใดมีต้นชาดีๆ อยู่บ้าง…”
“ชาในเมืองหลวง ก็เหมือนกันทั้งนั้น” เฉิงเจียวเหนียงส่ายหน้า “แค่อย่างเดียวก็พอแล้ว”
“ก็ไม่แน่นะ” ท่านชายฉินสิบสามส่ายหน้า “แม้จะเป็นเมืองหลวงเหมือนกัน แต่ทางเหนือกับทางใต้นั้นแตกต่างกัน ข้าจะพาแม่นางไปดูเอง”
“ไม่ต้องหรอก” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
ท่านชายฉินสิบสามขานตอบก่อนจะหันมายิ้มให้
“แล้วข้ามีเรื่องอะไรต้องระวังอีกไหม เช่นอาหารการกิน ต้องเดินเยอะๆ หรือว่าค่อยเป็นค่อยไป” เขาถาม
“ไม่มี” เฉิงเจียวเหนียงตอบ “เป็นเหมือนคนปกติก็พอ”
ท่านชายฉินขานรับอีกครั้ง เขายิ้มแล้วเอื้อมมือลงไปตบขาของตัวเอง
“ยังไม่ค่อยชินสักเท่าไหร่” เขาเอ่ย
เฉิงเจียวเหนียงขานตอบแต่ไม่ได้พูดอะไร
ลานบ้านเงียบสงัดลงอีกครั้ง
“เช่นนั้น หากแม่นางไม่มีเรื่องอะไรเพิ่มเติม ข้าก็ไม่รบกวนแล้ว” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ย
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้าคำนับให้
ท่านชายฉินสิบสามคำนับกลับ ก่อนจะนิ่งไปครู่หนึ่ง บ่าวรับใช้เข้ามาพยุงกันก่อนจะหันหลังกลับเดินออกไป ทว่าเดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าวก็เหลียวกลับมามอง
หญิงสาวยังคงนั่งนิ่งอยู่ที่ระเบียง
“แม่นางเฉิง ก่อนหน้านี้ที่เจ้ากับข้าได้รู้จักกัน แล้วก็คำเหล่านั้นที่เจ้าพูดกับข้า คำพูดมากมายเหล่านั้น ทำไปเพียงเพื่อรักษาข้าอย่างนั้นหรือ” ท่านชายฉินสิบสามถาม
เฉิงเจียวเหนียงมองหน้าเขา
“ก็ใช่น่ะสิ” นางเอ่ยตอบ
……………………………………….