ก็ใช่น่ะสิ
เดิมทีนางเป็นคนพูดน้อย ทว่าช่วงนี้ในใจของท่านชายฉินสิบสามเอาแต่คิดเรื่องของตัวเอง
จึงไม่ได้สังเกตว่านางแปลกไป แต่ที่จริงแล้วนางไม่ได้เปลี่ยนไป
อันที่จริงคนที่เปลี่ยนไปคือเขาเอง ท่านชายฉินสิบสามผู้นี้ ไม่ใช่เฉิงเจียวเหนียง
“เช่นนั้นแล้วแม่นางตั้งใจจะให้ข้ายอมรับตัวเองอย่างนั้นหรือ” เขาถาม
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้ารับ
“หากเจ้าไม่ยอมรับว่าเจ้าขาเป๋ ไม่เหมือนกับคนทั่วไป ไม่ยอมรับว่าตัวเองป่วย แล้วข้าจะรักษาเจ้าได้อย่างไร” นางถาม
ท่านชายฉินยิ้มก่อนจะคำนับให้เฉิงเจียวเหนียงอีกครั้ง
“ขอบคุณแม่นางที่ลำบาก” เขาเอ่ย
หญิงสาวตรงหน้าคำนับให้เขาแต่ไม่ได้พูดอะไร
ท่านชายฉินสิบสามพยักหน้า ก่อนจะหันหลังกลับแล้วค่อยๆ เดินออกไป ประตูด้านหลังคงปิดอยู่อย่างไม่ต้องสงสัย
ท่านชายฉินสิบสามหยุดลงก่อนจะเหลียวกลับมาอีกครั้ง
“เจ้าดูสิ คุยกันแค่คำสองคำก็โดนไล่ออกมาแล้ว ไม่ได้พูดจาหว่านเสน่ห์ลูกชายเจ้าไปวันๆ อย่างที่เจ้าพูดเสียหน่อย” ฮูหยินเฉินปล่อยม่านลงก่อนจะเอ่ยขึ้น
“เฮ้อ เจ้าดู ทำหน้าจะร้องไห้แล้ว” ฮูหยินฉินกดเสียงให้เบาลง ในน้ำเสียงแฝงความหยอกล้อ
ฮูหยินเฉินยกมือขึ้นฟาดนาง
“ร้องไห้ที่ไหนกัน มีผู้ใดเป็นแบบเจ้าบ้าง เห็นลูกชายทุกข์ใจตัวเองกลับดีใจเสียอย่างนั้น” นางเอ่ยเหน็บพลางมองออกไปด้านนอก แต่แล้วก็ถอนหายใจออกมาอย่างอดไม่ได้อีกครั้ง “หากพูดเรื่องทุกข์ใจ ชายสิบหกบ้านข้าคงทุกข์ใจกว่า แม้แต่เบ็ดยังไม่ทันได้เหวี่ยงลงน้ำเลย”
ฮูหยินฉินผลักนางไปมา
“ไปได้แล้ว ไปได้แล้ว พวกเราไปทักทายชายสิบสามเสียหน่อย” นายเอ่ยพลางหัวเราะ
ฮูหยินเฉินรีบรั้งนางไว้
“เจ้าพอได้หรือยัง เหตุใดถึงต้องไปเจอลูกยามเขาเป็นทุกข์เช่นนั้น” นางเอ่ยตำหนิพลางสั่งคนรถ “ออกรถ ออกรถ”
“วางใจน่า ชายสิบสามของข้า ข้ารู้จักเขาดี เขาไม่ใช่คนคิดมากเช่นนั้น” ฮูหยินฉินเอ่ยพลางหัวเราะ
“ไม่ใช่คนคิดมากหรือ…” ฮูหยินเฉินเม้มปากยิ้ม “แต่โมโหจนเกือบตายเพราะคำพูดไม่กี่คำสินะ”
“นั่นเป็นเพราะเขากินยาของนางต่างหาก” ฮูหยินฉินยังคงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะหลุดขำออกมาพลางยกพัดขึ้นมาป้องปาก “แต่ว่า หากแม่นางผู้นี้อยากจะพูดให้คนออกแตกตายคงมิใช่เรื่องยาก”
รถม้าเคลื่อนตัวออกไป ผ้าม่านพลิ้วไหวไปตามสายลม ก็เห็นว่าท่านชายฉินสิบสามก็ขึ้นรถม้าไปแล้วเช่นกัน
“ชายสิบสามของข้ารู้แจ้งแก่ใจแล้ว ไม่เก็บเอาเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้มาปวดหัวหรอก” นางเอ่ย “เขาไม่กลัวหรอกว่าใครจะเห็นเขาเป็นทุกข์”
ยิ่งไปกว่านั้น ยามนี้ชายสิบสามของนาง ไม่ต้องมีชีวิตที่จืดชืดอีกต่อไป สีสันแห่งชีวิตอีกมากมายกำลังรอให้เขาได้ลองลิ้มรส
แต่ก่อนตอนขาพิการยังใช้ชีวิตได้อย่างอิสระเสรีขนาดนั้น ยามนี้จะมีอะไรต้องกังวลใจอีก
ต้นเดือนเจ็ด ค่ำคืนยามฤดูร้อนยังคงอบอ้าวเหมือนเช่นเคย หอเต๋อเซิ่งในยามราตรี ราวกับสวรรค์ในแดนมนุษย์ เสียงผู้คนคึกครื้นก้องกังวาลไปทั่ว แสงไฟสว่างไสว
บนสะพานเต็มไปด้วยเหล่าสาวนางโลมร่างบางแต่งกายสีสันสดใส ส่วนตีนสะพานนั้นเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะครื้นเครงของเหล่าชายหนุ่ม
ท่ามกลางความคึกครื้น ทันใดนั้นเสียงโห่ร้องก็ดังขึ้น
“แม่นางจูมาแล้ว!”
ท่านชายหวังสิบเจ็ดที่นั่งอยู่ในห้องโถงก็ลุกยืนขึ้นตามเสียงตะโกนนั้น เบียดเสียดแทรกตัวท่ามกลางฝูงชนไปยังแถวหน้าสุด
ท่านชายเฉิงสี่ถูกทิ้งให้อยู่ด้านหลัง เขาพยายามวิ่งตามไป ทว่าไม่นานก็ถูกฝูงชนผลักซ้ายผลักขวาจนแทบยืนไม่มั่น
บนสะพาน สาวใช้สองคนเดินตามหญิงสาวผู้หนึ่งไม่ห่างกาย สายตามองตรงไปข้างหน้า ทว่ากลับเรียกเสียงโห่ร้องของฝูงชนด้านล่างได้อย่างล้นหลาม
ไม่นานหญิงงามก็เดินจากสะพานแล้วหายเข้าไปในตัวอาคาร ผู้คนด้านล่างสะพานยังคงยืนอยู่ที่เดิมไม่ยอมแยกย้ายกันออกไป
ท่านชายหวังสิบเจ็ดก็ยังไม่ยอมเดินกลับมา เขาก้มหน้ามองหารองเท้าของตัวเอง
ท่านชายเฉิงสี่อารมณ์ไม่ดีนัก ชายหนุ่มคว้ารองเท้าที่ถูกฝูงชนเหยียบจนเละปาใส่เขา
“เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่!” เขาเอ่ยอย่างเกรี้ยวกราด “เหตุใดท่านลุงท่านป้าถึงปล่อยให้เจ้ามาที่นี่ได้”
ท่านชายหวังสิบเจ็ดนั่งลงพลางสวมรองเท้า
“ข้าบอกให้เจ้าไปก่อนก็ไม่ยอมไป มายุ่งเรื่องของข้าทำไมเล่า” เขาเอ่ย “ท่านพ่อท่านแม่จะปล่อยให้ข้ามาได้อย่างไรก็ช่าง เจ้าต่างหากมาทำอะไรที่นี่ อย่าให้ข้าเอาไปบอกท่านป้าล่ะ!”
คนร้ายชิงร้องทุกข์ก่อนอย่างนั้นหรือ!
ท่านชายเฉิงสี่นั่งลงข้างกายเขา
“ไม่ให้ข้ายุ่งเรื่องของเจ้า แล้วจะให้ข้ายุ่งเรื่องของใคร” เขาเอ่ยเสียงตะกุกตะกัก “เจ้า ไม่ใช่ว่าเจ้ามารับน้องสาวหรือ เจ้าดูสิ ตอนนี้เจ้าทำอะไรอยู่”
“ข้าไม่ได้ลืมน่า!” ท่านชายหวังสิบเจ็ดเอ่ยพลางยกเหยือกเหล้าขึ้นมารินเหล้า “ข้าขอได้เห็นแม่นางจูสักครั้งก็จะไปแล้ว”
ท่านชายเฉิงสี่ได้แต่โมโหแต่ก็ไม่รู้จะทำเช่นไร
“เจ้าก็เป็นเสียแบบนี้ วันหน้าจะดูแลน้องสาวข้าได้หรือ” เขาเอ่ย
“แน่นอนอยู่แล้ว” ท่านชายหวังสิบเจ็ดถลึงตาตอบ พลางโบกมือไปมาอย่างรำคาญ “อย่าพูดมากน่า รีบเอาเงินมาให้ข้ายืมเร็ว”
“เจ้าใช้เงินหมดแล้วหรือ” ท่านชายเฉิงสี่ร้องตะโกนอย่างตกใจ
คนรอบข้างหันมามองตามต้นเสียง
“เด็กน้อยเอ๋ย” ชายหนุ่มผู้หนึ่งดวงตาหยาดเยิ้มเพราะความเมา เขาหัวเราะก่อนจะยกเหยือกเหล้าขึ้นแล้วพูดว่า “นี่คือถุงเงิน เงินที่อยู่ในนี้ไม่ได้เรียกว่าเงิน… หากใช้หมดแล้ว จะเสียดายทำไม หากใช้ไม่หมดสิ น่าเสียดายยิ่งกว่า ”
ชายหนุ่มผู้นั้นมีลูกน้องที่ตามด้วยอีกหลายคน ทุกคนล้วนแต่ผัดแป้งขาวหวีผมมันวับ พวกเขาหัวเราะเฮฮาพลางป้อนถั่วเข้าปากให้ชายหนุ่มผู้นั้น แถมยังยักคิ้วหลิ่วตามาทางท่านชายเฉิงสี่อีกต่างหาก
ท่านชายเฉิงสี่รู้ขยะแขยง รีบเขยิบเข้าไปใกล้ท่านชายหวังสิบเจ็ด
“เจ้าบ้าไปแล้วหรือ เขาเอาซื้ออะไรหมด” เขากดเสียงให้เบาลง
“ก็ไม่ได้ซื้ออะไรมากมาย ก็แค่เลือกของที่หายากสักหน่อยมอบเป็นของกำนัลให้แก่แม่นางจูก็เท่านั้น ต้องโทษที่เมืองหลวงของแพงนัก” ท่านชายหวังสิบเจ็ดเอ่ยพลางเร่งเร้าเขา “รีบเอาเงินมาให้ข้าเร็ว อีกนานกว่าบ้านข้าจะส่งเงินมาอีก”
“เงินข้าไม่พอให้เจ้ายืมหรอก” ท่านชายเฉิงสี่เอ่ย
“นั่นสินะ” ท่านชายหวังสิบเจ็ดลูบคางไปมา “แม่นางจูอยู่เมืองหลวง จะมีของหายากอะไรที่นางไม่เคยเห็นกันนะ… แม่นางจูผู้นี้เป็นลูกสาวจากตระกูลขุนนาง ดีดฉิน เล่นหมากรุก เขียนอักษร หรือวาดภาพก็ทำเป็นทั้งนั้น…”
พูดถึงตรงนี้เขาก็คิดอะไรออกบางอย่าง ก่อนจะตบหลังท่านชายเฉิงสี่
“เจ้าแต่งกลอนเก่งไม่ใช่หรือ รีบแต่งให้ข้ามาสักบทเร็วเข้า” เขาเอ่ย “หากแม่นางจูถูกใจขึ้นมา ข้าอาจจะได้พบหน้านางก็ได้”
“บทกลอนใช้ถ่ายทอดความรู้สึก จะเอามาแต่งเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร” ท่านชายเฉิงสี่เอ่ยอย่างกระอักกระอ่วน
อย่าว่าแต่แต่งกลอนตรงนี้เลย เด็กหนุ่มเช่นพวกเขาเข้ามาให้หอนางโลมแบบนี้ หากที่บ้านรู้เข้าคงถูกเฆี่ยนจนขาหัก
ทว่าคราวนี้ไม่นับก็แล้วกัน เพราะเขาเข้ามาเพื่อตามท่านชายหวังสิบเจ็ด
“เหลวไหลน่า ความรู้สึกเทิดทูนที่ข้ามีต่อแม่นางจู ไม่เรียกว่าความรู้สึกหรือ” ท่านชายหวังสิบเจ็ดเอ่ย “เร็วเข้า เร็วเข้า”
ท่านชายเฉิงสี่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง
“หากเจ้าได้พบหน้านางก็จะไปเลยใช่หรือไม่” เขาถาม
“ไม่ไปแล้วจะให้ข้าอยู่ที่นี่หรือ นางมิใช่โสเภณีเสียหน่อย” ท่านชายหวังสิบเจ็ดพูด
แน่นอนว่านางโลมของกองสังคีตมีกฎว่าห้ามค้างคืน ทว่าก็เป็นแค่กฎที่พูดกันปากเปล่าเท่านั้น หากจะค้างคืนเข้าจริงก็ไม่มีใครสนใจ ต้องดูว่าตัวเองมีดีพอให้แม่นางทั้งหลายยอมค้างคืนด้วยหรือเปล่าต่างหาก
ท่านชายหวังสิบเจ็ดรู้กฎข้อนี้ดี
“เช่นนั้นวันหน้าเจ้าต้องดูแลน้องสาวข้าให้ดี” เขาเอ่ยย้ำ
ท่านชายหวังสิบเจ็ดหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้
“ดูไม่ออกเลยนะ ว่าเจ้าจะเป็นห่วงน้องสาวสติไม่สมประกอบของเจ้าขนาดนี้” เขาเอ่ยพลางหัวเราะ
“ข้าแค่สงสารนาง ข้าก็ไม่ได้ขออะไรมากมาย ขอแค่นางอยู่อย่างสงบสุขไปตลอดชีวิตก็พอ” ท่านชายเฉิงสี่เอ่ย
ท่านชายหวังสิบเจ็ดตบบ่าเขา
“ไม่มีปัญหา ข้ารับปากเจ้า” เขาเอ่ย “หากเจ้าช่วยให้ข้าได้พบแม่นางจู”
เมื่อแสงแรกแห่งวันสาดส่อง เสียงตะโกนโห่ร้องในหอเต๋อเซิ่งถึงได้เงียบสงัดลง
ภายในห้องลับชั้นบนสุด แม่นางจูกำลังชำระล้างเครื่องสำอาง
นางไม่ได้แต่งแต้มอะไรมากมาย เพียงแค่ปักปิ่นแล้วทาขี้ผึ้งสี ใบหน้าไร้เครื่องสำอางของหญิงสาวในกระจกช่างดูบริสุทธิ์ดั่งดอกบัวที่ชูช่อพ้นน้ำ
ประตูถูกเปิดออก สาวใช้หอบกล่องใบเล็กใบใหญ่พร้อมทั้งม้วนกระดาษและของกำนัลมากมายเข้ามา
“มีของมาให้แม่นางเยอะแยะอีกแล้วหรือ” ชุนหลิงเอ่ยพลางเดินเข้าไปรับ
“ก็ใช่นะสิ คนพวกนี้น่ารำคาญนัก” สาวใช้ปัดไหล่พลางยู่ปากเอ่ย
ภายในห้องของแม่นางจูไม่ได้ใหญ่โต มีเพียงเตียงหนึ่งหลัง โต๊ะหนึ่งตัว และโต๊ะเครื่องแป้งก็เต็มห้องแล้ว
สองคนช่วยกับวางกล่องเล็กใหญ่ซ้อนกันไว้ที่ริมหน้าต่าง ในห้องนี้มีแต่ของกำนัลมากมายกองเต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็นเงินทองหรือว่าเพชรพลอย หรือแม้แต่ฉินหรือภาพวาดโบราณก็มีทั้งนั้น ทั้งหมดวางกองกันเละเทะไปหมด ดูก็รู้ว่าเจ้าของไม่ได้ใส่ใจเลยสักนิด
สองสาวใช้วางกล่องแล้วเปิดออก ก่อนจะพากันหัวเราะคิกคัก
“ชุนหลิง เจ้าดูหยกที่คนผู้นี้มอบให้สิ งามยิ่งนัก”
“แน่นอนอยู่แล้ว หยกชั้นเลิศเท่านั้นที่จะคู่ควรกับพี่จู”
“พี่ชุนหลิงปากหวานนัก ชอบป้อยอให้แม่นางดีใจ”
“หากอยากให้ท่านพี่ดีใจ ต้องป้อยอด้วยหรือ แม่นางล้วนแต่เป็นที่รักใคร่ของทุกคนอยู่แล้ว”
สาวใช้ที่อยู่ข้างๆ ได้ยินดังนั้นก็หัวเราะออกมา แม่นางจูก็อดหัวเราะไม่ได้เช่นกัน
“ชุนหลิง พิธีชงชาพรุ่งนี้ ของที่ต้องเอาไปด้วยเจ้าเตรียมหรือยัง” นางถาม
ชุนหลิงหันไปหาก่อนจะพยักหน้าอย่างนอบน้อม
“เตรียมเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ” นางเอ่ย
แม้นางเพิ่งจะมาอยู่ที่นี่ได้ไม่นาน แต่ก็สามารถติดตามแม่นางจูออกไปรับแขกในงานเลี้ยงสังสรรค์ได้แล้ว แม้นางจะไม่ได้รับการอบรบอย่างดีมาจากกองสังคีต แต่นางเป็นคนฉลาดหัวไว ทำอะไรไม่เคยผิดพลาด ทั้งยังดูแลแม่นางจูได้อย่างไม่มีบกพร่อง ในบรรดาสาวใช้ของแม่นางจู นางเป็นที่เข้ามาคนล่าสุด ทว่าตอนนี้กลับเป็นคนที่ได้รับความไว้วางใจมากที่สุด
แม่นางจูส่องกระจกพลางเช็ดล้างเครื่องสำอางบนใบหน้า
“ชุนหลิงเจ้าดูสิ มีคนให้กระดาษมาแผ่นหนึ่ง” สาวใช้ก้มหน้ามองพลางหัวเราะ
ชุนหลิงหันไปมอง
“คงจะเป็นกลอนหวานเลี่ยนอีกแล้วกระมัง” นางเอ่ย
นางอ่านหนังสือไม่ออก แล้วก็ไม่สนใจด้วย
สาวใช้ที่มาจากกองสังคีตล้วนแต่อ่านออกเขียนไป นางจึงเปิดอ่านพลางหัวเราะ
“เขียนได้ไม่เลว” นางเอ่ย “เอ๊ะ ชุนหลิง คนผู้นี้มาจากบ้านเกิดเดียวกันกับเจ้า”
เครื่องปั้นลายพยัคฆ์หัวสิงห์หรือของแปลกตาชุนหลิงเห็นจนเบื่อแล้ว
แต่ทว่าคนบ้านเดียวกันอย่างนั้นรึ
“เจียงโจว… แซ่เฉิง” สาวใช้อ่านออกเสียง
เสียงเพล้งดังขึ้น หัวสิงห์ในมือของชุนหลิงร่วงลงพื้น สาวใช้ก็ตกใจไม่น้อย แม่นางจูถึงกับเหลียวมามอง
ประกายในแววตาของชุนหลิงหายไป แทนที่ด้วยหยาดน้ำตา
“เจียงโจวจริงๆ หรือ ใช่เจียงโจวหรือ” นางถาม “ข้าไม่รู้หนังสือ เจ้าอย่าหลอกข้า”
บ้านเกิดนั้นไม่มีผู้ใดลืมลง
แม่นางจูเม้มปากยิ้ม
“ก็ใช่น่ะสิ ข้าจะหลอกเจ้าทำไม เจ้าดูสิ” สาวใช้ยืนกระดาษให้ก่อนจะชี้ให้นางดู “นี่ไง เจียงโจว… เฉิงเหวินอวี๋…”
ชุนหลิงตาเบิกโพลง สายตาจ้องตามนิ้วของสาวใช้ นางยกนิ้วขึ้นชี้ตาม ค่อยๆ ไล้เรียงไปทีละตัวอักษร
เจียงโจว… เฉิง…
เจียงโจว… เฉิง…
เจียงโจว… เฉิง…
เฉิง!
“เฉิงเจียวเหนียง!”
ท่านชายฉินสิบสามเอ่ยเรียก
“ออกบ้านแต่เช้าเลยหรือ”
ท่านชายฉินสิบสามสีหน้าประหลาดใจไม่น้อย
สาวใช้ที่เห็นเขาก็ตกใจเช่นกัน
“ท่านชายฉินก็ออกบ้านแต่เช้าเหมือนกันหรือเจ้าคะ” นางถาม
ท่านชายฉินสิบสามหัวเราะ
“พอมีเรื่องดีก็มักจะทำตัวแปลกไปเช่นนี้แหละ” เขาเอ่ย “ขอโทษพี่สาวด้วย”
สาวใช้หัวเราะแต่ไม่พูดอะไร
เฉิงเจียวเหนียงเดินออกมา ก่อนจะหันไปมองท่านชายฉินสิบสาม
“ท่านชายมีเรื่องอันใด” นางถาม
“เอ่อ คือว่า” ท่านชายฉินสิบสามยิ้มพลางก้าวเดินมาข้างหน้า “ตอนนี้ข้าควรใช้ขาให้เต็มที่ดั่งใจหมาย หรือว่าต้องคอยดูแลอย่างค่อยเป็นค่อยไป ข้าเองก็ยังไม่วางใจนัก อยากฟังจากปากของแม่นางจะได้สบายใจ”
“หากจิตใจปกติก็ดีแล้ว” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
ท่านชายฉินสิบสามหัวเราะพลางขานรับ
“ข้าเข้าใจแล้ว” เขาเอ่ย พลางมองสาวใช้พยุงนางขึ้นรถม้า “แม่นางจะไปที่ใด”
เฉิงเจียวเหนียงมองเขาทว่าไม่เอ่ยคำใด
“ท่านชายมีธุระอะไรอีกหรือเจ้าคะ” สาวใช้ถาม
“ไม่มีแล้ว ไม่มีแล้ว” ท่านชายฉินเอ่ยพลางหัวเรา ก่อนจะถอยออกไปแล้วคำนับ “ไม่รบกวนแม่นางแล้ว”
รถม้าวิ่งโคลงเคลงออกไปตามถนน
ท่านชายฉินสิบสามยืนนิ่งอยู่หน้าประตูครู่หนึ่ง ก่อนจะหันหลังกลับโดยมีบ่าวรับใช้พยุงตัวขึ้นรถม้า จากนั้นรถก็เคลื่อนตัวออกไปอย่างเชื่องช้า
……………………………………..