พอรู้ว่าท่านชายฉินสิบสามออกจากเรือนไปตั้งแต่เช้า ฮูหยินฉินจึงตั้งใจมารอหน้าเรือนเพื่อแกล้งหยอกล้อเขาโดยเฉพาะ แต่ทว่ารอเท่าไหร่ก็ยังไม่กลับมาเสียที จึงจำใจต้องกลับเข้าเรือนไปก่อน

“ไปไหนของเขานะ” นางถามอย่างสงสัย

พอสิ้นเสียงถามได้ไม่นานก็มีคนตอบกลับ

“ไปเรือนตระกูลโจวเจ้าค่ะ”

ท่านชายฉินสิบสามมาถึงหน้าเรือนตระกูลโจวทว่ากลับถูกขวางไว้

“ไม่อยู่บ้านหรือ” เขาถามอย่างประหลาดใจ

บ่าวรับใช้ก้มหน้าตอบว่าใช่

“ขอรับ ท่านชายหก อะ…ออกไปแล้ว” เขาตอบ

“ท่านชายสิบสาม…” บ่าวรับใช้รีบตะโกนเรียก

“เหมือนท่านชายของพวกเจ้าไม่มีผิด คิดจะหลอกข้าหรือ” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ยพลางส่ายหน้า ก่อนจะเดินตรงเข้าไปอย่างไม่สนใจ

ทางเดินจากหน้าประตูไปถึงเรือนที่ท่านชายโจวหกอาศัยอยู่นั้น จะว่าคุ้นเคยก็ใช่จะว่าแปลกไปก็ไม่เชิง ที่คุ้นเคยเพราะเขาไปมาหาสู่กันก็หลายปีแล้ว แต่ที่แปลกไปก็เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขาเดินด้วยตนเอง

ท่านชายโจวหกไม่ได้อยู่ที่เรือน ทว่าอยู่ที่ลานฝึกวรยุทธ์

ท่อนบนเปลือยเปล่าบัดนี้ชุ่มไปด้วยเหงื่อ ฝีมือระบำเพลงทวนยาวระดับเซียนทำเอาทหารสองนายที่ช่วยเป็นคู่ซ้อมให้แทบตั้งรับไม่ไหว

เขาอายุน้อยกว่าทหารคู่ซ้อมทั้งสองคนมาก ทว่าทั้งสองถึงกับต้องยอมถอย

“พวกเจ้ายังกล้าบอกว่าตัวเองเป็นทหารมาจากทางตะวันตกเฉียงเหนืออีกหรือ” ท่านชายโจวหกเย้ยหยัน “หนีทหารมาล่ะสิท่า”

คำพูดของเขาทำเอาทหารทั้งสองโมโหไม่น้อย พวกเขาส่งเสียงไม่พอใจ ก้าวซ้ายขวาก่อนจะหมุนทวนกลับมาแล้วพุ่งตรงไปยังขาของท่านชายโจวหก

เสียงเหล็กปะทะกันดังก้อง ทวนยาวสองเล่มลอยไปกลางอากาศ ทหารทั้งสองถอยหลังไปหลายก้าว สองมือของพวกเขาชาไปหมด

“แค่นี้ก็ยั้งอารมณ์ไม่ได้ ถึงว่าละคนที่บ้านถึงได้ส่งพวกเจ้ามาแก่ตายที่เมืองหลวง” ท่านชายโจวหกเอ่ยเสียงเย็นชา

เขาไม่สนใจว่าสองคนด้านหลังจะโกรธหน้าดำหน้าแดงเพียงใด ก่อนจะโยนทวนด้ามยาวทิ้งลงบนพื้น แล้วเดินตรงเข้ามา

“อยากลองดูไหม” เขาเอ่ยพลางมองไปที่ท่านชายฉินสิบสาม

ท่านชายฉินสิบสามหัวเราะชอบใจ

“เช่นนี้ก็ไม่ยุติธรรมน่ะสิ ข้าช้ากว่าเจ้ามาตั้งสิบปี เมื่อใดฝีมือจะตามทันเจ้าได้” เขาเอ่ย

ท่านชายโจวหกรับผ้าที่สาวใช้ยื่นให้มาเช็ดเหงื่อ พลางหัวเราะแล้วมองไปที่ท่านชายฉินสิบสาม

“หัวเราะอะไร” ท่านชายฉินสิบสามถาม

“ไม่คิดเลยว่าจะมีวันที่ได้ยินเจ้าพูดเช่นนี้” ท่านชายโจวหกเป็นเอ่ย “อันที่จริง…”

เขาพูดไม่ทันจบก็หยุดลง ก่อนจะรับเสื้อจากสาวใช้มาสวม

“อันที่จริงยืนพูดก็ไม่ได้เมื่อยเอวเหมือนที่คิดสักเท่าไหร่ใช่ไหม” ท่านชายฉินสิบสามพูดต่อ “แต่ก่อนไม่เคยยอมรับความจริง พอวันนี้หายดีแล้ว กลับกล้าพูดจาเสแสร้งเช่นนี้อีก”

ท่านชายโจวหกยิ้ม

“ข้าไม่ได้พูดเช่นนั้นเสียหน่อย” เขาเอ่ย “อันที่จริงถึงข้าจะพูดอะไรไปก็ไม่มีความหมาย ในใจของพวกเจ้าคงรู้ดีกว่าใครอยู่แล้ว”

ท่านชายฉินสิบสามยิ้มพลางยกมือขึ้นแล้วลดมือลง

“ไม่มีไม้เท้าแล้ว ตีเจ้าไม่ถนัดเอาเสียเลย” เขาเอ่ยก่อนจะยักคิ้วให้ท่านชายโจวหก “พูดแบบนี้ยิ่งเสแสร้งเข้าไปใหญ่ใช่ไหม”

ท่านชายโจวหกถลึงตาใส่เขาทว่าไม่ได้พูดอะไร

“ข้าก็เป็นคนคนหนึ่ง” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ย เขายิ้มแล้วชี้มาที่ตนเอง “คน ก็มีรักโลภโกรธหลงกันทั้งนั้น แต่ต่างกันที่จะเก็บซ่อนหรือควบคุมมันได้หรือไม่ ข้าน่ะ เป็นพวกเก็บซ่อนเก่ง ควบคุมเก่ง ส่วนเจ้า เป็นคนที่ไม่เก็บอารมณ์ไม่เก่ง แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่นำมาวัดว่าผู้ใดสูงต่ำหรือว่าดีชั่วแต่อย่างใด เพราะบางทีมันอาจจะเป็นธรรมชาติของคน หรืออาจเป็นเช่นนั้นเพราะไม่มีทางเลือก ส่วนข้าน่ะเป็นพวกไม่มีทางเลือก”

เขาเอ่ยพลางเดินก้าวไปข้างหน้า ผละกายออกจากบ่าวรับใช้ที่คอยพยุง ท่าทางยังคงโซเซอยู่ไม่น้อย

“แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีทางเลือกเลยสักทีเดียว แม้ตอนนี้จะเป็นเช่นนี้ก็ดี อย่างน้อยคนรอบกายข้าจะได้สุขใจ เช่นนี้แล้วข้าจะได้มีชีวิตอยู่โดยไม่น่าสมเพชนัก แล้วข้าเองก็มีความสุขเช่นกัน” เขาเอ่ย “ได้ใช้ชีวิตเช่นนี้ ข้าเชื่อว่าข้าจะต้องมีความสุขแน่ๆ คนรอบข้างตัวข้าก็จะมีความสุขเช่นกัน เช่นนี้ล่ะไม่ผิดแน่ จนถึงตอนนี้ ข้าก็ยังภูมิใจกับคนที่ข้าเคยเป็น”

ท่านชายโจวหกก้มหน้าไม่เอ่ยคำใด ก่อนจะค่อยๆ ผูกเชือกของเสื้อ

“แต่ว่าชีวิตคนเรานั้นไม่แน่นอน ใช่ว่าคนดีจะได้ดีเสมอไป” ท่านชายฉินเอ่ยพลางหัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะเหลียวหลังมามองท่านชายโจวหก “ได้รู้จักสหายเช่นเจ้า และได้รู้จักกับแม่นางเฉิง ทำให้ข้าได้มีโอกาสใช้ชีวิตที่แตกต่างไป ได้ใช้ชีวิตเหมือนกับคนปกติ ข้าก็เป็นคนคนหนึ่ง ย่อมดีใจแน่นอน สุขใจจนแทบจะบ้าเลยก็ว่าได้ คำพูดที่ข้าเคยบอกว่าชาตินี้คงไม่มีหวังแล้ว คำพูดที่ข้าเอ่ยออกมาตอนที่โมโหเป็นฟืนเป็นไฟคราวนั้น ชายหก ข้าไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องน่าละอายใจเลยสักนิด ข้าคิดว่าเป็นเกียรติเสียด้วยซ้ำ ตอนนี้ข้าสุขใจยิ่งนัก สุขใจจนทำตัวพิลึกพิลั่นแบบนี้”

ท่านชายโจวหกนั่งลงอีกฝั่ง

“หากเจ้าคิดว่าข้าเปลี่ยนไป นั่นไม่ใช่เพราะข้าที่เปลี่ยน แต่เป็นเจ้าต่างหากที่เปลี่ยน” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ยพลางชี้ไปที่เขา

เขาพูดด้วยรอยยิ้มอีกครั้ง

“แต่ว่าก็เป็นเรื่องธรรมดามิใช่หรือ ก็เหมือนกับข้านั่นแหละ แต่ก่อนเจ้าก็เอาแต่เสแสร้ง แสร้งว่าข้าเป็นเหมือนคนปกติ แต่ที่จริง…” เขาเอ่ยแกมหัวเราะ “พอตอนนี้ข้าเป็นคนปกติขึ้นมาจริงๆ แล้ว แต่เจ้า…”

เขาชี้นิ้วไปที่ตัวท่านชายโจวหก

“แต่เจ้ากลับทำเหมือนข้าเป็นคนไม่ปกติ ไม่รู้ว่าจะปฏิบัติกับข้าเช่นไรดี” เขาเอ่ยพลางลูบคางไปมา

“เป็นอย่างไรเล่า เอาแต่ทำเป็นนิ่งเฉย ถูกข้าอ่านออกจนทะลุปรุโปร่งเช่นนี้ ตกใจล่ะสิ”

ท่านชายโจวกหกหลุดหัวเราะออกมา ก่อนจะโยนไม้เท้าที่อยู่ข้างกายให้

“หลงตัวเองนัก” เขาสบถด่า

“ข้ารู้อยู่แล้ว” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ยพลางสะบัดเสื้อไปมา “จากนี้หากเจ้าต้องไปไหนมาไหนกับชายหนุ่มรูปงามอย่างข้า คงรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นแค่ของประดับ ข้าเข้าใจความรู้สึกเจ้าดี หากวันหน้าเจ้าไม่อยากจะคบค้ากับข้าอีก ข้าก็เข้าใจ”

“เจ้าก็ปากเก่งได้แค่ต่อหน้าข้าเท่านั้นแหละ” ท่านชายโจวหกส่งเสียงถุย “คนอะไรโมโหจนอกแตกตาย!”

“ด่าคนอย่าด่าข้อด้อย” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ย

“ตีคนก็อย่าตีหน้าเหมือนกัน” ท่านชายโจวหกพูด “อย่าย่ามใจให้มากนัก ข้ารู้ว่าเจ้าเดินได้แล้ว แต่นั่งพักก่อนเถิด ยามสุขอย่าได้หลง ยามลงอย่าได้ท้อ”

ท่านชายฉินสิบสามยิ้มพลางนั่งลงด้านข้างเขา

“เจ้าอยู่บ้านไปก็ไม่มีอะไรทำ พวกเราออกไปเดินเล่นข้างนอกกันเถอะ” เขาเอ่ย

ท่านชายโจวหกเหล่ตามองส่งเสียงฮึดฮัด

“มีอะไรก็ว่ามาตามตรง” เขาพูด

“ไปหาน้องสาวเจ้ากัน” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ยพลางยิ้ม

“หากจะไปขอบคุณ เจ้าก็ไปเองเถิด” เขาตอบ

“ข้าขอบคุณตั้งนานแล้ว” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าจะไปขอโทษนางเป็นเพื่อนเจ้า”

ท่านชายโจกหกถลึงตาใส่

“ข้าทำอะไรผิด เหตุใดต้องขอโทษด้วย” เขาเอ่ย

ท่านชายฉินสิบสามมองเขาแล้วหัวเราะ

“เป็นอย่างที่ข้าไม่มีผิด เจ้าต่างหากที่เปลี่ยนไป” เขากล่าว

ท่านชายโจวหกส่งเสียถุย ก่อนจะลุกยืนขึ้น

ท่านชายฉินสิบสามก็ลุกขึ้นตาม

“ว่าแต่เจ้าก็หายดีแล้ว ดีจริงๆ” ท่านชายโจวหกเอ่ยพลางหันมามองเขา “ก่อนไปเราไปดื่มกันสักหน่อยไหม ไม่รู้ว่าเจ้าดื่มเหล้าได้หรือยัง หากยังจะดื่มชาแทนก็ได้”

“ดื่มเหล้าได้หรือเปล่า ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน คงต้องไปถามน้องสาวเจ้าแล้วล่ะ… ไปกัน” ท่านชายฉินสิบเอ่ย สองเท้ายืนมั่นหันไปมองท่านชายโจวหก “ว่าแต่ใครจะไปที่ไหนกันนะ”

ท่านชายโจวหกหัวเราะยกใหญ่

“ได้อย่างเสียอย่างจริงๆ สินะ พอขาหายดีแล้ว แต่สมองกลับใช้การไม่ได้เหมือนแต่ก่อน” เขาเอ่ยพลางหัวเราะ “ก็ต้องเป็นข้าสิที่ไป”

ท่านชายฉินสิบสามมองเขา สายตาจ้องลึกเข้าไป

“เพราะเหตุนี้เจ้าเลยจะจากไปจริงหรือ ชายหก เจ้าเปลี่ยนไปจริงๆ” เขาเอ่ย

“เปลี่ยนอะไรเล่า ข้าก็บอกแต่แรกแล้วว่าจะไปนี่” ท่านชายโจวหกเอ่ย “ข้ารอโอกาสนี้มานานแล้ว ยามนี้ท่านพ่อให้ข้าไปรับตำแหน่งแทน ท่านพี่ยี่สิบเจ็ดของตระกูลข้าที่อยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือ ป่วยหนักจนตอนนี้เสียแล้ว จึงต้องมีคนไปรับตำแหน่งแทนเขา ข้าเลยต้องไปที่นั่น”

ตระกูลโจวเป็นขุนนางฝ่ายบู๊ ที่พวกเขาอยู่ได้ทุกวันนี้ก็เพราะอาศัยบารมีของนายใหญ่โจวที่เป็นขุนนางในเมืองหลวง ส่วนทหารทางตะวันตกเฉียงเหนือนั้นก็แบ่งให้ลูกหลานตระกูลไปดูแล

แต่ไหนแต่ไรมาแบบแผนของตระกูลโจวก็เป็นเช่นนี้อยู่แล้ว คือเส้นทางที่ท่านชายโจวกหกจะต้องเดินตามรอยเช่นกัน

ท่านชายฉินสิบสามจ้องมองท่านชายโจวหกอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้า

“ได้ เช่นนั้นข้าจะไปถาม หากดื่มเหล้าได้ พวกเราสองสหายก็เมาให้เละไปเลย หากดื่มเหล้าไม่ได้ ดื่มชาก็เมาได้เหมือนกัน” เขาเอ่ยพลางยิ้มบาง

ขณะเดียวกัน ณ หอเต๋อเซิ่ง คนหนุ่มสองคนล้มลุกคลุกคลานโซเซออกมา

“ไสหัวไป” ชายฉกรรจ์ร่างใหญ่สี่คนที่เดินตามมาติดๆ ชี้นิ้วพลางตะโกน “เงินก็ไม่มี กล้าดีอย่างไรมากินข้าวที่หอเต๋อเซิ่งแล้วไม่จ่ายเงิน อยากตายหรืออย่างไร!”

ท่านชายเฉิงสี่สภาพสะบักสะบอม พอเห็นผู้คนบนถนนมองมาพร้อมทั้งชี้นิ้วว่ากล่าวต่างๆ นานา ก็พาลต้องยกมือขึ้นมาปิดหน้าไว้

“ผู้ใดไม่จ่ายเงินกัน ข้าก็แค่เงินขาดมือ” ท่านชายหวังสิบเจ็ดเอ่ยอย่างเกรี้ยวกราด ทั้งยังโต้เถียง

ท่านชายเฉิงสี่ยื่นมือไปรั้งเขาไว้

“อย่าขายหน้าไปมากกว่านี้เลย รีบไปเถิด!” เขาตะโกนเสียงต่ำ

ท่านชายหวังสิบเจ็ดสะบัดมือออกด้วยความโมโห ก่อนจะถูกท่านชายเฉิงสี่ลากออกไป

“ถุย คนบ้านนอกจากทางใต้ริอาจจะมาชักดาบงั้นรึ!” นักเลงประจำหอเต๋อเซิ่งเอ่ยเย้ยหยัน ก่อนจะเดินสะบัดมือเข้าไปด้านใน

ทันใดนั้นสาวใช้นางหนึ่งที่อยู่หลังประตูก็ยืนขึ้น ใบหน้าอ่อนเยาว์ของนางแฝงได้ด้วยความว้าวุ่นเกินวัย

นางมองชายหนุ่มทั้งสองที่เดินหายไปในกลุ่มคนบนท้องถนน ก้มลงมองห่อผ้าในอ้อมอกก่อนจะรีบวิ่งตามไป

“รีบกลับบ้านเถิด อย่ามาทำให้ข้าต้องขายหน้าที่นี่เลย”

“ใครทำให้เจ้าขายหน้ากัน ตอนเจ้าอยู่บ้านทำตัวเช่นไร เหตุใดออกจากเรือนมาท่านป้าถึงให้เงินเจ้ามาน้อยนัก ลูกคนใช้ยังได้เงินเยอะกว่าเจ้าอีก”

“หวังสิบเจ็ด เจ้าว่าใคร”

“ท่านชาย ท่านชาย”

สองชายหนุ่มที่กำลังเถียงกันอยู่ริมถนน พอได้ยินเสียงคนเรียกแถมยังเป็นสำเนียงบ้านเกิด ท่านชายเฉิงสี่จึงเหลียวไปมองในทันใด ก็เห็นเป็นสาวใช้อายุราวสิบปีกำลังมองมาที่เขาด้วยแววตาหวาดหวั่น

“แม่นางน้อย เจ้าเรียกข้าหรือ” ท่านสาวเฉิงสี่ถามอย่างสงสัย

“ขอถามท่านชายได้ไหมเจ้าคะ ท่านเป็นคนเจียงโจวหรือเจ้าคะ” ดวงตากลมโตของสาวใช้เป็นประกาย แฝงได้ด้วยความตื่นเต้นและหวาดกลัว นางเอ่ยถามพลางก้าวเดินมาข้างหน้า

ทั้งสีหน้าและน้ำเสียงของสาวน้อยที่แสดงออกมา ท่านชายเฉิงสี่ก็พอจะเข้าความหมายของนาง

เขายิ้มบางออกมาอย่างอดไม่ได้

“ใช่แล้ว” เขาเอ่ยด้วยสำเนียงบ้านเกิด “เจ้าก็เหมือนกันหรือ”

“เจ้าค่ะ” สาวใช้เอ่ยน้ำตานอง

“เจ้าหน้าตาคุ้นนัก” ท่านชายหวังสิบเจ็ดเอ่ยขึ้นในทันใดพลางมองนางหัวจรดเท้า “เจ้าคือสาวใช้ข้างกายของแม่นางจู คนที่ถือฉินเดินตามผู้นั้นใช่หรือไม่”

ชุนหลิงพยักหน้า มองทั้งสองด้วยน้ำตา ทว่ากลับรู้สึกหวั่นใจจนต้องถอยเท้ากลับ

“ข้า ข้าถูกขายมาที่นี่” นางเอ่ยเสียงแผ่วเบาแฝงไปด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ “ข้าได้ยินท่านชายพูดคุยกัน ต้องขอประทานอภัยด้วยเจ้าค่ะ”

ถูกขายมาไกลถึงเพียงนี้เชียวหรือ อายุก็ยังน้อย แถมยังถูกขายมาในที่เช่นนี้อีก…

น่าสงสารนัก

“เจ้าอยากให้พวกข้าช่วยเจ้า…” ท่านชายเฉิงสี่เอ่ยขึ้นในทันใด

ทว่ายังไม่ทันพูดจบท่านชายหวังสิบเจ็ดก็โพล่งขึ้นมา

“เจ้าคือคนที่ติดตามแม่นางจูจริงหรือ” เขาตะโกนร้องอย่างตกใจ “ยอดไปเลย หากเจ้าช่วยให้ข้าได้พบแม่นางจู ข้าจะช่วยไถ่ตัวเจ้ากลับบ้าน”

………