บทที่ 251 รับรู้

คู่ชะตาบันดาลรัก

เสวียนเฟยรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ เดิมทีหลังจากการเข้าเฝ้าเพื่อรายงานผลต่อหน้าพระพักตร์ ตำแหน่งเจ้าสำนักของตนถูกกำหนดไว้อย่างแน่นอนอยู่แล้ว เขากับอวี้หยางตอบคำถามทั้งห้าด่านได้ใกล้เคียงกัน แต่เขาอธิบายรายละเอียดได้ดีกว่าและสมเหตุสมผลกว่าอีกฝ่าย 

 

 

แต่เมื่อฮ่องเต้เสด็จมาพร้อมกับอวี้หยางโดยไม่มีคำอธิบายใดๆ เขาก็ตระหนักได้ว่ามีบางอย่างที่เขาไม่รู้เกิดขึ้น หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปตำแหน่งเจ้าสำนักของตนอาจหลุดลอยไปแน่ 

 

 

ผู้อาวุโสอี้บอกว่าเขาไม่ต้องยุ่งเรื่องนี้ แต่เขาไม่เคยเป็นคนถูกกระทำการรอให้ตำแหน่งเจ้าสำนักตกลงมาบนหัวเขา เสวียนเฟยไม่เชื่อว่าจะมีเรื่องดีเช่นนี้เกิดขึ้น 

 

 

สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือเขาต้องรู้ให้ได้ว่าอวี้หยางไปพูดอะไรกับฮ่องเต้กันแน่ และฮ่องเต้สงสัยผู้ใดกัน 

 

 

เขาอยากเป็นเจ้าสำนักและราชครูของแผ่นดินก็ต้องกลายเป็นคนที่ฮ่องเต้ไว้วางใจมากที่สุด หากแม้แต่เรื่องนี้ยังถูกกีดกันออกไปเขาจะเป็นราชครูได้อย่างไร 

 

 

แต่เขาเพิ่งกลับมาฮ่องเต้ตนยังไม่เคยไปทำความรู้จักจะไปสอบถามได้อย่างไร 

 

 

จริงสิ! 

 

 

เสวียนเฟยถามจวินโม่หลี “คุณชายสามท่านนั้นพักอยู่ที่ไหน” 

 

 

จวินโม่หลีเข้าใจเจตนาของเขาในทันที “ศิษย์พี่อยากพบเขางั้นหรือ แต่มันโจ่งแจ้งไปหรือไม่ หากเป็นข้าสู้ไปหาแม่นางแซ่หมิงผู้นั้นก่อนดีกว่า…” 

 

 

เสวียนเฟยพยักหน้า “มีเหตุผล” 

 

 

ในช่วงเวลาวิกฤตนี้มันดูโจ่งแจ้งเกินไปที่จะพบหยางชูโดยตรง หากเป็นหมิงเวย ยังสามารถขอพบด้วยเหตุผลเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้กันได้ 

 

 

ทางด้านหมิงเวยเมื่อเห็นว่าฟ้ามืดแล้ว และยังไม่ได้รับข่าวอะไรจึงรู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ 

 

 

ตำแหน่งเจ้าสำนักตัดสินได้ไม่ยาก ตราบใดที่พวกเขามั่นใจว่าไม่ได้คำนวณผิดพลาดก็สามารถประกาศให้เสวียนเฟยได้รับชัยชนะได้ในไม่ช้า 

 

 

แต่ตอนนี้กลับยังไม่ประกาศผล… 

 

 

นางคิดที่จะไปสอบถามข่าวคราว แต่มีนักพรตน้อยมารายงานว่า “ที่นี่มีแม่นางแซ่หมิงหรือไม่” 

 

 

ตัวฝูรีบตอบ “ท่านนักพรตมาหาคุณหนูมีเรื่องอะไรหรือเจ้าคะ” 

 

 

นักพรตน้อยตอบไปว่า “ศิษย์พี่ของข้าชื่นชมความสามารถของแม่นางหมิงมากจึงอยากขอคำแนะนำจากนางไม่ทราบว่าแม่นางจะตอบรับคำเชิญหรือไม่” 

 

 

“ศิษย์พี่ของท่านคือ…” 

 

 

“เสวียนเฟย” 

 

 

หมิงเวยลุกขึ้นขออนุญาตท่านลุงของตนแล้วเดินออกจากห้อง “ท่านนักพรตเชิญมาข้าน้อยจะกล้าไม่ตอบรับได้อย่างไรเจ้าคะ เชิญท่านนักพรตนำทางได้เลยเจ้าค่ะ” 

 

 

นักพรตน้อยตอบกลับ “แม่นางหมิงเชิญทางนี้” 

 

 

เดินไปได้ไม่ไกล นักพรตน้อยพานางไปที่ห้องโถงใหญ่แล้วเคาะประตูห้องด้านข้าง “ศิษย์พี่ แม่นางหมิงมาแล้วขอรับ” 

 

 

เมื่อประตูเปิดออกเสวียนเฟยก็ปรากฏตัวขึ้นพอดี เขากล่าวขอบคุณนักพรตน้อยแล้วเชิญหมิงเวยเข้ามาด้านใน 

 

 

หมิงเวยเห็นว่าภายในห้องนี้มีเพียงจวินโม่หลีจึงถามออกไปตรงๆ ว่า “เกิดอะไรขึ้นงั้นหรือ” 

 

 

“อืม…” เสวียนเฟยลังเลเขาเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนหอดูดาวให้อีกฝ่ายฟัง “…ข้าสงสัยว่าอวี้หยางจะไปทูลอะไรกับฝ่าบาทเข้า” 

 

 

หมิงเวยยิ้ม “ท่านเห็นหรือยังว่าการที่พวกเราร่วมมือกันนั้นมีประโยชน์มาก จริงหรือไม่ ตอนนี้ท่านยังมีคนให้ปรึกษาหารืออีกด้วย” 

 

 

จวินโม่หลีร้อนใจเขาอุทานว่า “ท่านพูดไร้สาระอะไรน่ะ เมื่อไรกัน แล้ว…” 

 

 

“จะรีบร้อนไปทำไมเล่า” หมิงเวยนั่งลงส่งสัญญาณให้จวินโม่หลีรินชาให้นาง 

 

 

จวินโม่หลีมองเสวียนเฟยเห็นอีกฝ่ายพยักหน้าจึงรินชาให้นางด้วยความไม่เต็มใจ ปากพูดอย่างไม่ยอมแพ้ว่า “ท่านเป็นสตรีคนหนึ่งไม่มีความระวังตัวเลยสักนิดเมื่อมาในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย ผู้อื่นรินชาให้ท่านก็ไม่ควรดื่มมัน ท่านควรจัดการด้วยตนเองถึงจะถูก!” 

 

 

หมิงเวยพูดอย่างจริงใจ “ท่านนักพรตจวินช่างเป็นคนดีจริงๆ” 

 

 

จวินโม่หลีตกใจ จู่ๆ ใบหน้าของเขาก็แดงเพื่อปกปิดความเขินของตนเองจึงพูดเสียงดังออกไปว่า “เดี๋ยว! เหตุใดท่านถึง…” 

 

 

หมิงเวยเงยหน้ามองเขาเป็นสัญญาณให้เขาเงียบเสียงลงแล้วหันไปหาเสวียนเฟย “การคาดเดาของท่านน่าจะถูก จู่ๆ อวี้หยางปรากฏตัวขึ้นข้างกายฝ่าบาท มีเพียงคำอธิบายเดียวเท่านั้น และเขานำเบี้ยในมือเพียงหนึ่งเดียวออกมา หมายความว่าเขารู้ว่าดาวมารคือผู้ใด” 

 

 

ท่าทีของฮ่องเต้บ่งบอกได้อย่างชัดเจน หลังจากนั้นให้ขันทีมาถามดวงชะตาปาจื้อของคนผู้หนึ่งด้วย หมายความว่าพระองค์มีเป้าหมายที่แน่นอนแล้ว 

 

 

“เพราะฉะนั้นข้าเลยอยากถามคุณชายหยางไม่ทราบว่าแม่นางสะดวกหรือไม่” 

 

 

หมิงเวยตอบ “ท่านไม่ต้องรีบร้อนหรอก” จากนั้นถามต่อว่า “ท่านจำดวงชะตาปาจื้อของคนผู้นั้นได้หรือไม่” 

 

 

เสวียนเฟยพยักหน้าแล้วอ่านอักขระทั้งแปดให้อีกฝ่ายฟัง แล้วเขาก็พูดอีกว่า “เมื่อเห็นดวงชะตาปาจื้อนี้ ปีนี้คนผู้นั้นอายุสิบเก้า แต่ไม่รู้ว่าเป็นคุณชายตระกูลไหน…” 

 

 

ยังไม่ทันพูดจบเขาเห็นหมิงเวยเลิกคิ้ว 

 

 

“ทำไม มีปัญหาอะไรหรือ” 

 

 

หมิงเวยถอนหายใจ “ท่านไม่ต้องถามหาเขาหรอก” 

 

 

“ทำไมกัน” เสวียนเฟยถาม แต่แล้วสีหน้าเขาก็เปลี่ยนไป “หรือว่า…” 

 

 

หมิงเวยพยักหน้า “เป็นดวงชะตาปาจื้อของเขา” 

 

 

เสวียนเฟยตกตะลึงผ่านไปนานกว่าเขาจะหาเสียงของตนเองเจอ “เกิดอะไรขึ้น เหตุใดฝ่าบาทต้องสงสัยเขาด้วย ไม่ว่าจะมองอย่างไรคุณชายหยางไม่มีทางเป็นดาวมารได้เลย!” 

 

 

หมิงเวยเหล่มองเขา “ไม่ว่าจะมองอย่างไร ท่านนักพรตก็ไม่เหมือนดาวมารเหมือนกัน!” 

 

 

จวินโม่หลีพูดแทรก “ศิษย์พี่ไม่มีทางเป็นแน่นอน!” เสวียนเฟยเงียบ 

 

 

หมิงเวยวางมือขวาลงบนโต๊ะ นิ้วทั้งห้าของนางเคาะลงบนโต๊ะอย่างคนใช้ความคิด “ข้าได้ยินข่าวลือว่าอวี้หยางกับไท่จื่อมีความสัมพันธ์ลับกัน” 

 

 

“จริงด้วย!” จวินโม่หลีพูดขึ้นอย่างร้อนอกร้อนใจ “เขาสมคบคิดกับไท่จื่อมานานแล้ว!” 

 

 

เสวียนเฟยพึมพำ “เหตุใดไท่จื่อต้องมุ่งร้ายคุณชายหยางด้วย” 

 

 

“เพราะอิจฉาน่ะสิ…” 

 

 

หมิงเวยรู้สึกซับซ้อน นางรู้ว่าองค์ชายรองกับองค์ชายสามไว้ใจไม่ได้ นางเองก็หวังว่าไท่จื่อจะเป็นคนที่พึ่งพาได้ แต่ไม่คิดว่าเขาจะทำเรื่องเช่นนี้ 

 

 

ข่าวลือเรื่องชาติกำเนิดของหยางชูทำให้ไท่จื่อไม่ชอบเขาเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แต่เพราะไม่ชอบจึงวางแผนใส่ร้ายเขา คนเช่นนี้จะเป็นผู้นำแผ่นดินได้อย่างไร 

 

 

แต่ท่าทีของฮ่องเต้ดูจะผิดพลาดเล็กน้อย 

 

 

หากหยางชูเป็นบุตรนอกสมรสจริงๆ และเป็นบุตรที่เกิดจากสตรีที่เขารัก แม้จะเป็นดาวมารแต่ก็เป็นไปได้สูงที่จะไม่สงสัยในตัวเขา แต่ท่าทีของฮ่องเต้ราวกับว่ามีพายุกำลังจะมา… 

 

 

พระองค์นิ่งเงียบแล้วทำแค่เพียงนำดวงชะตาปาจื้อไปถามผู้อาวุโสอี้ ดูเหมือนว่าเมล็ดพันธุ์แห่งความสงสัยได้ถูกปลูกขึ้นแล้ว 

 

 

ทำไมกัน 

 

 

“ไม่จริง เขาไม่ใช่…” 

 

 

“ไม่ใช่อะไรหรือ” 

 

 

หมิงเวยไม่ตอบนางคิดว่านางสามารถตอบคำถามนั้นของหยางชูได้แล้ว เขาไม่ใช่บุตรนอกสมรสของฮ่องเต้อย่างแน่นอน เพราะหากเขาเป็นบุตรนอกสมรสจริงๆ ฮ่องเต้จะไม่มีท่าทีเช่นนี้แน่ แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ยังมีอีกหนึ่งคำถามที่ยังไม่สามารถตอบได้ 

 

 

แม้เขาจะเป็นบุตรชายแท้ๆ ของนายท่านสองตระกูลหยาง เหตุใดฮ่องเต้ต้องสงสัยในตัวเขาด้วยเพียงเพราะอวี้หยางร้องเรียนแค่นั้นหรือ 

 

 

หากเขาสงสัยว่าหยางชูจะแค้นที่พระองค์แย่งมารดาไปก็ไม่ควรมอบหวงเฉิงซือให้ตกไปอยู่ในมือเขา 

 

 

เรื่องนี้มีอะไรผิดพลาดกันแน่มีข้อมูลตรงไหนผิดพลาดไปงั้นหรือ 

 

 

“แม่นางหมิง” 

 

 

สติของหมิงเวยกลับมาเห็นท่าทีเป็นกังวลของเสวียนเฟยจึงยิ้มออกมา “ท่านไม่ต้องกังวลไป แม้อวี้หยางจะร้องเรียนไป แต่ตำแหน่งเจ้าสำนักไม่ตกไปอยู่ในมือเขาอย่างแน่นอน ฝ่าบาทไม่น่าชื่นชมคนถ่อยเช่นนี้แน่” 

 

 

“แต่ว่า…” สิ่งที่เขาต้องการคือความแน่ใจไม่ใช่คำว่าไม่น่าหรือไม่แน่ 

 

 

“ข้ามีความคิดหนึ่งท่านอยากฟังหรือไม่” 

 

 

เสวียนเฟยสูดหายใจเข้าลึกๆ “แม่นางหมิงพูดมาได้เลย” 

 

 

“ตอนนี้ท่านไปหาอวี้หยางและไปทะเลาะกับเขาให้หนัก ทะเลาะยิ่งหนักมากเท่าไรก็ยิ่งดี!” 

 

 

………….