บทที่ 252 ทะเลาะ

คู่ชะตาบันดาลรัก

เมื่อเข้าสู่ช่วงค่ำความคึกคักของเสวียนตูกวันก็หายไป เหล่าประชาชนแยกย้ายกันกลับบ้าน ส่วนชนชั้นสูงและราชวงศ์พักอยู่ในเสวียนตูกวัน

หากฮ่องเต้ไม่เสด็จพวกเขาจะไปไหนได้เล่า

ยิ่งไปกว่านั้นไม่มีคำอธิบายใดๆ เกี่ยวกับดาวมาร ต่อให้ไปได้ก็ไปอย่างไม่สบายใจ!

เรือนพักผ่อนสำหรับคนในตระกูลโป๋วหลิงโหวมีนักพรตน้อยท่านหนึ่งเดินเข้ามา “อาหารเตรียมเสร็จแล้วขอรับเชิญพวกท่านรับประทานได้”

โป๋วหลิงโหวฮูหยินสั่งสาวใช้ “ไปตามคุณชายทั้งสามกับฮูหยินมา เร็วหน่อย อย่าช้าล่ะ”

ไม่นานทุกคนก็มารวมตัวกันครบ

เมื่อเห็นหยางชู หลูฮูหยินซื่อจื่อเหลือบมองแล้วยิ้ม “น้องสามก็อยู่ด้วยหรือ หากยากเสียจริงข้านึกว่าท่านไปรับประทานอาหารกับกุ้ยเฟยเสียอีก!”

หยางชูตอบ “อืม…” แล้วไม่พูดอะไรอีก

หลูฮูหยินเบะปากนางอยากจะพูดอีกแต่ก็ถูกโป๋วหลิงโหวฮูหยินขัดไว้ “พอได้แล้วผู้ใดอยากพูดอะไรอีกก็ออกไปซะ!”

หลูฮูหยินทำได้เพียงกลืนคำพูดลงไป นางคิดในใจว่าตระกูลนี้ช่างไม่มีคนไหนได้ความเสียเลย เมื่อองค์หญิงใหญ่และนายท่านผู้เฒ่าจากไป พวกเขาก็เหมือนลูกนกกระทาที่ไม่กล้าออกจากรัง ไม่มีปากเสียงใดๆ ในราชสำนัก แม้แต่ในครอบครัวก็ปล่อยให้บุตรนอกสมรสไม่รู้ที่มาวางอำนาจบาตรใหญ่ได้

ตอนนี้ผู้คนภายนอกยังมีใครจำชื่อเสียงขององค์หญิงใหญ่กับนายท่านผู้เฒ่าได้บ้าง ตอนนี้บุตรนอกสมรสผู้นั้นมีชื่อเสียงมากที่สุด นางออกไปสังสรรค์ในวันธรรมดาและมักจะได้ยินรับรู้ข่าวคราวของเขาอยู่เสมอ

น่าตลกจริง วิสัยทัศน์ของเขานั้นมีกุ้ยเฟยคอยหนุนหลัง สวรรค์ก็มองเห็นไม่ใช่หรือ คนพวกนี้ต้องการใช้ประโยชน์จากกุ้ยเฟย ในขณะเดียวกันก็กังวลเกี่ยวกับชื่อเสียงดวงกินภรรยาของเขา เดี๋ยวฐานะต่ำไป เดี๋ยวตนเองบกพร่อง หากการแต่งงานสำเร็จก็ถือว่าแปลกแล้ว!

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ช่วงนี้มีคนเปรยกับนางว่าน้องสามมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับบุตรสาวนักโทษต้องประหาร เขาคิดจะทำอะไรกันแน่หรือว่าต้องการแต่งงานกับสตรีที่เสียชื่อเสียง ไม่คิดแสวงหาความก้าวหน้าแล้ว หากเป็นเช่นนั้นนางคงยกลูกพี่ลูกน้องของตนให้แก่เขา เด็กนั่นอยู่ตัวคนเดียวไร้พันธะ องค์หญิงใหญ่กับนายท่านผู้เฒ่ารักเขามากคงมีสมบัติอยู่ไม่น้อยเลย…

ทุกคนในตระกูลหยางเดินออกจากเรือนพักไม่นานก็พบชนชั้นสูงจากตระกูลอื่น พวกเขาจึงกล่าวทักทายและแลกเปลี่ยนข่าวสารกันทั่วไป

ทุกคนล้วนอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ได้ยินว่าการพยากรณ์ดวงดาวจบลงแล้ว แล้วเรื่องดาวมารสรุปเป็นอย่างไรกันแน่

น่าเสียดายที่ฮ่องเต้ปิดข่าวไว้อย่างแน่นหนา สอบถามไปสอบถามมาไม่มีใครรู้ข้อมูลที่แน่ชัดเลยสักคน

เมื่อมาถึงห้องอาหาร แต่ละตระกูลนั่งทานอาหารเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จู่ๆ ด้านนอกก็เกิดความวุ่นวาย ไม่นานหลังจากนั้นนักพรตที่เพิ่งทานอาหารไปไม่ถึงครึ่งก็กระโจนออกไป

“เกิดอะไรขึ้นหรือ” โป๋วหลิงโหวถาม

หยางชูวางตะเกียบ “ข้าจะออกไปดูเอง”

เขาเดินออกจากห้องอาหารก็เห็นศิษย์สำนักเสวียนตูกวันวิ่งไปในทางเดียวกัน พอเห็นสีหน้าแตกตื่นของพวกเขาก็รู้สึกแปลกใจและเกิดความรู้สึกอยากรู้อยากเห็น

หยางชูคว้าตัวศิษย์คนหนึ่งมาถาม “เกิดอะไรขึ้นงั้นหรือ”

ศิษย์คนนั้นรู้สึกหงุดหงิดมาก เมื่อเขาหันมาและเห็นว่าเป็นหยางชูจึงระงับอารมณ์แล้วตอบไปว่า “ได้ยินว่าศิษย์พี่อวี้หยางกับศิษย์พี่เสวียนเฟยทะเลาะกันขอรับ”

หยางชูนึกว่าตนเองได้ยินผิด “ทะเลาะงั้นหรือ”

“ขอรับ! ดูเหมือนจะทะเลาะกันรุนแรงมากไม่แน่ว่าอาจเกิดการต่อสู้กัน”

หยางชูสงสัย “ทำไมถึงทะเลาะกันได้”

“ไม่ทราบเหมือนกันขอรับ! ข้าจะรีบไปดูสถานการณ์ก่อน!” พูดจบก็อยากจะถอนมือออกมา “หากคุณชายไม่มีอะไรข้าขอตัวก่อน!”

หยางชูปล่อยมือ “ขอบใจมาก”

เสวียนเฟยกับอวี้หยางทะเลาะกันงั้นหรือ เป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อมาก ตอนนี้เป็นช่วงเวลาสำคัญในการแข่งขันเพื่อชิงตำแหน่งเจ้าสำนักไม่ควรมีความขัดแย้งกัน พวกเขาต้องแสดงให้เห็นถึงความปรองดองกันสิถึงจะถูก

ในขณะที่กำลังครุ่นคิดก็มีเสียงดังมาจากด้านหลัง “คุณชายหยาง ได้ยินว่าท่านนักพรตทั้งสองทะเลาะกันท่านอยากไปดูด้วยกันกับข้าหรือไม่”

หยางชูหันกลับไปก็เห็นหมิงเวยพาตัวฝูเดินยิ้มเข้ามาหาเขา

เขารู้สึกว่าท่าทีของนางแปลกๆ จึงคล้อยตาม “ท่านรู้เรื่องนี้ใช่หรือไม่”

หมิงเวยยิ้มกว้าง

…………

อวี้หยางในตอนนี้เหมือนคนงามที่ถูกอันธพาลจ้องมอง เขารู้สึกใจไม่ดีเลย

เขาเพิ่งแยกตัวออกมาจากฮ่องเต้และคิดที่จะขอให้ซินเจ๋อช่วยส่งข้อความ เพราะหากในช่วงเวลาวิกฤตนี้ถูกพบว่าเขากำลังติดต่อกับไท่จื่อก็ยากที่จะอธิบายได้

แต่ไม่รู้ว่าซินเจ๋ออยู่ที่ไหน เขาคิดจะให้นักพรตเด็กไปตามหา แต่เสวียนเฟยก็เดินเข้ามาเสียก่อน สีหน้าของอีกฝ่ายดูจริงจังแววตาเยือกเย็นราวกับบ่อน้ำแข็ง

“ศิษย์พี่อวี้หยาง!” เขาคำนับด้วยท่าทีแข็งกร้าว

แม้อวี้หยางอยากจะบีบคออีกฝ่ายมากแค่ไหน แต่เขาก็ต้องยิ้มกลับไปและถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ศิษย์น้องเสวียนเฟย มีอะไรงั้นหรือ”

คำถามนี้ดูเหมือนจะไปจี้จุดบางอย่างของเสวียนเฟยเข้า เขาแค่นหัวเราะ “สำหรับศิษย์พี่อวี้หยางคงไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร แต่ศิษย์น้องคิดว่าเรื่องนี้ไม่พูดคงไม่ได้”

อวี้หยางตกใจเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกันมาหลายปีเขารู้ดีว่าเสวียนเฟยเป็นคนอย่างไร ไม่ว่าจะอยู่ต่อหน้าผู้ใด เสวียนเฟยมักจะเป็นคนสุภาพอ่อนโยนและสงบเสงี่ยม เขาต้องใช้เวลาหลายปีในการทำความเข้าใจสิ่งนี้ หลังจากนั้นจึงลอกเลียนแบบพฤติกรรมของอีกฝ่ายซึ่งง่ายมากในการซื้อใจผู้คน

แต่จู่ๆ อีกฝ่ายกลายเป็นเช่นนี้ เป็นไปได้หรือไม่ว่าการที่ตนเดินมากับฮ่องเต้จะไปกระตุ้นอะไรอีกฝ่ายเข้า

อวี้หยางตื่นตระหนกเขามีท่าทีอ่อนโยนมากขึ้น “ศิษย์น้องพูดอะไรน่ะ หากข้าทำอะไรไม่ดีตรงไหน ศิษย์น้องบอกมาได้เลยหากข้าผิดจริงจะรีบแก้ไข”

“นั่นเป็นสิ่งที่ท่านสมควรทำอยู่แล้ว!” เสวียนเฟยทำหน้าบึ้งตึง เขาก้าวไปข้างหน้าเพื่อเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายจนหน้าแทบจะชิดกันอยู่แล้วถามเสียงขรึม “เมื่อครู่ศิษย์พี่จะไปไหนหรือ”

อวี้หยางยิ้มบาง “ข้าจะทำอะไรศิษย์น้องก็เห็นแล้วนี่ ข้าแค่นึกเรื่องอะไรขึ้นมาได้จึงไปทูลฝ่าบาทไม่กี่ประโยคแค่นั้นเอง ผู้ใดจะรู้ว่าหลังจากทูลไปแล้วฝ่าบาทให้ข้าเดินทางมาที่หอดูดาวด้วยกัน”

“ไม่กี่ประโยคงั้นหรือ” มุมปากของเสวียนเฟยยกขึ้นอย่างเย้ยหยันแล้วพูดแทงใจอีกฝ่ายอย่างไม่เกรงใจ “เนื้อหาของประโยคไม่กี่ประโยคนั้นคงเป็น ผู้ใดคือดาวมารตัวจริงใช่หรือไม่”

อวี้หยางใจเต้นเขาพยายามสงบสติอารมณ์ “ศิษย์น้องเสวียนเฟย โปรดยกโทษให้ข้าด้วยที่ไม่สามารถตอบได้ ข้ารับปากฝ่าบาทไว้แล้วว่าห้ามแพร่งพรายออกไป”

เสวียนเฟยแค่นหัวเราะ “ห้ามแพร่งพรายออกไป ศิษย์พี่คิดว่าใช้ฝ่าบาทกดดันข้าแล้วจะปิดปากข้าได้งั้นหรือ ถึงแม้วันนี้ข้าจะไม่ได้ตำแหน่งเจ้าสำนัก แต่คำพูดเช่นนี้ข้าไม่มีทางพูดออกไปแน่!”

“ศิษย์พี่จำได้หรือไม่คำพูดที่ท่านอาจารย์เตือนพวกเรา โหราศาสตร์ที่ท่านเห็น โชคชะตาที่คำนวณได้ ก่อนที่จะกลายเป็นจริงมันก็เป็นเพียงลมปากเท่านั้น! ตราบใดที่มันไม่เกิดขึ้นสักวันมันก็จะเป็นเท็จ ในฐานะเสวียนชื่อจะต้องดูแลรักษาคำพูดของตนเองให้ดีเพราะคำพูดของเราที่เอ่ยออกไปอาจฆ่าผู้บริสุทธิ์ได้!”

“แต่ตอนนี้ศิษย์พี่ทำอะไรอยู่ แม้จะมองเห็นดาวมาร แต่ก็ไม่แน่ใจว่าเป็นผู้ใด ท่านมุทะลุเช่นนี้ต่างจากการฆ่าคนตรงไหนกัน”

แต่ละประโยคที่กล่าวมาทำให้อวี้หยางข่มอารมณ์ไว้ไม่อยู่ เขาพูดว่า “ศิษย์น้องเสวียนเฟย เจ้าไม่สามารถกล่าววาจาไร้สาระตลอดเวลาได้ แต่ตอนนี้เจ้ากำลังทำอะไรอยู่ มากล่าวหาข้าเช่นนี้ไม่เป็นการฆ่าคนด้วยคำพูดหรอกหรือ”

“เช่นนั้นศิษย์พี่สาบานสิว่าตนเองไม่ได้พูดจายั่วยุต่อหน้าฝ่าบาท ไม่ได้ระบุตัวตนของดาวมารอย่างแน่นอน ขอเพียงศิษย์พี่กล่าวสาบาน ศิษย์น้องจะไม่พูดอะไรอีกและจะขอโทษท่านตรงนี้ด้วย แล้วยังถอนตัวออกจากการแข่งขันเจ้าสำนัก ยอมรับความพ่ายแพ้แต่โดยดี! ท่านกล้าหรือไม่”

“เจ้า…”

……………